บทที่ 247: เจอแล้ว
‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ เป็นวลีที่ทุกคนเข้าใจโดยปริยายในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า มันคือของขวัญชิ้นแรกที่ทางสถาบันจะมอบให้กับนักเรียนใหม่ทุกคนหลังจากการลงทะเบียน เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับพวกเขาในการประสบความสำเร็จ ค่ำคืนแห่งปีศาจ จึงถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนักเรียนใหม่
แม้ว่ามันจะมีชื่ออันน่าสะพรึงกลัว แต่จริง ๆ แล้ว ค่ำคืนแห่งปีศาจ ก็เป็นเพียงอีกคืนหนึ่งในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือการมีบทบาทของวิญญาณนำทาง
วิญญาณนำทาง หรือที่รู้จักกันในนาม ภูติ เป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา ซึ่งมีรากฐานมาตั้งแต่ในยุคโบราณ พวกมันมีลักษณะเฉพาะหรือความแตกต่างทางเพศใด ๆ ดังนั้นจึงไม่ผิดที่จะเรียกพวกมันว่าพลังเวทที่มีชีวิต
มีการคาดเดามากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของวิญญาณนำทางเหล่านี้ บางคนเชื่อว่าพวกมันเป็นผู้สร้าง สิ่งมีชีวิตที่มีเกียรติ ในขณะที่บางคนก็คิดว่าพวกมันเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถสรุปเกี่ยวกับที่มาที่แท้จริงของมันได้ ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยก็ตาม
สิ่งที่เหล่านักเรียนสนใจมีเพียงแค่ว่าพวกมันจะทำงานได้ดีหรือไม่
วิญญาณนำทางอาจถูกมองว่าเป็นดั่งหิ่งห้อยที่ไม่เป็นอันตรายและพบได้ทุกที่ในโลก อย่างไรก็ตาม ที่นี่ในอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล พวกมันมีบทบาทสำคัญในการนำผู้คนเข้าสู่โบราณสถาน
โบราณสถานของโบรเนลเป็นสถานที่ลึกลับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะต่างจากที่อื่น ๆ ไม่มีใครรู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน และทางเดียวที่จะเข้าถึงได้มีเพียงการใช้วิญญาณนำทางเท่านั้น ใครก็ตามที่อยู่ภายใต้การนำของวิญญาณนำทางจะหายตัวไปในอากาศอย่างลึกลับ ราวกับพวกเขาถูก ‘ชักนำ’ ไปในโบราณสถาน
วิญญาณนำทางแต่ละตัวสามารถจับคู่กับบุคคลได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นมันจึงสามารถนำบุคคลเข้าไปในโบราณสถานได้เพียงคนเดียวต่อตัว พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไวต่อการไหลเวียนของพลังเวท เนื่องจากร่างกายของมันถูกสร้างขึ้นจากพลังเวท ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะ ‘ชักนำ’ คนสองคนไปพร้อม ๆ กันโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้การไล่ตามบุคคลที่จับคู่กับวิญญาณนำทางแล้วเพื่อเข้าไปในโบราณสถานของโบรเนล จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลถูกก่อตั้งขึ้นในบริเวณที่เต็มไปด้วยโบราณสถานและซากปรักหักพังโบราณจำนวนมาก โดยโบราณสถานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าก็คือ ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’
แต่ละคนสามารถเข้าไปยัง ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ ได้เพียงแค่ครั้งเดียวตลอดชั่วชีวิต และสามารถเข้าไปได้เพียงแค่ในเวลากลางคืนเท่านั้น มันเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่ปลอดภัยเพียงไม่กี่แห่ง เป็นดั่งทิวทัศน์ในฝันที่อยู่ระหว่างความเป็นจริงและภาพลวงตา ความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นภายในค่ำคืนแห่งปีศาจจะหายไปเมื่อกลับสู่ความเป็นจริง ราวกับตื่นจากความฝัน ลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์นี้ทำให้อาจารย์ผู้สอนของสถาบันชื่นชอบมันเป็นอย่างมาก
เนื่องจากมันช่วยให้เหล่านายน้อยและผู้เยาว์ที่เพิ่งออกจากรังอันอบอุ่นได้สัมผัสกับความโหดร้ายของการต่อสู้ โดยที่พวกเขาไม่ได้ต้องเสี่ยงรับอันตรายจริง ๆ อีกทั้งกระบวนการนี้ยังไม่ต้องใช้กำลังคนหรือทรัพยากรใด ๆ หากพวกเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโบราณสถานอันน่าทึ่งแห่งนี้มันก็คงน่าเสียดายแย่!
