บทที่ 233: การเริ่มต้นใหม่
หนึ่งปีต่อมา ณ อาณาจักรแห่งการศึกษา …
เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง ในที่สุดเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล เลนสเตอร์ ก็ได้ถูกปลดปล่อยจากความหนาวเหน็บของฤดูหนาว เมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวยมากขึ้น ต้นไม้ใบหญ้าต่าง ๆ ก็เริ่มหวนคืนกลับมาตามท้องถนน พร้อมกับการแต่งตัวของผู้คนที่เริ่มเบาบางสบายตัว
ราวกับสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เมืองก็ค่อย ๆ คึกคักและมีชีวิตชีวามากขึ้น… แม้ว่าเหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังคือ การเริ่มต้นภาคการศึกษาใหม่ของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ก็ตามที
ในทุก ๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ เมืองเลนสเตอร์ จะกลายเป็นเมืองที่พลุกพล่านที่สุดในทวีปเซีย ทั้งขุนนางและสามัญชนล้วนเข้ามารวมตัวกันที่นี่ เพื่อแสวงหาความรู้
อาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลเป็นที่ตั้งของ ภาคีแห่งปัญญามากกว่า 80% ที่นี่จึงมีสถาบันการศึกษามากมายหลากหลาย ทำให้เมืองเลนสเตอร์ ที่เป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษาของมนุษยชาติได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งสถาบันการศึกษา
ที่ดินกว่า 60% ของเมืองเลนสเตอร์นั้นเป็นพื้นที่ของสถาบันการศึกษา โดยมีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษามากกว่ายี่สิบแห่ง ซึ่งรับผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป โดยธรรมชาติแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่สถานศึกษาจะจำกัดตัวเองให้รับเพียงแต่ชนชั้นขุนนางเท่านั้น ทำให้ที่นี่ประกอบไปด้วยประชากรสามัญชนเป็นส่วนใหญ่
สถาบันการศึกษา เลนสเตอร์ เทอเทียรี่ สถาบันหญิงล้วนเซซิเลีย และ สถาบันการศึกษาเซนต์ไวส์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาคีแห่งปัญญาที่ใหญ่ที่สุด ทำให้แต่ละแห่งต่างก็มีจุดแข็งเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตาม หากมีการจัดอันดับสถานศึกษาในด้านอิทธิพลแล้วล่ะก็ สถาบันที่โดดเด่นที่สุดในอันดับต้น ๆ ก็คงไม่พ้นสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ก่อตั้งขึ้นเมื่อเก้าร้อยปีที่แล้ว มันเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในเลนสเตอร์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกันกับอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล อันที่จริงแล้วจะนับว่าเลนสเตอร์เป็นเพียงเมืองที่สร้างขึ้นรอบ ๆ สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเลยก็ยังได้ เพราะมันเกิดจากการที่มีจำนวนนักเรียนเข้ามาที่นี่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อเวลาผ่านไป พื้นที่โดยรอบก็กลายเป็นแบบในปัจจุบัน
แล้วอิทธิพลของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่ายิ่งใหญ่แค่ไหนงั้นเหรอ?
นี่เป็นคำถามที่ค่อนข้างยาก แต่ตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับคำถามนี้ ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงงานที่ใหญ่ที่สุดของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า อย่างเช่น วันครบรอบการก่อตั้งสถาบัน
ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงหลายคนในวันครบรอบการก่อตั้งสถาบันครั้งก่อน ๆ ได้แก่ จักรพรรดิของจักรวรรดิออสทีน พระสังฆราชของจักรวรรดิเซนต์เมซิท นักวิชาการระดับสูงของอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล และ จักรพรรดิของอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ ถ้าหากเมืองโรซ่าถูกก่อตั้งก่อนตอนนั้น หัวหน้าสมาคมพ่อค้าโรซ่าเองก็คงจะอยู่ในรายชื่อแขกด้วยเช่นกัน
สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่ามีเครือข่ายทางสังคมที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย และอาจเป็นเครือข่ายทางสังคมที่น่ากลัวที่สุดในทวีปเซียเลยก็ว่าได้
ยิ่งไปกว่านั้นการสำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า สามารถเทียบได้กับการสืบทอดมรดก การที่ทั้งจักรพรรดิและผู้มีอำนาจมากหน้าหลายตาในรุ่นก่อน ๆ ล้วนจบการศึกษาออกจากที่นี่ ทำให้ลูกหลานของพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำแบบเดียวกันให้ได้ด้วย
ทุกจุดอ่อนที่ถูกเปิดเผยในแวดวงการเมืองจะหลอกหลอนชนชั้นสูงไปตลอดชีวิต หากผู้สืบทอดจากตระกูลชนชั้นสูงของอาณาจักรใหญ่ ๆ ไม่ฉลาดพอที่จะเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า คู่แข่งทางการเมืองของเขาก็จะใช้จุดบอดนี้เป็นอาวุธ เพื่อตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติและความชอบธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่
นอกจากนี้ เมื่อทายาทผู้สืบทอดของอาณาจักรเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่ง ขุนนางในรุ่นเดียวกันคนอื่น ๆ ก็จะต้องปฏิบัติตาม เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเสี่ยงต่อการถูกกีดกันทางสังคม
กระแสนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อน และได้รับการสนับสนุนครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งได้เสริมความแข็งแกร่งทางภาพลักษณ์ให้กับสถาบันเซนต์เฟรย่า ทว่านอกเหนือจากประเด็นทางด้านอิทธิพลแล้ว เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ยังคงเป็นอันดับหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่าความหรูหราของมัน
แม้ว่าจะผ่านไปนานสักกี่ปี เหล่าผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ล้วนหวนนึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในสถานศึกษาในเวลาที่พวกเขาพบกับความยากลำบากในชีวิต หวนนึกถึงสายสัมพันธ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นที่นั่น ช่วงเวลาอันสงบสุข สนุกสนานในสถานศึกษานั้นช่างตรงกันข้าม กับการทรยศหักหลัง และกลอุบายมากมายที่พวกเขาต้องเผชิญในสังคม ทำให้ความทรงจำเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสุขที่ไม่อาจเทียบ
แน่นอนว่าว่าศิษย์เก่าของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเองก็ด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ เหล่าศิษย์ที่หวนนึกถึงอดีตนั้น ล้วนเป็นผู้ทรงอิทธิพลในทวีปเซีย ดังนั้นการบริจาคที่พวกเขามอบให้สถาบันจึงมีมหาศาลกว่ามาก เรียกได้ว่า สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า เป็นสถานศึกษาที่ได้รับการบริจาคโดยขุนนางทั่วทวีปเซียทั้งหมดเลยก็ว่าได้
แม้ว่าสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าจะเป็นอันดับหนึ่งในเลนสเตอร์ แต่นักเรียนที่สามารถเข้าร่วมได้ในแต่ละปีกลับมีจำนวนไม่มากเท่าไหร่นัก บางทีอาจเป็นเพราะจำนวนที่มีน้อย จึงทำให้นักเรียนที่สวมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ‘หนังสือแห่งความจริง’ ของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน แม้ว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในเลนสเตอร์จะเป็นนักเรียนเหมือน ๆ กันก็ตาม
เช่นเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมถนนในเขตสถานศึกษาคนนี้ เขาถือเป็นตัวอย่างที่ดีเลยทีเดียว การปรากฏตัวของเขาได้ดึงดูดสายตาของนักเรียนมากมาย
“นั่นนักเรียนชายจากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่านี่นา!”
“ชู่ว! เธอพูดเสียงดังเกินไปแล้ว!”
“… ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นชนชั้นสูงนะ น่าจะมาจากตระกูลผู้มีอิทธิพลซะด้วย”
อีกด้านหนึ่งของถนน กลุ่มเด็กสาวจากสถาบันสตรีเซซิเลีย นั่งพูดคุยกันอย่างเข้มข้นที่โต๊ะ พลางแอบมองไปที่เด็กหนุ่มผมดำ ซึ่งพวกเธอก็ไม่ใช่กลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวที่ทำเช่นนี้
นอกเหนือจากเหล่านักเรียนผู้ฝึกฝนอย่างหนัก และมาที่นี่โดยมีจุดประสงค์ที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นแล้ว ก็ยังมีเหล่านักเรียนผู้ที่ต้องการแสวงหาความรักตั้งแต่ในวัยเด็กอีกด้วย เหล่าเยาวชนที่มายังเมืองเลนสเตอร์แห่งนี้ ล้วนมีความหวังและความฝันเป็นของตนเอง อย่างไรก็ตามการรวมตัวของเยาวชนจำนวนมาก ยอมส่งผลให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนตามช่วงวัยที่มากขึ้นไปด้วยเช่นกัน
มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากมนุษย์เองก็ถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณในระดับหนึ่ง มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะถูกดึงดูดโดยเพศตรงข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอีกฝ่ายมีลักษณะที่โดดเด่น
ด้วยที่เมืองเลนสเตอร์แห่งนี้เป็นแหล่งรวมเหล่าผู้มีพรสวรรค์ในอนาคตของทวีปเซีย และนักเรียนของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเองก็ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำให้คนอื่นมองพวกเขาในแง่ดีจากอิทธิพลของมัน
มันจึงไม่แปลกอะไรที่เหล่านักเรียนหญิงของสถาบันหญิงล้วนเซซิเลีย ผู้แทบจะไม่ได้ติดต่อกับผู้ชาย มักจะถูกดึงดูดเข้าหาเหล่านักเรียนชายของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า… ซึ่งการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผมดำก็เป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ในแง่ของรูปลักษณ์ เขามีร่างกายที่ผอมเพรียว และมีใบหน้าที่หล่อเหลาชัดเจน เขาสวมเสื้อคลุมสีเข้มให้ความรู้สึกลึกลับ เมื่อจับคู่กับนัยน์ตาสีทองของเขา ในแง่ของบรรยากาศ เด็กหนุ่มคนนี้เปล่งบรรยากาศอันสงบออกมา ทำให้ผู้อื่นรู้สึกสบายใจ แม้ว่าจะมีบรรยากาศของชนชั้นสูงอยู่รอบ ๆ ตัวเขา แต่มันก็กลมกลืนไปด้วยบรรยากาศอันอ่อนโยนนี้ ให้อารมณ์ราวกับสุภาพบุรุษผู้สุภาพเรียบร้อย
เด็กหนุ่มนั้นกำลังอ่านหนังสือในมืออย่างตั้งใจ หากพิจารณาจากสภาพภายนอกที่ดูเก่าและกระดาษที่มีสีเหลือง มันก็น่าจะเป็นบันทึกโบราณที่มีประวัติยาวนาน เหมือนกับไม้เท้าโบราณที่อยู่ข้าง ๆ เขา แม้ว่าที่นี่จะพลุกพล่านไปด้วยฝูงชนที่เดินทางไปมาในช่วงเริ่มต้นของภาคการศึกษา แต่รอบตัวเด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกลับและเงียบสงบ
“มันจะดูเสียมารยาทไปรึเปล่า ถ้าฉันเดินเข้าไปถามชื่อเขาตรง ๆ?”
