บทที่ 31: สิ่งที่เกิดขึ้นในเงามืด
ก่อนดื่มยาเราควรจะต้องทำอะไรบ้างนะ?
โรเอลไม่ได้มีความเชี่ยวชาญอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขาเพียงแต่จำได้ว่าผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในโลกของเขา มักจะชอบนั่งสมาธิใต้น้ำตก บำเพ็ญตบะ และอื่น ๆ อีกบลา ๆ เป็นเวลาหลายวัน เพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดที่พร้อมที่สุด แต่ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่ได้มีธรรมเนียมดังกล่าว ต่อให้มีโรเอลก็คงไม่ทำอะไรแบบนั้นอยู่ดี
บางคนอาจจะสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้า ขอให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่เมื่อโรเอลมองไปยังสิ่งของที่ดูเหมือนจะมีไอชั่วร้ายดำมืดต่าง ๆ ตรงหน้า เด็กชายก็ไม่คิดว่าเทพเจ้าของโลกนี้จะอวยพรให้แก่เขา
ช่างมันเถอะ เราจะดื่มมันลงไปให้มันจบ ๆ!
โรเอลจ้องมองไปที่ยาทั้งสองขวดที่เขาใช้เงิน 1,000 เหรียญทองซื้อมาจากร้านค้าเหรียญทอง ยาเสริมพละกำลังแห่งโลโบร์รูปแบบที่ 2 และ ยาลดความร้อนภายในแห่งโลโบร์ ขวดแรกเป็นของเหลวสีดำที่มีความหนืด ดูไม่แตกต่างไปจากน้ำมันดิบเท่าไหร่ ในขณะที่อีกขวดดูใสกว่าเล็กน้อยและมีสีน้ำเงินเข้ม
เด็กชายเปิดทั้งสองขวดออกและเริ่มเทพวกมันลงในแก้ว
ของเหลวหนืดสีดำไหลลงไปในแก้วอย่างราบรื่นเหมือนน้ำ ในขณะที่ของเหลวสีน้ำเงินเข้มไหลลงไปช้า ๆ เหมือนคาราเมลเหลว ยาทั้งสองเริ่มไหลออกมา เมื่อสัมผัสกันก็ราวกับมีปฏิกิริยาทางเคมีอันน่ากลัวเกิดขึ้น
โรเอลมองดูสีของยาที่ผสมกันอย่างระมัดระวัง ขณะนึกถึงคำอธิบายของยาทั้งคู่
“เราจะดื่มมันได้ก็ต่อเมื่อ สีของมันกลายเป็นสีแดงเข้มสินะ…”
เวลาผ่านไปช้า ๆ ขณะที่ โรเอลเฝ้าสังเกตการผสมอย่างอดทน สิบนาทีต่อมาในที่สุดยาทั้งสองก็ผสมกันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มอยู่ในแก้ว พร้อมกับปฏิกิริยาทางเคมีฟูฟ่องที่หยุดลง
โรเอลหยิบแก้วขึ้นมาดม เขาได้กลิ่นคล้ายกับน้ำส้มออกมาจากในนั้น
“ระบบ? ฉันสามารถดื่มมันได้ไหม?”
【ทำการตรวจสอบวัตถุ…】
【การจับคู่สี ปฏิกิริยาตรงกัน ตัวยาพร้อมสำหรับการบริโภคแล้ว】
“ช่างน่าโล่งใจจริง ๆ แต่ยังไงมันก็ยังชวนให้รู้สึกแปลก ๆ อยู่ดีแฮะ มันดูข้นคล้าย ๆ กับนมแต่มีกลิ่นของน้ำส้มซะอย่างนั้น… ช่าง ๆ มันไปเถอะ ดื่ม!”
