บทที่ 234: เขาเป็นคนดีจริงๆ
‘โรเอล แอสคาร์ด เป็นคนที่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง’ หลังจากที่ฟื้นความทรงจำในอดีตชาติกลับมา เกือบทุกคนที่รู้จักโรเอล ต่างก็ประเมินเขาไว้เช่นนั้น
ตั้งแต่วินาทีที่โรเอลตระหนักได้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของโลก เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าตนเองไม่ใช่คนที่ได้รับพรจากโลกนี้แต่อย่างใด เด็กหนุ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซุ่มอยู่รอบ ๆ ตัวเอง จนไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ แม้ว่าจะเอาชนะอลิเซียและนางเอกคนอื่น ๆ ให้มาอยู่ฝั่งของตัวเองได้แล้วก็ตาม
เหตุผลหลักที่ทำให้โรเอลเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าเขากลัวโครงเรื่องเดิมของเกมนี้
หลายปีที่ได้มาอาศัยอยู่ในโลกนี้ ทำให้โรเอลไม่คิดว่า อาย ออฟ โครนิเคิลเป็นเกมง่าย ๆ อีกต่อไป ตอนนี้โลกนี้คือความเป็นจริงในปัจจุบันของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่ามันจะเป็นโลกแห่งเกมจีบสาวหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าหากชะตากรรมของเขาเป็นไปตามโครงเรื่องหลักแล้วล่ะก็ ช่วงเวลาที่สถานศึกษาจะต้องเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่โรเอลพยายามฝึกฝนอย่างหนักมาจนถึงตอนนี้ ก็เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโครงเรื่องหลักให้ได้มากที่สุด เด็กหนุ่มไม่คิดว่าความพยายามของตนเองจะไร้ผล เพราะเขาได้เปลี่ยนมุมมองของอลิเซีย นอร่า และชาร์ล็อต ที่มีต่อตัวเองไปแล้ว อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่มั่นใจว่านี่จะเพียงพอ
แม้ว่านางเอกสามในสี่คน จะไม่ได้เกลียดชังโรเอลอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็คิดว่ามันคงจะเป็นการประมาทเกินไป หากเพียงตนเองละเลยภัยคุกคามที่เกิดจากองค์ประกอบหลักอื่น ๆ ที่อาจนำไปสู่ความตายของเขา
เด็กหนุ่มผมดำตาสีฟ้าที่กำลังเดินย่ำไปมาบนถนน ขณะจ้องมองกระดาษในมือนั้น เป็นคนที่โรเอล แอสคาร์ดคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเขาคนนี้ก็คือตัวเอกของเกม อาย ออฟ โครนิเคิล พอล แอคเคอร์มันน์นั่นเอง
ถ้าโรเอลจำไม่ผิด นี่คือฉากเปิดเกมที่เกิดขึ้นภายใน 30 วินาทีแรกของเนื้อเรื่อง มันเป็นคัตซีนที่สามารถเก็บเอาไว้ดูทีหลังเพื่อเล่นซ้ำได้จากเมนูหลัก
ตัวเอกส่วนมากในอดีตชาติของโรเอล มักจะไปโรงเรียนสายในวันแรกด้วยเหตุผลต่าง ๆ นาๆ ไม่ว่าเขาจะนอนตื่นสาย หรือเดินชนเข้ากับสาวสวยที่คาบขนมปังอยู่ในปาก ซึ่งในฐานะตัวเอกของเกมจีบสาว พอลเองก็มีฉากตามสูตรสำเร็จแบบนั้นเช่นกัน เพียงแค่ว่าสาวที่คาบขนมปังนั้นถูกแทนที่ด้วยรถม้าขนาดใหญ่
