บทที่ 34: นี่คือการติดสินบนรึเปล่า?
ขณะที่โรเอลและอลิเซียต่างหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาและการฝึกฝนของพวกเขา อุณหภูมิยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง หิมะเริ่มตกลงมา และในที่สุดฤดูหนาวก็ได้มาถึง
เมื่อมองไปยังด้านนอกที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะสีขาว โรเอลก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นในใจ เขารู้สึกราวกับว่าโลกภายนอกกำลังเชิญชวนให้เขาออกไปดูและเล่นสนุกกับหิมะ
แม้แต่อลิเซียที่มักจะสงบเสงี่ยมก็ยังรู้สึกอยากจะออกไปเล่นสนุกในสภาพอากาศเช่นนี้
น่าเสียดายที่มีเพียงโรเอลและอลิเซียในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดแห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าโรเอลคงทำใจปาก้อนหิมะใส่อลิเซียไม่ลงแน่ ๆ ท้ายที่สุดกิจกรรมที่พวกเขาพอจะทำได้จึงมีเพียงแค่การปั้นตุ๊กตาหิมะด้วยกัน
ตามความเชื่อของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ว่ากันว่ายิ่งฤดูหนาวเต็มไปด้วยหิมะมากเท่าไหร่ ฤดูใบไม้ผลิก็จะอุดมสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเกษตรกร ชาวนาชาวไร่ที่อาศัยอยู่ในเขตชานเมืองจึงพากันออกมาชื่นชมยินดีกับสภาพอากาศนี้
หิมะยังคงตกติดต่อกันหลายวัน ก่อนที่สภาพอากาศจะเริ่มสงบลง หลังจากที่หิมะหยุดตกในที่สุดมาร์ควิสคาร์เตอร์ก็ได้กลับมายังคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าเขาจะมีงานล้นมือมากมายเสียจนไม่มีเวลาพักผ่อนที่บ้าน เพราะแม้แต่ในวันว่างอันหายากนี้ คาร์เตอร์ก็ยังต้องนำกองทหารอาสาและทหารออกไปที่ภูเขาเพื่อจัดเทศกาลล่าสัตว์ฤดูหนาว
เทศกาลล่าสัตว์ฤดูหนาว เป็นเทศกาลหลักในแต่ละเขตการปกครอง การเริ่มต้นของฤดูหนาวบ่งบอกถึงการเหี่ยวเฉาของพืชผล ส่งผลให้เกิดความอดอยากและขาดแคลนสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ ช่วงเวลาเช่นนี้เองที่เหล่าขุนนางในท้องถิ่นจะต้องระดมกองกำลังอิสระที่ว่างงานในเขตแดนของตนออกมาล่าสัตว์
เนื้อสัตว์ที่ถูกล่า จะกลายมาเป็นเสบียงในหน้าหนาว ส่วนขนและหนังของพวกมันก็จะถูกนำมาเย็บเป็นเสื้อกันหนาว นี่เป็นวิธีหนึ่งในการบรรเทาความยากลำบากของประชาชนในสภาวะอันโหดร้ายของฤดูหนาว
อย่างไรก็ตามรูปแบบของเทศกาลล่าสัตว์ฤดูหนาวได้เปลี่ยนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากประชาชนเองก็ได้เรียนรู้วิธีการเตรียมรับมือกับความรุนแรงของฤดูหนาว นอกจากนี้เหล่าขุนนางเองก็ยังมีมาตรการด้านความปลอดภัยเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ ความอดอยากจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับประชาชนทั่ว ๆ ไปอีก
ด้วยเหตุนี้เทศกาลล่าสัตว์ฤดูหนาว จึงกลายเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองรูปแบบหนึ่งแทน
ทว่าโรเอลนั้นยังเด็กเกินไป และเขาก็ไม่อยากทิ้งอลิเซียไว้ที่คฤหาสน์เพียงลำพัง ดังนั้นเด็กชายจึงเลือกที่จะไม่เข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์ฤดูหนาวในปีนี้
มาร์ควิสคาร์เตอร์ใช้เวลาสามวันขึ้นไปบนภูเขา ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับหัวกวาง
“นี่มัน…อะไรกัน?”