โรเอลเขย่าของเหลวในถ้วยแก้วเบา ๆ ก่อนที่จะเอนศีรษะไปข้างหลังแล้วดื่มยาทั้งสองที่มีราคารวมกัน 1,000 เหรียญทองลงไป
เนื้อของมันข้นเหลวเหมือนน้ำเกรวี่แต่เป็นเกรวี่ที่มีรสชาติแปลกที่สุดในชีวิตของเขา มันแทบจะหาความอร่อยไม่ได้เลย กลิ่นส้มเล็กน้อยของมันช่วยลดความแปลกประหลาดทางรสชาติลงมาหน่อย ทำให้อย่างน้อย ๆ เขาก็สามารถกลืนลงคอไปได้
สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมัน นี่คงเป็นคำอธิบายของโรเอลเกี่ยวกับการได้ลิ้มรสยาราคาแพงนี้
แน่นอนว่าคุณค่าของยานั้นไม่ได้อยู่ที่รสชาติ แต่อยู่ที่ประสิทธิภาพของตัวยา หลังจากที่ได้ดื่มมันลงคอไปแล้ว โรเอลก็หลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิจดจ่อ รอการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา …
…ทว่าเด็กชายกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายของเขาเลย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ฉันคิดว่ามันน่าจะทำให้ฉันมีพลังมหาศาลสุด ๆ เสียอีก ! ระบบ นี่ผลของยามันออกฤทธิ์แล้วใช่ไหม? ฉันจ่าย 1,000 เหรียญทองเพื่อมัน แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยนะ … อ๊ากกกก!”
ยังไม่ทันที่โรเอลจะบ่นเกี่ยวกับตัวยาไปได้เกินครึ่งทาง ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านในทันที เด็กชายรู้สึกได้ถึงความร้อนอันลุกโชนแล่นขึ้นจากท้องของเขาแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายภายในไม่กี่วินาที
โรเอลรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิในร่างกายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ศีรษะของเขาเริ่มสั่นจากความร้อนที่สูงเกินไป เขาลุกขึ้นยืนพยายามเดินไปที่เตียงของเขา ก่อนจะหน้ามืดจนก้าวขาไม่ออก
ตึง!
เด็กชายตัวน้อยชนกระแทกเข้ากับเก้าอี้ก่อนที่จะล้มฟุบไปกับพื้น
———————————————
ขณะที่โรเอลกำลังหมดสติด้วยผลของยา
ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโรซ่า ตะเกียงสงบวิญญาณของซาโครมที่โรเอลขายให้กับสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ก็กำลังค่อย ๆ สร้างระลอกคลื่นที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของเด็กชายไปตลอดกาล
“มันได้ผล! มันใช้งานได้จริง!”
ชายวัยกลางคนผู้มีผมสีแดงส้มและสวมชุดผ้าคลุมสีเข้มที่กำลังนั่งอยู่บนหัวโต๊ะในห้องอันมืดมิด ร้องอุทานขึ้นมาด้วยความดีใจ
ตะเกียงน้ำมันเก่า ๆ สภาพดูซอมซ่อที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขาเปล่งแสงสีขาวแปลกประหลาดออกมา รอบห้องประดับประดาไปด้วยภาพวาดอันงดงาม และหนังสือเก่าแก่ล้ำค่า เช่นเดียวกับต้นไม้หายากที่นำเข้ามาเป็นพิเศษจากเขตการปกครองกรัน …
…นอกจากนี้ยังมีเหล่าผู้คนที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นอยู่รอบ ๆ โต๊ะอีกด้วย
“ท่านบรูซ ท่านรู้สึกยังไงบ้างขอรับ”
“ข้ารู้สึกดีมาก การกัดกร่อนกำลังชะลอตัวลง… ไม่สิ มันหยุดชะงักลงไปแล้ว”
ชายวัยกลางคนแตะที่อกของตัวเอง พยายามรับรู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายของตน จากนั้นในไม่ช้าเขาก็พยักหน้ายืนยันอีกครั้ง
“ความปั่นป่วนในวิญญาณของข้าหายไปแล้ว ข้ารู้สึกได้ว่าผลกระทบจากการคืนชีพอันเดด[1]เริ่มค่อย ๆ คลายตัวลง แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือมันไม่มีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้นกับข้าเลย… แอนดรูว์เจ้าพอจะสามารถระบุได้ไหมว่าตะเกียงนี้คืออุปกรณ์เวทมนตร์อะไร”