ในช่วงเริ่มต้นของเกม พอล แอคเคอร์มันน์ นั้นกำลังถือแผนที่ที่สาวใช้ของเขาวาดไว้ให้ พลางมองหาทางไปสู่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าในเมืองต่างแดนอันกว้างใหญ่นี้ ด้วยความกังวลว่าตนเองจะไปไม่ทันพิธีเปิดการศึกษา เนื่องจากพอลเพิ่งถูกพบตัวโดยตระกูลแอคเคอร์มันน์ได้ไม่นาน นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเหยียบเมืองใหญ่ ๆ อย่างเลนสเตอร์ นับตั้งแต่ที่เติบโตขึ้นมาในชนบท
ยิ่งไปกว่านั้น พอลยังลืมนำเครื่องหมาย ‘หนังสือแห่งความจริง’ ติดตัวมาด้วย ส่งผลให้เมื่อเขาขอความช่วยเหลือจากใครก็ตาม คนก็มักจะเข้าใจผิดว่าเด็กหนุ่มนั้นพยายามที่จะใช้มันเป็นข้ออ้างในการจีบ ทำให้ไม่มีใครสนใจเขาเลย
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พอลจึงทำได้เพียงแค่อ้างอิงเบาะแสเพียงอย่างเดียวที่ตนมี แผนที่ที่สาวใช้ของเขาวาดมาให้ และพยายามหาทางไปยังสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มนั้นจดจ่ออยู่กับแผนที่มากเกินไป จนไม่ได้ระมัดระวังสภาพแวดล้อมก่อนจะข้ามถนน เขาได้ไปยืนขวางทางรถม้าของตระกูลโซโรฟยาโดยบังเอิญ ทำให้ม้าของพวกเขาตื่นตกใจ และ ชาร์ล็อตผู้กำลังเร่งรีบก็โกรธเคืองเขาจนถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตี
นี่คือการพบกันครั้งแรกของ พอลและชาร์ล็อต ความบังเอิญที่ส่งผลให้เกิดเป็นความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องทั้งหมดนั้นกำลังจะเปลี่ยนไป ด้วยฝีมือของโรเอล แอสคาร์ด ที่มาดักรออยู่ที่นี่
…
“เลช่า วาดภาพอะไรของเธอกันแน่เนี่ย?”
พอลจ้องไปที่แผนที่ในมือด้วยใบหน้าอันสับสน เขาเงยหน้าขึ้นสลับกับก้มศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังที่จะเปรียบเทียบสถานที่สำคัญในแผนที่ กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงตัวแปรทั้งสองเข้าด้วยกันได้เลยแม้แต่น้อย
นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่ที่พอลมาถึงเมืองเลนสเตอร์ อย่างไรก็ตามเขายังไม่เคยได้เดินสำรวจไปรอบ ๆ เมืองนี้เลย เนื่องจากการฝึกอบรมพิเศษ
แม้ว่าพอลจะเป็นลูกนอกสมรสของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิออสทีน ที่มีเรื่องชู้สาวในช่วงที่กำลังตรวจสอบความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ช่วงสิบหกปีแรกในชีวิตของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้สดใสนัก ในฐานะเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงจากหมู่บ้านอันห่างไกลในจักรวรรดิออสทีน เขาไม่เคยได้รับความรักจากใครหรือการศึกษาใด ๆ มาก่อนเลย พอลจึงมีเพียงแค่ความรู้ทั่ว ๆ ไป ทักษะการอ่าน การเขียน และการคำนวณขั้นพื้นฐานที่ได้ร่ำเรียนมาจากนักบวชที่เกษียณอายุ และอุทิศเวลาที่เหลือในชีวิตให้กับการทำงานในไร่นาเท่านั้น
เขาคิดว่าชีวิตของตนจะดำเนินต่อไปแบบนั้นตลอดไป จนกระทั่ง จู่ ๆ พอลก็ถูกนำตัวออกจากหมู่บ้านโดยสายลับ ในลักษณะที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นการลักพาตัว ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของก็เต็มไปด้วยความโกลาหล
