บทที่ 231: ข้อความจากบรรพบุรุษ
เมื่อชื่อของโรเอล แอสคาร์ดดังก้องขึ้นในหูสีดำสนิทของเคเดย์ เทรนท์โบราณก็เชื่อมโยงสถานการณ์ปัจจุบันกับชื่อตระกูลในแม่น้ำแห่งความทรงจำของเขาได้ในที่สุด เขาเข้าใจความหมายของนามสกุลนี้ดี และในที่สุดด้วยความทรงจำดังกล่าว เทรนท์โบราณก็คลายความตึงเครียดลงได้
“เขาไม่ใช่ศัตรู”
เสียงแหบแห้งดังขึ้นจากเทรนท์โบราณ ทำให้สัตว์อสูรและมนุษย์หมาป่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก เงาต่าง ๆ หายไปในเงามืดของป่า เหล่าองครักษ์ห่างออกจากพื้นที่ไปเป็นฝูงอย่างรวดเร็ว
โรเอลมองดูอย่างสงบ ไปที่ร่างเงาปริศนาที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดของป่า และเพื่อเป็นการตอบโต้ เขาได้สลายร่างจำแลงของยักษ์สีแดงเข้มที่อยู่ข้างหลังไป ทำให้พลังเวทสีแดงเข้มกระจายไปรอบ ๆ และงูสีทองคำบนแขนของเขาค่อย ๆ เลื้อยกลับเข้าไปในไม้เท้าอสรพิษเก้าหัว
ทันทีที่สายลมอันแผ่วเบาพัดผ่าน ป่าก็ได้กลับคืนสู่ความสงบตามปกติอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับการต้อนรับของท่าน ทั้ง ๆ ที่ผมมาเยี่ยมอย่างกะทันหัน ท่านเคเดย์”
“ไม่ ๆ ปกติแล้ว ข้าก็ควรจะทำเช่นนี้แหละ ตระกูลแอสคาร์ดงั้นเหรอ หืม? เมื่อเร็ว ๆ นี้มีบางสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น…”
เคเดย์กล่าว
เทรนท์โบราณเงยหน้าขึ้นพลางมองออกไปยังที่ไกล ๆ อาจเป็นภาพลวงตา แต่ดูเหมือนว่าดวงตาของอีกฝ่ายจะเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมาชั่วครู่ ต่อมาเขาก็เริ่มพูดอีกครั้ง
“ก่อนที่เราจะไปถึงเรื่องนั้น… เจ้าหนู เจ้ามีแอลกอฮอล์ติดมือมาบ้างไหม ? ข้ากำลังมองหาของบางอย่างอยู่”
…
“อ่า รสชาตินี้มันช่างน่าคิดถึงจริง ๆ รสชาติของดินสีดำในโอลเซน มันเป็นรสชาติที่ลืมไม่ลงเลยจริง ๆ…”
เทรนท์โบราณเทถังไวน์เห็ดสีเหลืองซีดลงในรูต้นไม้ของเขาอย่างต่อเนื่อง พร้อมครางอย่างมีความสุข แม้ว่าการเปรียบเทียบแปลก ๆ ที่ใช้ในที่นี้จะทำให้โรเอลสับสนก็ตาม
ทันทีที่เคเดย์ร้องขอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากโรเอล เด็กชายก็เผยรอยยิ้มว่า ‘เฮ้ ฉันเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว’ และโบกมือให้ซินเทียและคนอื่น ๆ นำแอลกอฮอล์สิบถังมาตั้งข้างหน้าอีกฝ่าย เขาคิดว่านี่น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เทรนท์โบราณนั้นไม่ได้ดื่มสุราโดยดูดผ่านรากของเขา แต่เป็นการเทลงในรูต้นไม้โดยตรง
แอลกอฮอล์นั่นหายไปอย่างรวดเร็ว แต่โชคดีที่มันเพียงพอที่จะสนองความอยากของเคเดย์ ไวน์เห็ดนั้นได้เกาตรงจุดที่เขาคันอย่างแแท้จริง เช่นเดียวกับคนขี้เมาที่พอใจในบาร์ นี่ทำให้เทรนท์โบราณเริ่มเล่าเรื่องราวของตน
“อิซาเบลลา? ไม่ ข้าไม่รู้จักชื่อนั้น ถึงแม้ว่าข้าจะเคยได้ยินชื่อว่า ‘จักรพรรดินี’ ก็เถอะ ข้าเป็นสมาชิกของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำโดยใช้นามแฝงว่า ‘พงศาวดาร’ เอิ๊ก!”