…
ภายในโรงอาหารแบบบริการตนเองที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน โรเอลนั่งลงบนเก้าอี้ตรงมุมห้องพลางตรวจสอบลูกบอลทรงกลมในมือตน เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งออกมาจากวิญญาณนำทางที่อยู่ภายใน เขาจึงส่งพลังเวทลงไปทีละนิดอย่างต่อเนื่องเพื่อโต้ตอบกับมัน ซึ่งรอบ ๆ ข้างเองก็มีนักเรียนมากมายที่ทำแบบเดียวกันกับเขา
แน่นอนว่าวิญญาณนำทางสามารถพาพวกเขาเข้าไปในโบราณสถานได้โดยไม่ต้องสงสัย ปัญหาก็คือพวกมันอยากจะทำเช่นนั้นหรือไม่ก็เท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบังคับวิญญาณนำทางให้ทำในสิ่งที่พวกมันไม่ต้องการ ดังนั้นนักเรียนจึงทำได้เพียงแค่พยายามเกลี้ยกล่อมผูกมิตรกับพวกมันด้วยพลังเวท นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคณะอาจารย์ถึงได้ให้อุปกรณ์เวทกับพวกเขาล่วงหน้า
ผู้ที่ล้มเหลวในการสร้างความสัมพันธ์กับวิญญาณนำทาง… จะถูกปล่อยให้เดินเตร่ไปทั่วสถานศึกษาตลอดทั้งคืน
วิญญาณนำทางภายในอุปกรณ์เวทค่อย ๆ เข้าใกล้โรเอลมากขึ้นภายใต้การกระตุ้นจากพลังเวท ทำให้เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ถูกจับขัง กระตุ้น จนค่อย ๆ ยอมจำนน นี่มัน…
“แค่ก แค่ก…”
โรเอลกระแอมเบา ๆ ก่อนจะรีบสะบัดความคิดแปลก ๆ เหล่านั้นออกไป เด็กหนุ่มมองดูอุปกรณ์เวทต่อไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเก็บมันลงในกระเป๋า เขามองไปที่อาหารตรงหน้าและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อาหารเป็นแหล่งความสุขหลักของคนตะกละตะกลามอย่างโรเอล เมื่อเด็กหนุ่มได้รู้ว่าการเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ทำให้เขาได้กินทุกอย่างตามที่ต้องการโดยไม่ต้องกังวลเรื่องโรคอ้วน ความอยากอาหารดี ๆ อันไม่มีที่สิ้นสุดของเขาจึงถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขากังวลเกี่ยวกับการมาศึกษาต่อที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
ในอดีตชาติของโรเอล โรงอาหารภายในโรงเรียนถือเป็นฝันร้ายสำหรับเขา กระทั่งทุกวันนี้ การนึกถึงอาหารเหล่านั้นก็ยังทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง
ขนมไหว้พระจันทร์ ผัดขึ้นฉ่าย เนื้อต้ม แตงโม…
“แหวะ…”
ความรู้สึกคลื่นไส้ทำให้โรเอลรีบตัดภาพความทรงจำในอดีตชาติออกไปอย่างรวดเร็วและมองกลับมาที่อาหารเบื้องหน้าเพื่อชำระจิตใจ
ดูเหมือนว่าสถาบันเซนต์เฟรย่าจะลงทุนเกี่ยวกับด้านอาหารไปไม่น้อย เพื่อทำให้อาหารในโรงอาหารของพวกเขาเป็นที่ยอมรับของเหล่าขุนนางผู้มีชื่อเสียงจากทั่วทวีปเซีย อันที่จริง พวกเขามีถนนสำหรับนักชิมในสถาบันเสียด้วยซ้ำ ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหารที่เปิดโดยพ่อครัวชื่อดัง และมีอาหารให้เลือกมากมายจากอาณาจักรต่าง ๆ ทั่วโลก ราวกับถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาว
แน่นอนว่าหากพิจารณาถึงภูมิหลังทางการเงินที่แตกต่างกันของนักเรียนแล้ว การให้อาหารทั้งหมดมีเพียงแค่อาหารราคาแพงเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สมเหตุสมผล ที่นี่จึงมีโรงอาหารราคาย่อมเยาสำหรับนักเรียน ที่มาในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์แบบบริการตนเอง แม้รสชาติจะไม่ได้เลิศหรูเท่าอาหารรสเลิศ แต่ก็ถือว่าดีทีเดียว
ส่วนสาเหตุที่ขุนนางชั้นสูงอย่างโรเอลรับประทานอาหารในโรงอาหารราคาย่อมเยา แทนที่จะไปหมกมุ่นอยู่ในร้านอาหารของชนชั้นสูงน่ะเหรอ เรื่องนี้ต้องสืบย้อนไปถึงเด็กสาวสองคนที่เขารู้จักดี
หลังจากได้รับประสบการณ์ ‘การนั่งตรงกลาง’ ในพิธีเปิดการศึกษา โรเอลผู้เหนื่อยล้าก็สาบานกับตัวเองว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นทันทีที่พิธีสิ้นสุดลง เขาก็หาเหตุผลผละตัวออกอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องเสี่ยงเผชิญหน้ากับพวกเธออีก เขาจึงเลือกที่จะไม่มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารหรู ๆ
ไม่ใช่ว่านอร่าและชาร์ล็อตจะมายังโรงอาหารราคาย่อมเยานี้ไม่ได้ ที่พวกเธอไม่มาที่นี่ไม่ใช่เพราะจู้จี้จุกจิกเรื่องการกิน นอร่านั้นเคยอยู่ที่ชายแดนตะวันออกและรับประทานเพียงเสบียงทั่ว ๆ ไปของทหารซึ่งตรงกันข้ามกับความอร่อย ในขณะที่ชาร์ล็อตเองก็ไม่มีปัญหาอะไรกับอาหารธรรมดา ๆ ในกองเรือทองคำ แต่ด้วยตำแหน่งทางการเมืองของทั้งสอง พวกเธอจึงไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่
ถ้านอร่าและชาร์ล็อตไปทานอาหารในโรงอาหารราคาย่อมเยาเช่นนี้ ผู้ติดตามของพวกเธอก็คงไม่กล้าที่จะไปรับประทานร้านอาหารหรู ๆ ใช่ไหม? ขุนนางล้วนมีความรู้เรื่องมารยาททางสังคม ดังนั้นมันไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะทำเช่นนั้นเมื่อนายหญิงของตนเองรับประทานอาหารที่ด้อยกว่า
ทำให้การมาที่โรงอาหารราคาย่อมเยาของพวกเธอ หมายความว่าผู้คนหลายร้อยคนจากจักรวรรดิเซนต์เมซิท และเมืองโรซ่า จะต้องมาแออัดกันที่นี่ กีดกันผู้ที่ต้องการใช้ทางเลือกอาหารที่ถูกกว่าจริง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่นอร่าและชาร์ล็อตผู้อ่อนไหวไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่
กลับไปที่อาหาร โรเอลกัดไก่ย่างเนื้อนุ่มและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาหยิบจี้สีเหลืองอำพันที่ห้อยอยู่รอบคอออกมาพลางพิจารณาอย่างครุ่นคิด
แม้ว่ากำลังยุ่งอยู่กับการถอนเดธแฟล็ก แต่โรเอลก็ยังไม่ได้ลืมเป้าหมายอื่นของตน ตามที่เคเดย์กล่าวไว้ “นักวิชาการ” ของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ น่าจะอยู่ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงจะเคลื่อนไหวทันทีที่ได้เห็นจี้อำพันชิ้นนี้
“เป็นจี้ที่สวยงามเสียจริงนะ”
“หืม?”
คำชมเชยโดยกะทันหันทำให้โรเอลเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพบกับผู้หญิงผมสีแดงเข้มที่ถือจานอาหารมานั่งฝั่งตรงข้ามเขา ด้วยดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ขดลงพร้อมกับรอยยิ้ม
“สวัสดีตอนบ่าย เธอคือโรเอล แอสคาร์ดใช่ไหม?”