“ข้าเกรงว่าแม้แต่ตัวข้าก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอุปกรณ์เวทมนตร์อะไรแบบนี้มาก่อน แต่ข้ามั่นใจว่ามันจะต้องเป็นวัตถุโบราณที่มีต้นกำเนิดขึ้นมาก่อนยุคที่สามเป็นแน่”
แอนดรูว์ชายชราผู้สวมหมวกปลายแหลมกล่าวขณะก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบตะเกียงสงบวิญญาณใกล้ ๆ
“ตะเกียงน้ำมันนี้ดูเหมือนจะทำขึ้นจากดินชนิดพิเศษ ส่วนน้ำมันภายในน่าจะเป็นเลือดของสิ่งมีชีวิตบางชนิด ข้าเดาว่ามันเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากพวกลัทธินอกรีต ด้วยที่มันไม่มีผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นจึงดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มาจากลัทธิชั่วร้าย แต่น่าจะมาจากลัทธิสักลัทธิในช่วงสมัยยุคที่สอง เป็นอารยธรรมที่ถูกลืมเลือนไปแล้ว” แอนดรูว์ตอบ
“เป็นไปได้ไหมที่เราจะสามารถผลิตมันขึ้นมาอีก” บรูซพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าจะลองพยายามดู แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นมีเพียงน้อยนิด”
“ถ้าเจ้าทำไม่ได้ก็ไม่น่าจะมีใครทำได้แล้วล่ะ ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่ง ตัวเองจะต้องมาพึ่งพาตะเกียงเพื่อให้รอดชีวิต” บรูซ โซโรฟยาร์กล่าวอย่างไม่พอใจ
แน่นอนว่าไม่มีใครในห้องนี้สามารถหัวเราะเยาะกับคำพูดของเขาได้ มีเพียงความเงียบอันหนักหน่วงในบรรยากาศ จนกระทั่งชายคนหนึ่งที่ถือไม้เท้าสีดำพูดขึ้นมา
“ด้วยอัตราการเผาผลาญของน้ำมันในตะเกียง มันน่าจะยังทำงานอยู่ได้อีกหลายปี ซึ่งหมายความว่าพวกเรายังพอมีเวลาอยู่มากในการคิดหามาตรการรับมือ”
“ใช่ เจ้าพูดถูก ด้วยเวลาที่เราได้มาในตอนนี้ และอิทธิพลของพวกเราในฐานะ สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ มันไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะหาวิธีแก้ไขได้ทัน “
กลุ่มคนในห้องต่างพยายามรักษาทัศนคติของพวกเขาและมองโลกในแง่ดี
บรูซ โซโรฟยาร์ ยิ้มให้ตัวเองอย่างขมขื่น อย่างน้อย ๆ มันก็เป็นเรื่องดีที่เขาสามารถหาตะเกียงนี้มาครอบครองได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ควรมองสถานการณ์ปัจจุบันในแง่ร้ายจนเกินไป
“ในเมื่อข้าได้เวลาเพิ่มมาหลายปีแบบนี้ ข้าก็จะมีเวลามากขึ้นในการเลี้ยงดูชาร์ลอต เมื่อถึงตอนนั้นอย่างน้อย ๆ ข้าก็คงจะได้ตายตาหลับเสียที หากไม่ได้ผลพวกเราก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ทุกอย่างที่พวกเรามีมาเดิมพัน”
คำพูดของบรูซทำให้ทุกคนในห้องเกรงกลัว ฝูงชนต่างพยักหน้าเป็นหนึ่งเดียวอย่างแน่วแน่ราวกับยืนยันความมุ่งมั่นของพวกเขา
ทันใดนั้นเองก็มีใครบางคนนึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างได้แล้วถามขึ้นมา
“ใครคือผู้ที่ขายตะเกียงน้ำมันนี้กัน? เรามีข้อมูลของบุคคลผู้นั้นรึเปล่า?”
“มันถูกขายโดยตระกูลแอสคาร์ดในจักรวรรดิเซนต์เมซิท”
“อะไรนะ? ตระกูลแอสคาร์ดงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา บรูซก็ขมวดคิ้วในทันที เขาก้มหน้าลงอย่างครุ่นคิด
ปฏิกิริยานี้ทำให้คนอื่น ๆ ที่เหลือรอบโต๊ะมองหน้ากันอย่างสงสัย ก่อนที่แอนดรูว์จะหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมแล้วเอ่ยถามในที่สุด
“ท่านบรูซ ท่านรู้จักกับผู้นำตระกูลของตระกูลแอสคาร์ดหรือขอรับ?”
“ไม่ ข้าไม่รู้จักเขา มันก็แค่…ตระกูลของเราเคยมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน ผู้ขายได้ทิ้งข้อความไว้ให้รึเปล่า?”