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่โรเอลจะตกใจ เมื่อหัวกวางขนาดใหญ่เกือบเท่าโต๊ะถูกวางลงด้านหน้าประตูคฤหาสน์ ถ้าคำนวณขนาดร่างกายของมันจากส่วนหัวนี้ล่ะก็ … หมายความว่า ‘กวาง’ ตัวนี้จะมีขนาดเท่ากับช้างเลยทีเดียว!
นอกจากขนาดตัวอันใหญ่โตแล้ว มันยังมีรูปร่างลักษณะอันน่าสะพรึงกลัวมากอีกด้วย
กวางตัวนี้มีฟันอันแหลมคมสามแถวในปาก ซึ่งไม่ใช่อะไรที่จะเห็นได้จากสัตว์กินพืช เขาของมันมีการไล่ระดับสีจากด้านล่างที่เป็นสีดำเหมือนขี้เถ้าไปเป็นสีแดงเลือดที่ส่วนปลาย แสงสีแดงเข้มเปล่งออกมาอย่างน่าขนลุกในความมืด แม้ว่ากวางตัวนี้จะตายแล้ว แต่โรเอลก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันคุกคามลอยมาจากมัน
“นี่คือกวางบลัดฮอร์น กวางที่กลายพันธุ์ด้วยพลังเวททำให้มันกลายเป็นสัตว์กินเนื้อ หาได้ยากมากที่จะเจอตัวใหญ่ขนาดนี้ พ่อมั่นใจเลยว่ามันเป็นผลประกอบการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเทศกาลล่าสัตว์ฤดูหนาวครั้งนี้ โชคดีที่พ่อเจอมันก่อน ไม่อย่างนั้นมันคงจะสร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตการปกครองนี้แน่”
วิธีที่คาร์เตอร์กำลังลูบหัวกวางขนาดใหญ่ด้วยท่าทางโล่งใจ ทำให้โรเอลรู้สึกพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง มาตรฐานความแข็งแกร่งของคาร์เตอร์ในฐานะผู้บัญชาการจอมเวทของกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ถูกเปลี่ยนแปลงและยกระดับอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ กวางตัวนี้แข็งแกร่งขนาดไหนเหรอครับ?” เด็กชายหันไปถามกับพ่อของเขา
“ปกติแล้วกวางบลัดฮอร์นจะมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 4 แต่เจ้าตัวนี้มันใหญ่กว่าปกติมาก และคาถาที่มันร่ายออกมาก็ทรงพลังผิดปกติเช่นกัน พ่อคิดว่ามันค่อนข้างใกล้เคียงกับระดับแก่นแท้ 3 ทีเดียว”
“อย่างนั้นเองเหรอครับ? เข้าใจแล้วครับ”
โรเอลพูดขณะจ้องมองไปที่คาร์เตอร์
แม้ว่าพ่อของเขาจะไม่เคยพูดโอ้อวดถึงความแข็งแกร่งของตัวเองมาก่อน แต่หากอ้างอิงจากเหตุการณ์นี้ และแม้ว่าคาร์เตอร์จะได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารในการล้อมกวางบลัดฮอร์น แต่เป็นไปได้ว่าอย่างน้อย ๆ คาร์เตอร์ก็น่าจะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 เขาถึงสามารถปราบกวางตัวนี้ลงได้
สายตาของโรเอลค่อย ๆ เคลื่อนกลับไปที่หัวกวางขนาดใหญ่บนพื้น แม้แต่เขาของมันก็หนาเท่ากับต้นขาของโรเอล นี่ทำให้เด็กชายได้รับรู้ความเป็นจริงว่าโลกใบนี้อาจจะไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่เขาคิด …
ไม่กี่วันหลังจากเทศกาลล่าสัตว์ฤดูหนาวจบลง คาร์เตอร์ก็เดินทางออกจากคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดอีกครั้ง เนื่องจากเขามีงานเข้ามาเพิ่ม ซึ่งทั้งโรเอลและอลิเซียต่างก็เคยชินกับสถานการณ์นี้กันอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เอะอะอะไร
ชีวิตของโรเอลดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งใบหน้าอันคุ้นเคยได้มาเยือนที่คฤหาสน์แอสคาร์ดและสร้างความประหลาดใจให้กับเด็กชายผมดำ
อาร์เว่น ผู้จัดการสาขาย่อยของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ในเขตการปกครองแอสคาร์ด ได้แวะมาที่ คฤหาสน์เป็นการส่วนตัวเพื่อมอบดาบสั้นให้กับโรเอล
โรเอลไม่ได้ติดต่อกับอาร์เว่นเลยนับตั้งแต่ทำการค้ากันเมื่อสามเดือนก่อน นี่เป็นการตัดสินใจของทางโรเอลเอง เนื่องจากเขาไม่ได้มีแผนที่จะขายสินค้าชิ้นอื่น ๆ จากระบบให้กับสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์อีก