ทุกคนรอบตัวพอลต่างเรียกเขาว่าองค์ชายแห่งจักรวรรดิออสทีน จู่ ๆ จักรพรรดิที่ดูเหมือนชายวัยกลางคน แต่จริง ๆ แล้วมีอายุมากกว่าหนึ่งศตวรรษ ก็กลายเป็นบิดาของเขา อีกทั้งยังมีพี่ชายอีกสองคนที่เกลียดชังเขา และพี่สาวที่ยังไม่เคยได้พบด้วย
ความประทับใจที่พอลมีในเมืองหลวงเชียอัสของจักรวรรดิออสทีน จึงมีเพียงแค่สองคำ ‘ความมุ่งร้าย’ และ ‘ความเกลียดชัง’
เนื่องจากองค์ชายทั้งสองของจักรวรรดิออสทีนมีอายุได้เกือบสามสิบปีแล้ว ส่วนองค์หญิงลิเลียนเองก็ได้แสดงความสามารถที่เหนือกว่าของเธอออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ขุนนางและผู้มีอำนาจส่วนใหญ่เลือกฝักฝ่ายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้มาใหม่อย่างพอลจึงไม่มีที่ว่างใด ๆ ที่นี่
ในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่อ่อนแอ ที่ขาดการเลี้ยงดูที่เหมาะสมและการสนับสนุนอันทรงพลัง อีกทั้งยังเป็นลูกนอกสมรสที่ถูกทิ้งเอาไว้ในชนบทมานานกว่าทศวรรษ การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของพอล จึงไม่เป็นที่พอใจสักเท่าไหร่ในแวดวงการเมืองของจักรวรรดิออสทีน นี่ทำให้ขุนนางหลายคนมองเขาด้วยความรังเกียจและดูถูก
ตลอดสามเดือนที่พอลพักอยู่ที่เมืองหลวงเชียอัส ไม่มีขุนนางเข้ามาเยี่ยมเยียนเขาเลยแม้แต่คนเดียว นี่ก็มากเกินพอแล้วที่จะเน้นย้ำให้เห็นถึงทัศนคติของเหล่าขุนนางที่มีต่อเขา ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิลูคัสจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งพอล ที่มีอายุได้สิบหกปีแล้วไปที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า โดยหวังว่าความรู้ที่เด็กหนุ่มได้รับจากที่นั่นจะช่วยชดเชยเวลาที่สูญเสียไป จากการอยู่ในแถบชนบทตลอดหลายปีที่ผ่านมา
พอลถูกขังอยู่ในช่วงอบรมอย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพิ่มเสริมสร้างอัดแน่นความรู้เกี่ยวกับการปกครอง ประวัติศาสตร์ ภาษา มารยาท การใช้ดาบ คาถาเวท และความรู้ทั่วไปอื่น ๆ ลงในตัวเขา อย่างไรก็ตามความพยายามในนาทีสุดท้ายอันสิ้นหวังนี้ ก็ไม่ได้กระตุ้นการเติบโตของพอลมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านความสามารถในการใช้พลังเหนือธรรมชาติ ซึ่งแม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป
สิ่งที่ปลอบโยนพอลก็คือ ถึงแม้เขาจะเข้ากับพวกขุนนางได้ไม่ดีนัก แต่เขาก็เข้ากับพวกคนรับใช้ได้ดี ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้จึงเป็นเพียงอุบัติเหตุ
อันที่จริงสาเหตุที่พอลถูกส่งให้ออกมาเพียงลำพังนั้นเป็นฝีมือของครูสอนมารยาทของเขา ซึ่งตั้งใจจะสร้างความมั่นใจให้กับเขาด้วยเหตุการณ์นี้ นักเรียนของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ที่สวมตรา ‘หนังสือแห่งความจริง’ ย่อมได้รับความนิยมชมชอบจากฝูงชน ตามหลักแล้วเด็กหนุ่มจึงน่าจะสอบถามเส้นทางได้อย่างสะดวก และอาจจะทำให้มีผู้หญิงเข้ามาหาเขาเองเลยด้วยซ้ำ!
ทว่าใครจะไปคิดว่าพอลนั้นจะประมาทเลินเล่อ จนลืมนำตรา ‘หนังสือแห่งความจริง’ ติดตัวมาด้วย?