โรเอลประหลาดใจที่ได้ยินว่าสมัชชายอมรับการที่เทรนท์เป็นสมาชิกจริง ๆ อย่างไรก็ตามเขาก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่า เคเดย์นั้นไม่รู้ว่าอิซาเบลลาเป็น ‘จักรพรรดินี’ เนื่องจากมีการรักษาความลับในระดับสูงภายในสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ… แต่แล้วทำไมเขาถึงคุ้นเคยกับชื่อตระกูล ‘แอสคาร์ด’ ได้ล่ะ?
เคเดย์ครุ่นคิดเป็นเวลานานเกี่ยวกับคำถามนี้ ก่อนจะดื่มไวน์ลงไปอีกถังหนึ่งพร้อมถอนหายใจ
“คำตอบนั้นง่ายมาก ข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำยังไงล่ะ และผู้นำคนแรกของสมัชชาที่ชื่อว่า ลูเซนด์ อาร์เด้ นั้นเป็นบรรพบุรุษของเจ้า”
“หืม?”
ดวงตาของโรเอลเบิกกว้างเล็กน้อย งุนงงกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน
เดี๋ยวนะ แอสคาร์ด กับ อาร์เด้ … พวกเทรนท์หูไม่ดีเหรอ?
เคเดย์สังเกตเห็นใบหน้าอันสับสนของโรเอล ดังนั้นเขาจึงอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ตระกูลอาร์เด้ อยู่ในยุคที่พวกเจ้าเรียกกันว่ายุคที่สอง เป็นหนึ่งในตระกูลลับที่ปกครองจักรวรรดิออสทีนโบราณ ซึ่งทำงานอยู่เบื้องหลังเงามืด เพื่อให้แน่ใจว่าความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมมนุษย์จะไม่เสื่อมถอย พวกเขาเป็นคนรุ่นแรกที่ก่อตั้งสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำขึ้น และนำตระกูลต่าง ๆ มาเข้าร่วมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติทุกประเภท”
“แต่เช่นเดียวกับการที่พืชผลิบานในฤดูใบไม้ผลิและเหี่ยวเฉาในฤดูใบไม้ร่วง สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำพบว่าตัวเองต้องเผชิญกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ในช่วงใกล้จะสิ้นสุดยุคที่สอง ตอนที่จักรวรรดิออสทีนโบราณล่มสลายลง หลังจากนั้นไม่นาน เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามจากลัทธิผู้ศรัทธาผู้กอบกู้ ตระกูลอาร์เด้จึงถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดตระกูลหลัง โดยแกนกลางของตระกูลเหล่านั้นก็คือตระกูลแอสคาร์ด”
“ด …เดี๋ยวก่อน ขอเวลาผมทำความเข้าใจข้อมูลก่อน…”
เมื่อต้องเผชิญกับข้อมูลจำนวนมากที่เคเดย์ถ่ายทอดมาในลักษณะของการสรุป โรเอลจึงรีบยกมือขึ้นเพื่อหยุดเขาไว้ครู่หนึ่ง เด็กชายถูขมับพลางค่อย ๆ ซึมซับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน
เริ่มจาก สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ถูกก่อตั้งโดยบรรพบุรุษของตระกูลแอสคาร์ด? ฟังดูแปลกนิดหน่อย เพราะเราไม่เคยอ่านเจอชื่อของตระกูลอาร์เด้ในบันทึกเกี่ยวกับจักรวรรดิออสทีนโบราณมาก่อนเลย… และที่สำคัญที่สุด ‘ผู้กอบกู้’ คืออะไรกันแน่?