“เขาเป็นเด็กใหม่หรือรุ่นพี่ล่ะ?”
“เรื่องนั้นมันสำคัญด้วยเหรอ? รีบตัดสินใจเถอะ ไม่งั้นพวกผู้หญิงจากสถาบันการศึกษาเซนต์ไวส์ได้ชิงลงมือก่อนพวกเราแน่!”
กลุ่มเด็กสาวที่นั่งมองเด็กหนุ่มกันอยู่นั้นดูประหม่าอย่างเหลือเชื่อ พวกเธอกังวลว่าจะมีคนอื่นมาแย่งชิงเขาไป แต่ด้วยที่วัฒนธรรมส่วนใหญ่ของทวีปเซียยังค่อนข้างมีแนวคิดที่อนุรักษ์นิยม ประกอบกับพวกเธอเพิ่งมาถึงอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลได้ไม่นาน เด็กสาวเหล่านี้จึงต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากในการเข้าหาฝ่ายชาย
ขณะที่พวกเธอกำลังกระตุ้นกันและกันให้เคลื่อนไหว เด็กหนุ่มผมดำบนเก้าอี้ก็ขยับตัว
โรเอล แอสคาร์ด ปิดหนังสือในมือของตนแล้วเงยหน้าขึ้น หลังจากปล่อยให้พลังเวทไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เด็กหนุ่มก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ตัว ทำให้เหล่าเด็กสาวที่มองมาที่เขาเมื่อครู่ต้องเบนสายตาหนีไปในทันที
แม้จะถูกจับจ้องโดยสายตาของคนหมู่มาก แต่โรเอลก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขามักจะตกเป็นศูนย์กลางความสนใจ ด้วยสถานะผู้สืบทอดของตระกูลแอสคาร์ด ทำให้แม้แต่ในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดเอง สายตาของเหล่าสาวใช้และคนรับใช้ก็มักจะเพ่งมาที่เขา
เด็กหนุ่มเคยชินกับสายตาของฝูงชนมากพอที่จะละเลยต่อความสนใจเหล่านั้นได้ อย่างไรก็ตามโรเอลก็อดคิดไม่ได้ว่าตราสัญลักษณ์ ‘หนังสือแห่งความจริง’ ของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่านั้นดึงดูดความสนใจมากเกินไป
ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน มันก็ดึงดูดสายตาของผู้คนอยู่เสมอเลย โรเอลคิดพร้อมถอนหายใจ
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะหันความสนใจไปที่นาฬิกาในมือของตน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โรเอลก็พยักหน้า
ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ
เด็กหนุ่มเก็บหนังสือแล้วเอื้อมมือไปหาไม้เท้าของตน โรเอลนั้นไม่ได้มาที่นี่ในตอนเช้าเพื่อรับแสงแดดอันอบอุ่นแต่อย่างใด เขามาที่นี่เพื่อรอชายคนหนึ่งและรถม้าอีกคัน
ไม่นานนักคนที่เขารอคอยก็มาถึงในที่สุด
ที่ปลายถนน เด็กหนุ่มผมดำตาสีฟ้ากำลังเดินคอตกเข้ามา เขากำลังถือกระดาษแผ่นหนึ่งพลางเดินไปตามถนนอย่างครุ่นคิด ไม่ไกลนัก มีรถม้าที่ประดับประดาอย่างวิจิตร ซึ่งมีตราสัญลักษณ์ของตระกูลโซโรฟยาติดอยู่ ส่องแสงระยิบระยับสะท้อนภายใต้แสงอาทิตย์
“ในเมื่อทุกคนมาที่นี่แล้ว มันก็ถึงเวลาที่เราจะออกโรงสินะ”
โรเอลบ่นพึมพำพร้อมลุกขึ้นยืน