สามเดือนผ่านไปเปล่า ๆ จนดาบสั้นที่โรเอลสั่งกับทางสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ก่อนหน้านี้มาถึงแล้ว ดังนั้นอาร์เว่นจึงอาศัยจังหวะนี้นำมันมามอบให้กับเขาเป็นการส่วนตัว
เนื่องจากโรเอลไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งอะไรกับอาร์เว่น ดังนั้นมันจะเป็นเรื่องเสียมารยาทหากเขาจะไล่อีกฝ่ายกลับไปโดยไม่มีเหตุผล เขาจึงเชิญอาร์เว่นมาดื่มชาในห้องรับรองแขกของคฤหาสน์
สิ่งหนึ่งที่โรเอลไม่คาดคิดก็คือการที่อาร์เว่นมีรอยยิ้มแจ่มใสบนใบหน้าของเขา มันเป็นรอยยิ้มที่จริงใจและเต็มไปด้วยความสุข ความขอบคุณ ไม่ใช่รอยยิ้มทางธุรกิจแบบปกติที่เขายิ้มเมื่อติดต่อกับลูกค้า
“นายน้อยโรเอล ท่านช่วยผมไว้มากเลยจริง ๆ!”
อาร์เว่นจับมือของโรเอลด้วยตื่นเต้น พร้อมกับแต้มความสนใจที่โผล่ขึ้นมาเหนือศีรษะของเขาอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เช่นนี้ทำให้โรเอลค่อนข้างทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้เลยว่าทำไมอาร์เว่นถึงได้แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา
เมื่อสังเกตเห็นถึงความสับสนบนใบหน้าของโรเอล อาร์เว่นก็สงบสติอารมณ์และอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ผู้ซื้อตะเกียงน้ำมันฝากมาบอกให้ผมมาแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อท่าน โดยบอกว่าผลลัพธ์ของตะเกียงน้ำมันนั้นเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก สำนักงานใหญ่ของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ในเมืองโรซ่าจึงยกความดีความชอบในเรื่องนี้ให้กับผม และทำให้ปีหน้าผมจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการสำนักงานใหญ่ของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์สาขาจักรวรรดิเซนต์เมซิทในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ผมรู้สึกขอบคุณท่านมาร์ควิสและนายน้อยโรเอลเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยดูแลกระผมในช่วงเวลาที่ผมทำงานอยู่ที่นี่”
โรเอลกะพริบตาด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาไม่คาดคิดเลยว่าตะเกียงสงบวิญญาณที่เขาขายไปจะนำมาซึ่งการเลื่อนขั้นครั้งใหญ่ของอาร์เว่น
นั่นเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากในสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์!
เดี๋ยวก่อนนะ ดูเหมือนว่าผลของตะเกียงสงบวิญญาณของเรามันจะมีผลดีมากกว่าที่เราคิดไว้ มันอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีความเป็นไปของโลกได้โดยไม่ได้ตั้งใจเลยด้วยซ้ำ ปัญหาคือนี่มันเป็นพรหรือหายนะกันแน่?
โรเอลคุ้นเคยดีกับทฏษฎีผีเสื้อกระพือปีกที่กล่าวถึงแนวคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างในอนาคต เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเกี่ยวกับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ตนเองไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของเขา
ทว่าหลังจากที่ได้ครุ่นคิดสักพัก โรเอลก็รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะมาคร่ำครวญกับเรื่องนี้ ในเมื่อยังไงบทบาทของเขาก็คือตัวร้ายที่สักวันจะต้องถูกรุมประชาทัณฑ์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า! อนาคตมันจะเลวร้ายไปกว่านี้ได้ยังไง?