เมื่อไม่มีตราสัญลักษณ์ดังกล่าว พอลก็เหลือเพียงแผนที่ที่สาวใช้ของเขาวาดเอาไว้ให้ สำหรับคนใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชนบทธรรมดา ๆ มาตลอด การที่ต้องถูกทิ้งให้เดินเตร่อยู่ตามลำพังในถนนของเมืองใหญ่ที่แออัดไปด้วยผู้คนเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ไม่ว่าเขาจะพยายามเข้าหาคนที่เดินผ่านไปมาระหว่างทางเพื่อขอความช่วยเหลือแค่ไหน ก็ไม่มีใครคิดจะสนใจ
“ต้องข้ามถนนตรงนี้รึเปล่านะ?”
ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะระงับความวิตกกังวล และความเครียดในหัวจากความคิดที่ว่าตนเองนั้นกำลังจะไปสาย ทำให้พอลเอาแต่จดจ่ออยู่กับแผนที่ พลางพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นจากข้าง ๆ ถนน
“ไม่ ๆ นายควรเดินตรงไป”
“เอ๋?”
พอลที่กำลังตกใจ เงยหน้าขึ้นก่อนจะสบตาเข้ากับเด็กหนุ่มผมดำที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม
อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีดำทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผูกเนคไทดูเรียบร้อย เขามีรูปร่างสูงแต่ผอมเล็กน้อย และนัยน์ตาสีทองที่เปล่งประกายด้วยแสงอันอบอุ่น
พอลตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากการปรากฏตัวที่เปล่งประกายของโรเอล ก่อนจะตระหนักได้ถึงความจริงโดยสัญชาตญาณ
เรากำลังยืนอยู่ต่อหน้าขุนนาง
ความคิดดังกล่าวทำให้พอลก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว ทำให้โรเอลที่เห็นปฏิกิริยาของเขาหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไป
“ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ ฉันคือเพื่อนร่วมชั้นของนายนะ นายกำลังมองหาสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า อยู่ใช่ไหมล่ะ?”
“หา? ครับผม ฮะ? เพื่อนร่วมชั้น?”
“ใช่ เพื่อนร่วมชั้น”
โรเอลแตะเครื่องหมาย ‘หนังสือแห่งความจริง’ พร้อมยิ้มให้กับพอลที่กำลังงุนงง รูม่านตาของเด็กหนุ่มตาสีฟ้าขยายขึ้นก่อนจะรีบขอบคุณเขาด้วยความลนลาน
“ขอบคุณ… อ่า ไม่สิ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน รุ่นพี่ ผ ผมเป็นนักเรียนใหม่ที่ลงทะเบียนในปีนี้ และนี่เป็นครั้งแรกของผมในสถาบันการศึกษา…”
“รุ่นพี่? ไม่ใช่ ๆ นายคิดผิดแล้ว ฉันเองก็เป็นเด็กใหม่เหมือน ๆ กันนั่นแหละ”
โรเอลยื่นมือออกไปเพื่อหยุดพอลซึ่งกำลังจะโค้งคำนับเขาอีกรอบ ทำให้อีกฝ่ายตกตะลึงครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเผยรอยยิ้มออกมาในที่สุด
“นายเองก็เป็นเด็กใหม่เหมือนกันงั้นเหรอ? ดีจริง ๆ! ฉันชื่อ พอล แอคเคอร์มันน์ แล้วนายล่ะมีชื่อว่าอะไร?”
“ฉันชื่อโรเอล แอสคาร์ด”
พอลเฝ้าสังเกตโรเอลอย่างตั้งใจ จนในที่สุดหัวใจของเขาก็สบายใจขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีแรงจูงใจแอบแฝงใด ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ยินว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นบุตรของมาร์ควิสจากจักรวรรดิเซนต์เมซิท หัวใจของเขาสั่นเทาด้วยความไม่สบายใจอีกครั้ง
ทุกคนต่างทราบกันดีว่า จักรวรรดิเซนต์เมซิทนั้นมีความขัดแย้งกับจักรวรรดิออสทีน ซึ่งบุตรชายของขุนนางชั้นสูงอย่างโรเอลเองก็ควรตระหนักได้ถึงความสำคัญเบื้องหลังชื่อสกุลของเขาและเรื่องนี้ ทว่าเนื่องจากอีกฝ่ายดูจะไม่มีเจตนาแอบแฝงอะไร พอลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเดาเจตนาของเขา
เขาไม่สนใจถึงเรื่องนั้น หรือว่าเขายังไม่รู้สึกตัวกัน? หรือว่าเขากำลังเยาะเย้ยเราอยู่ในใจ?