“ท่านเคเดย์ ผู้กอบกู้เป็นเทพเจ้างั้นเหรอ? แล้วทำไมลัทธิผู้ศรัทธาผู้กอบกู้ของเขาถึงต้องไล่ล่าสมาชิกของตระกูลอาร์เด้?”
“ผู้กอบกู้งั้นเหรอ? ข้ารู้แค่ว่าการดำรงอยู่ของเขาเกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะเกิดซะอีก แต่ข้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวตนของเขามากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ เขายิ่งใหญ่กว่าแนวคิดของคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาก”
สีหน้าเคร่งขรึมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเคเดย์ ขณะที่เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
“เขาเป็นตัวตนในสมัยโบราณที่รวบรวมความบ้าคลั่งและความเลวทรามที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเอาไว้ ผู้ทำลายอารยธรรม ขณะนี้ว่ากันว่าเขากำลังอยู่ในสภาวะหลับใหล แต่เขานั้นมีบทบาทอย่างมากในการสูญพันธุ์ของเผ่าพันธุ์ในตำนานมากมาย เป้าหมายหลักของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำก็คือการป้องกันการตื่นของเขา นอกจากนั้นแล้วข้าเกรงว่าข้านั้นไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ เกี่ยวกับเขา เนื่องจากธรรมชาติโดยกำเนิดของข้า ทำให้ข้าไม่ได้มีส่วนร่วมในกิจการของสมัชชาเท่าไหร่นัก”
“…”
คำอธิบายของเคเดย์ ทำให้โรเอลรู้สึกหนาวเหน็บไหลไปถึงสันหลัง เขาใช้เวลาสงบสติอารมณ์ก่อนจะหันไปสนใจเรื่องที่สำคัญกว่า
แม้ว่าตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวที่เมื่อตื่นขึ้นมาจะทำลายล้างโลก จะน่ากลัวแค่ไหน แต่ศัตรูโดยตรงที่โรเอลต้องระวังในที่นี้ น่าจะเป็นผู้ศรัทธาในตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวที่ว่ามากกว่า
“ใครคือลัทธิผู้ศรัทธาผู้กอบกู้”
“มีพวกเขาอยู่มากมายเกินไป พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ที่แลกอิสรภาพในการตัดสินใจ เพื่ออำนาจที่มากขึ้น พวกเขาเคยเป็นองค์กรที่มีชื่อว่า ลัทธิผู้ศรัทธาผู้กอบกู้ในยุคที่สอง มีจำนวนมากมหาศาลราวกับใบไม้ร่วง พวกเขาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ตกอยู่ในความเลวทรามในช่วงเวลาอันวุ่นวาย และจมปลักอยู่กับความกลัว”
“… เข้าใจแล้ว”
โรเอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาเคยอ่านเจอเรื่องของลัทธิผู้ศรัทธาผู้กอบกู้ในบันทึกประวัติศาสตร์ และเป็นที่ทราบกันดีว่าพวกเขาเป็นลัทธิชั่วร้ายที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของยุคที่สอง อย่างไรก็ตามไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเทพเจ้าที่พวกเขาบูชาเลย เป็นไปได้ว่าแม้แต่ผู้เขียนหนังสือก็น่าจะไม่สามารถรวบรวมข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นมาได้
โรเอลรู้สึกว่าสิ่งที่ตนได้ยินมาจากเคเดย์ เป็นความลับที่สำคัญมากในอดีต แต่ตอนนี้มันไม่มีความหมายสำหรับเขาเท่าไหร่นัก เนื่องจากเหตุการณ์นั้นห่างไกลเกินไปในประวัติศาสตร์ พวกเขาจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในยุคปัจจุบันอีกต่อไป ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โรเอลจึงตัดสินใจถามถึงช่วยเวลาที่ใกล้เคียงกับยุคปัจจุบันขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านเคยได้ยินชื่อของ ‘วินสเตอร์ แอสคาร์ด’ รึเปล่า?”