นอกจากนี้ผู้ซื้อเองก็อาจจะมาจากอาณาจักรอื่นอันห่างไกลที่โรเอลไม่รู้จักก็เป็นได้…
“การขายสินค้าชิ้นเดียวจะไปส่งผลกระทบต่อเราง่าย ๆ ขนาดนั้นได้ยังไง?”
โรเอลสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองขณะที่เขาโยนเรื่องนี้ทิ้งลงไปลึก ๆ ในใจ เขาหันไปสนใจกล่องไม้สองใบที่วางอยู่ตรงหน้าแทน
กล่องไม้กล่องแรกบรรจุดาบสั้นที่หลอมขึ้นมาด้วยโลหะน้ำแข็งคุณภาพเยี่ยม ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องราคาอันสูงลิบ ดาบสั้นนี้คมกริบ อีกทั้งใบดาบของมันยังสะท้อนแสงแวววาวและปล่อยไอเย็นออกมา นอกจากนี้ด้วยความยาวที่สั้น จึงทำให้สะดวกสำหรับขุนนางวัยหนุ่มที่จะพกมันติดตัวไปด้วยเพื่อไว้ใช้ป้องกันตัว มันมาพร้อมกับปลอกดาบไม้สีดำที่ประดับประดาไปด้วยทองคำและหยกอันวิจิตรงดงาม
เห็นได้ชัดว่าดาบสั้นเล่มนี้มีมูลค่าสูงพอสมควร อาจจะสูงกว่าระดับที่โรเอลสั่งและจ่ายไปก่อนหน้านี้หลายเท่า เป็นไปได้ว่าอาร์เว่น ‘เสริม’ คำสั่งซื้อของโรเอลให้ดีขึ้นไปอีกเป็นการส่วนตัว
ส่วนข้างในกล่องไม้อีกลังนั้นตรงไปตรงมากว่ามาก มันเต็มไปด้วยเหรียญทองอัดแน่นอยู่ในนั้น เพียงมองผ่านอย่างรวดเร็ว โรเอลก็สามารถระบุได้ว่ามีอย่างน้อย ๆ ก็หลายพันเหรียญทอง
“เพื่อเป็นการขอบคุณนายน้อยโรเอลสำหรับการสนับสนุนของท่านจนถึงตอนนี้ ผมได้นำ 5,000 เหรียญทองมาด้วย หวังว่าท่านจะยอมรับมันไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของพวกเรา ผมอยากให้ท่านรู้ว่าประตูของสำนักงานใหญ่สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ในจักรวรรดิเซนต์เมซิทของเราพร้อมจะเปิดต้อนรับท่านเสมอ!”
ด้วยรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าของเขา อาร์เว่นผลักกล่องไม้เข้าหาโรเอลและกระตุ้นให้เด็กชายรับของกำนัลของเขาไป
โรเอลยิ้มตอบกลับท่าทางของอาร์เว่นไปเช่นกัน เขาเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี นั่นก็คืออาร์เว่นต้องการเป็นนายหน้าตัวกลางจัดการซื้อขายสมบัติทั้งหมดที่โรเอลมีนั่นเอง
บอกตามตรงเลยว่าโรเอลไม่ได้คิดจะปฏิเสธความตั้งใจของอาร์เว่นเลยแม้แต่น้อย เพราะแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นนักธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรเป็นหลักแต่ก็ไม่ใช่คนที่ถูกความโลภบังตา
ประการแรก อาร์เว่นสามารถปกปิดการเลื่อนตำแหน่งของเขา เก็บ 5,000 เหรียญทองเอาไว้กับตัวก็ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะซื่อสัตย์ต่อโรเอล ไม่ได้คิดเพียงแค่การแลกเปลี่ยนผลกำไรในระยะสั้น แต่มองถึงการสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานระยะยาวกับเด็กชาย เขารู้ดีเกี่ยวกับลำดับความสำคัญต่าง ๆ ที่ตนเองต้องจัดเรียง และสามารถจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสุขุม
คนที่รู้จักสละปลาตัวเล็ก เพื่อไปตกปลาที่ตัวใหญ่กว่าคือคนที่รู้วิธีการทำธุรกิจอย่างแท้จริง
ด้วยความคิดนี้ โรเอลจึงลุกขึ้นยืนและยื่นมือไปให้อาร์เว่น
“ได้เลย ในอนาคตข้าขอฝากตัวกับเจ้าด้วยนะ”