ความคิดของพอลสับสนไปทั่ว ด้วยที่เขาขาดความมั่นใจในตัวเอง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เปล่งความคิดของตนออกมา
“โรเอล นายน่าจะเคยได้ยินชื่อสกุลของฉันใช่ไหม? … จริง ๆ แล้ว ฉันเป็นลูกชายนอกสมรสของจักรพรรดิของจักรวรรดิออสทีน”
“ใช่ ฉันรู้ แล้วมันจะทำไมล่ะ?”
“หา?”
การตอบสนองอย่างสงบของโรเอล ทำให้พอลตื่นตัวโดยสมบูรณ์ มันทำให้เขาตกตะลึงมาก ซึ่งเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย โรเอลก็ค่อย ๆ อธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ไม่ว่านายจะเป็นลูกชายนอกสมรสหรือไม่ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับการที่ฉันจะช่วยเพื่อนร่วมชั้นหาทางไปโรงเรียน นอกจากนี้ชาติกำเนิดเองก็ไม่ใช่สิ่งที่นายจะควบคุมได้ และที่สำคัญที่สุด ตอนนี้ฉันเชื่อว่าพวกเราทุกคนไม่มีสถานะอะไร นอกเสียจาก นักเรียนของอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล หรืออย่างน้อย ๆ นั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันคิด”
“… เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง พอลก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย เขาก้มศีรษะลงเพื่อหลบสายตาอันอ่อนโยนของโรเอล พร้อมความประทับใจต่อขุนนางที่เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้แตกต่าง เขาไม่เหมือนพวกขุนนางที่คอยชี้นิ้วมาที่เรา คอยวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นา ๆ เพื่อรักษาอำนาจของตนเองไว้ ราวกับหลุดมาจากวลีที่ว่า ‘ขุนนางมาจากใจ ไม่ใช่จากสถานะ’
ช่างเป็นคนที่ดีอะไรอย่างนี้!
พอล แอคเคอร์มันน์ ชำเลืองมองเด็กหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม จังหวะนั้นเองบนถนนข้างหน้าก็ได้มีรถม้าที่ประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจงวิ่งผ่านไปท่ามกลางสายลม
“เป็นรถม้าที่สวยงามจริง ๆ”
“ใช่เลย”
พอลแสดงความคิดออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ ซึ่งโรเอลก็พยักหน้าเห็นด้วยด้วยรอยยิ้ม หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไม่นานนัก ความวุ่นวายก็ปะทุขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่อยู่รายรอบ
“เดี๋ยวก่อนนะ ตราสัญลักษณ์นั้น…”
เมื่อสังเกตเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น พอลจึงมองไปที่รถม้าอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น
“นั่นมันรถม้าของตระกูลโซโรฟยา ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปเซียนี่นา! ฉันไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่ด้วย เดี๋ยวนะจากทิศทางที่มันกำลังมุ่งหน้าไป… นั่นมันทางเดียวกับสถาบันการศึกษาของพวกเราไม่ใช่เหรอ…”
จู่ ๆ คำพูดของพอลที่กำลังกระวนกระวายใจหยุดลงทันที ทำให้โรเอลต้องกะพริบตาด้วยความสับสน ขณะเดียวกันความวุ่นวายโดยรอบเองก็เงียบลงเช่นกัน โรเอลมองตามสายตาของฝูงชน ก่อนที่จะหยุดชะงักตามพวกเขาเหล่านั้นไปด้วย
ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะ รถม้าของตระกูลโซโรฟยานั้นได้หยุดลงโดยกะทันหัน