บทที่ 37: แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?
แวดวงสังคมในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิงนอร่านั้นถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ๆ กลุ่มแรกก็คือกลุ่มแวดวงขุนนาง และอีกกลุ่มก็คือแวดวงของเด็ก ๆ ที่พวกขุนนางนำมาด้วย
สังคมของเด็ก ๆ นั้นมีความจริงจังน้อยกว่ามาก แต่ความสำคัญของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสังคมของพวกผู้ใหญ่เลย ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ในสมัยเด็กนั้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ดังนั้นตระกูลที่สนิทสนมกันจึงมักจะให้ผู้สืบทอดของพวกเขาสานสัมพันธ์ด้วยกัน
งานเลี้ยงในวันนี้จึงมีความสำคัญมากต่อเด็ก ๆ ลูกหลานตระกูลขุนนางเช่นโรเอล การที่เขาพลาดมาร่วมงานเลี้ยงในปีที่แล้วทำให้เด็กชายเสียเปรียบไปมากเลยทีเดียว ที่แย่ลงไปอีกก็คือตระกูลแอสคาร์ดนั้นไม่ได้มีลูกหลานตระกูลขุนนางในสังกัดเท่าไหร่นัก
“พยายามหาเพื่อนในงานเลี้ยงให้ได้ล่ะ โรเอล แต่ลูกไม่จำเป็นต้องฝืนหรอกนะถ้าไม่ไหว”
มาร์ควิสคาร์เตอร์บอกกับโรเอล ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางไปยังพระราชวัง
คาร์เตอร์ต้องการให้โรเอลเตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึง เพราะตัวเขาในวัยเด็กนั้นไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีเท่าไหร่นักด้วยชื่อเสียงในฐานะตระกูลจอมเวทย์ของตระกูลแอสคาร์ด นอกจากนี้คาร์เตอร์เองก็ไม่ได้สนใจจะสร้างความสัมพันธ์กับใครด้วย ดังนั้นเขาจึงคิดว่างานเลี้ยงในครั้งนี้คงไม่น่ายินดีเท่าไหร่สำหรับโรเอลเช่นกัน
“ท่านพ่อ ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ผมไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่อยู่แล้ว” เด็กชายพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาไม่เป็นกังวลเลยด้วยซ้ำ
“อลิเซีย เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ พยายามเดินตามพี่โรเอลเอาไว้” คาร์เตอร์หันมาพูดกับบุตรสาวบุญธรรมของเขาอย่างเอ็นดู พร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจทั้งสองคน
“… ค่ะ”
อลิเซียตอบไปอย่างว่าง่าย ก่อนจะค่อย ๆ ลดศีรษะทำความเคารพ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ หายไป แทนที่ด้วยความไม่สบายใจ
หืม? เธอรู้สึกประหม่าด้วยงั้นเหรอ? หาได้ยากเลยนะเนี่ย สีหน้าแบบนี้
“ไม่เป็นไรหรอกน่าอลิเซีย แค่เดินตามฉันมาก็พอ”
โรเอลลูบหัวอลิเซียให้กำลังใจเธอ
“…เข้าใจแล้วค่ะ ท่านพี่”
อลิเซียคลี่ยิ้มอย่างกดดันให้กับโรเอล เด็กสาวพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะผลักดันความกลัวในใจออกไป
มันจะต้องเรียบร้อยดี ตอนนี้เราเป็นสมาชิกของตระกูลแอสคาร์ดแล้ว อีกอย่างพี่ใหญ่โรเอลก็อยู่กับเราด้วย …
—————————————–
ดังที่สุภาษิตว่าไว้ ‘ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง’
เนื่องในโอกาสสำหรับงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เหล่าขุนนางในจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะสวมเสื้อผ้าที่ดูดีที่สุดของพวกเขา ทว่ามันไม่ใช่อย่างที่ใคร ๆ ต่างเข้าใจผิดว่า มีเพียงเสื้อผ้าเท่านั้นที่เหล่าขุนนางใช้ในการโอ้อวด นั่นไม่จริงเลย เพราะนอกจากเสื้อผ้าแล้ว พวกขุนนางก็ยังเปรียบเทียบรถม้าของพวกเขาด้วยเช่นกัน
ถนนข้างนอกสวนหลวงของพระราชวังที่ปกติแล้วจะเงียบสงบ บัดนี้เต็มไปด้วยรถม้าอันหรูหราที่ถูกประดับประดาอย่างสวยงามหลากหลายรูปแบบ รถม้าเหล่านี้กำลังต่อคิวยาวเหยียดรอเวลาเข้าสู่พระราชวัง
มาร์ควิสคาร์เตอร์จึงใช้โอกาสนี้ในการแนะนำตราประจำตำแหน่งของเหล่าตระกูลขุนนางต่าง ๆ ให้โรเอลและอลิเซียได้รู้จัก โดยให้ความสำคัญกับห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงอีกสี่ตระกูลเป็นกลุ่มแรก