“ไม่ได้เคยได้ยินเลยแฮะ แต่ข้าพอจะเดาได้ว่าเจ้ากำลังพูดถึง ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว นั่นแหละเขา!”
“ข้าเคยเข้าร่วมการประชุมครั้งใหญ่ในช่วงหลายปีที่เขายังทำงานอยู่ แม้ว่าข้าจะไม่รู้จักชื่อของเขา แต่เขาก็รู้เรื่องของข้า และเคยให้แอลกอฮอล์กับข้ามาก่อน ใช่แล้ว มันเป็นไวน์เห็ดแบบเดียวกับที่เจ้านำมาให้ข้านั่นแหละ”
ขณะที่เทรนท์โบราณหวนคิดถึงอดีต กิ่งก้านของเขาเอื้อมมือไปหยิบถังแอลกอฮอล์อีกถังหนึ่งและเริ่มเทมันลงในรูต้นไม้ของเขา
“นี่คือไวน์แห่งการพบกันอีกครั้ง มีเพียงแค่ตอนที่ลูกหลานของคนรู้จักข้ามาเยือนเท่านั้นที่ข้าจะได้ลิ้มลองรสชาติอันมหัศจรรย์ของมัน… ข้าคิดว่าคนสุดท้ายที่แวะมาคือชายหนุ่มที่มีชื่อว่าโร แต่เขาไม่ได้นำไวน์เห็ดติดตัวมาด้วยมากนัก”
“โร?”
“ใช่แล้ว ประมาณช่วงฤดูใบไม้ผลิเมื่อราว ๆ 300 ปีก่อน ในช่วงเวลาราว ๆ นี้เลย เขามาที่นี่เพื่อแจ้งให้ข้าทราบว่า สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำได้ยุบตัวลงไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาพบที่นี่จากข้อมูลที่ ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ ได้ทิ้งเอาไว้… แน่นอนว่า ข้าพอจะเดาได้ เพราะตอนนั้นมันก็ไม่มีใครเอาไวน์เห็ดมาให้ข้าเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งคำพูดของเขาก็ได้ยืนยันข้อสงสัยของข้า สมัชชา… ในที่สุดก็พบกับฤดูหนาว”
เคเดย์กล่าวอย่างเศร้าโศก
กลับกันแล้วโรเอลรู้สึกประหลาดใจมากที่ได้ยินว่า โร แอสคาร์ด สามารถหาสถานที่แห่งนี้พบได้โดยเดินตามรอยเท้าของวินสเตอร์ ในสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ
เทรนท์โบราณร่างสูงตระหง่านจ้องมองเด็กชายผมดำต่อไปพลางดื่มไวน์เห็ด ในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมา สมาชิกของตระกูลแอสคาร์ด ที่สามารถปลุกพลังสายเลือดกลับคืนมา ก็ได้ค้นพบเส้นทางมายังป่าเครอน เพื่อมาเผชิญหน้ากับเขา ชั่วขณะหนึ่งที่เงาลาง ๆ ของชายอีกคนหนึ่งเมื่อหลายศตวรรษก่อนก็ได้ทับซ้อนเข้ากับเด็กชายผมดำตรงหน้าของเคเดย์ แม้ว่าภาพลวงตานี้จะคงอยู่เพียงชั่วครู่ก็ตาม
จากนั้น ดวงตาที่งุนงงของเทรนท์ก็ค่อย ๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้ง
“นี่คือมรดกทางสายเลือดงั้นเหรอ?”