“ไม่ขอรับ กลับกันแล้ว เขาสั่งผู้จัดการสาขาว่าห้ามเปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับตัวเองโดยเด็ดขาด”
“ …”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นสีหน้าของบรูซก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดเพียงแค่ว่ามันอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็เป็นได้
แน่นอน มันผ่านมาตั้งเกือบร้อยปีแล้ว ใครเล่าจะยังจำคำสัญญาในครั้งนั้นได้ ?
บรูซหัวเราะกับตัวเองและคิดว่ามันน่าจะจบแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าความต่อเนื่องของเรื่องนี้จะยังมีต่อไปอีก
“ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ ผู้ขายนั้นเป็นบุตรชายของมาร์ควิสแอสคาร์ด ซึ่งมีอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น”
“9 ขวบ? อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนายหญิงของเรา เป็นไปได้ไหมว่าเขาแอบขายสมบัตินี้ลับหลังตระกูลของตัวเอง?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? นี่มันเป็นวัตถุโบราณจากยุคที่สองเลยนะ! มันน่าจะเป็นมรดกตกทอดของตระกูลขุนนางชั้นสูงเลยด้วยซ้ำไป!”
“ตามรายงานเขียนไว้ว่า มาร์ควิสแอสคาร์ด ได้สั่งให้โรเอล แอสคาร์ด ลูกชายของเขาจัดการทำธุรกรรมในครั้งนี้ จากข้อมูลที่เรารวบรวมมา ผู้สืบทอดวัยเยาว์คนนี้ไม่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมใด ๆ ดังนั้นนี่อาจเป็นความพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสาขาในพื้นที่ เพื่อสร้างความร่วมมือกับทางเราในการพัฒนาธุรกิจการค้าของเขตการปกครองแอสคาร์ด”
“นั่นก็ฟังดูเป็นไปได้ หากผู้สืบทอดวัยเยาว์ของเขา ไม่สามารถก้าวไปสู่การเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ เขาก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการเขตการปกครอง”
ขณะที่ฝูงชนกำลังคุยกันเรื่องกิจการของตระกูลแอสคาร์ด บรูซ โซโรฟยาร์ก็เงียบลงอีกครั้ง
คนอื่น ๆ ไม่ได้คิดคำนึงถึงการตัดสินใจของมาร์ควิสแอสคาร์ดเท่าไหร่นัก ในการมอบหมายงานขายตะเกียงสงบวิญญาณให้กับลูกชายของเขา แต่บรูซรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรเบื้องหลังมากกว่านั้น
“ …”
ชายวัยกลางคนรู้สึกว่ามันคือการเตือนความจำเกี่ยวกับสัญญาในอดีตของตระกูลแอสคาร์ด ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจว่าพวกเขายังจำคำมั่นสัญญาในอดีตได้ ตระกูลแอสคาร์ดกำลังเรียกร้องให้เขาทำตามคำมั่นสัญญานั้น และเพื่อที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาจึงได้ยอมส่งมรดกตกทอดของตระกูลมาเพื่อต่อชีวิตของเขา
บรูซไม่รู้ว่าตระกูลแอสคาร์ดรู้ถึงสภาพในปัจจุบันของเขาและข้อมูลที่เขานั้นเป็นผู้ซื้อมันรั่วไหลออกไปได้อย่างไร แม้เวลาหนึ่งร้อยปีจะผ่านไปในพริบตา แต่ม่านหมอกแห่งความลึกลับที่อยู่รอบ ๆ ตระกูลแอสคาร์ดกลับหนาขึ้นเรื่อย ๆ
“นี่มันเป็นโชคชะตารึเปล่านะ?”
บรูซพึมพำอย่างอ่อนแอ
หลังจากไตร่ตรองอยู่นานเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่อลูกสาวสุดที่รักขึ้นมา
“ชาร์ลอต…”
[1] อันเดด Undead หรือศพคืนชีพ เป็นประเภทหนึ่งของปีศาจที่เดิมทีเคยเป็นเผ่าพันธุ์อื่นที่มีชีวิต ทว่าตายลง และได้ถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้งด้วยเวทมนตร์ มักจะมีสติปัญญาที่ต่ำเนื่องจากเซลส์สมองได้ตายลง มีชีวิตขึ้นเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของเวทมนตร์ให้สำเร็จ