เคเดย์บ่นพึมพำอย่างโหยหา
ส่วนโรเอลนั้นยังคงครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ
เดี๋ยวก่อนนะ โร แอสคาร์ด เดินตามรอยเท้าของวินสเตอร์มาที่นี่ เหมือนกับที่เรากำลังทำอยู่ในตอนนี้เลยไม่ใช่เหรอ? หรือก็คือ …
“ท่านเคเดย์ ชายที่ชื่อว่า โร ได้บอกอะไรท่านบ้างตอนที่เขามาหาท่านในตอนนั้น? เขากำลังตามหาสัญลักษณ์แห่งการคัดสรรของสมัชชาด้วยรึเปล่า?”
“ใช่แล้ว เขาอยากได้จี้โอ๊คของข้า”
เทรนท์โบราณตอบ
“เขาบอกว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปยังดินแดนแห่งการศึกษาอันห่างไกล เพื่อค้นหาเบาะแสเพิ่มเติม”
จริง ๆ ด้วย! เป้าหมายของเขาคือการมองหา ‘นักวิชาการ’ !
โรเอลเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“โรบอกผลการสืบสวนของเขากับท่านรึเปล่า? ผมเชื่อว่าสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำน่าจะล่มสลายลงในยุคของเขา ดังนั้นเขาต้องมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แน่ ”
พลังสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด การยุบตัวของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ การล่มสลายอย่างกะทันหันของอารยธรรมมนุษย์ในยุคที่สอง และตระกูลอาร์เด้ ความลึกลับเหล่านี้ได้เขย่าหัวใจของโรเอลเป็นอย่างมาก และเขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ให้ได้
ทว่าจู่ ๆ เทรนท์โบราณตรงหน้าโรเอลก็เริ่มลูบไล้ร่างกายของเขาอย่างน่าประหลาดใจ
หืม? เขากำลังทำอะไร มีหนอนติดตัวเขางั้นเหรอ?
“เคเดย์?”
“ขอเวลาให้ข้าสักครู่ ให้ข้าหาสักพักว่าข้าเก็บมันไว้ที่ไหน… ใช่แล้ว ข้าซ่อนมันไว้ที่นี่นี่เอง”
เทรนท์โบราณบิดตัวไปด้านข้างเล็กน้อย แสดงให้โรเอลเห็นร่างกายด้านซ้าย ก่อนที่ชี้ไปที่ลำต้นของเขาด้วยกิ่งก้าน
“มันน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งแถว ๆ นี้ เขาฝากข้อความไว้กับข้า”
“อะไรกัน?”
“อย่างที่ข้าเคยบอกเจ้าไปก่อนหน้านี้ นามแฝงของข้าในสมัชชาคือพงศาวดาร แม้ว่ามันจะฟังดูน่าขัน แต่ตอนนี้ข้าก็ได้กลายเป็น ‘พงศาวดาร’ ไปแล้วจริง ๆ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถเก็บร่องรอยต่าง ๆ บนร่างกายเอาไว้ได้ และด้วยที่อายุขัยของข้านั้นยาวนานกว่ามนุษย์ สมาชิกสมัชชาหลายคนจึงเลือกที่จะจารึกข้อมูลสำคัญไว้บนร่างกายของข้า เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะถูกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง โร ได้ฝากข้อความนี้ไว้ และข้าก็จำได้ว่าเขาบอกว่า เขาอยากจะฝากข้อความนี้ไว้ให้กับสำหรับสมาชิกในอนาคตของตระกูลแอสคาร์ด ลองมองหาดูรอบ ๆ หน่อยก็ได้”
โรเอลผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะลงมือหาอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้พลังเวทของเขา ทำให้เด็กชายสามารถกระโดดจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่งได้อย่างรวดเร็วไปจนถึงบริเวณที่เคเดย์ชี้ไว้ให้เขา
โรเอลใช้เวลาค้นหาเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็พบคำแกะสลักที่แฝงไปด้วยความเคร่งขรึม เด็กชายอ่านข้อความอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็ทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงด้วยความประหลาดใจ
【สำหรับผู้ที่มาหลังจากข้า โปรดจำไว้ว่า จงอย่าไว้ใจ ตระกูลแอคเคอร์มันน์
-โร แอสคาร์ด 】