“ตราประจำตำแหน่งรูปหมีสีเทานั่นเป็นของตระกูลมาร์ควิสเบลฟาสต์ เขตการปกครองของพวกเขาตั้งอยู่ตรงชายแดนทางเหนือของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ซึ่งเลื่องชื่อในเรื่องสภาพอากาศอันหนาวเย็น คนของพวกเขาเป็นที่รู้จักกันในด้านความอึดถึก ทนทานและแข็งแกร่ง”
“ดูตราประจำตำแหน่งรูปนกสีทองทางซ้ายมือนั่นเป็นของตระกูลดยุกลูซีน พวกเขาเป็นตระกูลดยุกเพียงตระกูลเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในจักรวรรดิเซนต์เมซิท และยังรักษาจุดยืนเป็นกลางทางการเมืองของตนเองมาโดยตลอด”
“และตราประจำตำแหน่งรูปเสือที่อยู่ตรงหน้าพวกเรา ก็คือตราของตระกูลเคานต์เอลริก พวกเขาเคยเป็นตระกูลมาร์ควิสมาก่อนแต่ถูกลดขั้นลง เนื่องจากพวกเขาได้ไปสนับสนุนองค์ชายเวตในเหตุการณ์การเดินขบวนแห่งความวุ่นวาย เขตการปกครองของพวกเขาตั้งอยู่ติดกับชายแดน พวกเขาจึงเป็นที่รู้จักในเรื่องความแข็งแกร่งทางด้านการทหาร”
“ส่วนรถม้าที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้นเป็นของตระกูลมาร์ควิสไวส์ ตราประจำตำแหน่งของพวกเขาคือดอกระฆัง ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขาได้กรำศึกร่วมกับตระกูลเซไซต์ ทำให้พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายราชวงศ์ ทว่าดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้แน่วแน่ในจุดยืนของตนเองเท่าไหร่”
มาร์ควิสคาร์เตอร์ทยอยแนะนำตระกูลขุนนางชั้นสูงไปทีละตระกูล ส่วนโรเอลก็นั่งฟังเขาอย่างตั้งใจ ด้วยเหตุนี้พวกเขาสองคนจึงไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าอันมืดมนของอลิเซียเมื่อมีการเอ่ยถึงตราประจำตำแหน่งรูปเสือ
เมื่อรถม้าแล่นเข้าสู่พระราชวัง โรเอลก็ได้เห็นทิวทัศน์อันน่าทึ่งของสวนหลวง แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นฤดูหนาวจึงไม่ได้มีน้ำพุและทุ่งหญ้าอันเขียวขจีตามเวลาปกติ ทว่าเพียงแค่ศาลาที่ได้รับการออกแบบอย่างประณีตก็เพียงพอแล้วที่จะถ่ายทอดความสวยงามของสวนหลวงออกมาได้ อีกทั้งต้นสนที่คนสวนได้ทำการตัดแต่งอย่างระมัดระวังก็ยังดูดีท่ามกลางภูมิทัศน์สีขาวโพลนของหน้าหนาว
พวกโรเอลเดินลงมาจากรถม้า เข้าไปในคฤหาสน์พร้อมกับแสดงบัตรเชิญออกมา แล้วจึงมอบของขวัญให้กับเหล่าคนรับใช้ในพระราชวังไปเป็นผู้ดูแลต่อ
ภายในพระราชวังนั้นเป็นคฤหาสน์อันหรูหราที่เต็มไปด้วยโคมไฟคริสตัลและงานศิลปะจากจิตรกรชื่อดัง โรเอลก้าวไปบนพรมอันนุ่มนิ่ม สำรวจสภาพแวดล้อมไปพร้อมกับคิ้วที่ขมวดลึกบนใบหน้า เขามีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดกับคฤหาสน์หลังนี้
“ที่นี่ดูคุ้นเคยใช่ไหมล่ะ? คฤหาสน์แห่งนี้เองก็ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงหนึ่งร้อยปีก่อน เพราะแบบนั้นการออกแบบเลยคล้ายกับคฤหาสน์เขาวงกตของพวกเรา”
คาร์เตอร์อธิบายให้เด็ก ๆ ทั้งสองคนฟัง ขณะที่เขาเองก็มองสำรวจไปรอบ ๆ คฤหาสน์ด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกพาไปยังห้องจัดเลี้ยง ภายใต้การนำทางของเหล่าคนรับใช้
แม้ตอนนี้จะยังพอมีเวลาเหลืออีกราว ๆ หนึ่งชั่วโมงก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่สาเหตุที่แขกส่วนใหญ่มักจะมาถึงที่หมายก่อนเวลา นั่นก็เพื่อที่จะพบปะสังสรรค์กัน
นอกเหนือจากสมาชิกของห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงแล้ว ก็ยังมีทหารระดับสูง เจ้าหน้าที่ฝ่ายการปกครอง ขุนนางระดับสูงจากเมืองหลวงและขุนนางระดับรองจากดินแดนห่างไกลอยู่มากมาย
ผู้คนทุกประเภทได้มารวมตัวกันในห้องจัดเลี้ยงนี้ ทำให้มันเป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมในการบรรเทาบรรยากาศอันตึงเครียดและถามไถ่ข้อมูลสารทุกข์สุขดิบ
อีกทั้งช่วงเวลานี้ยังเป็นโอกาสอันดีสำหรับพวกเขาในการสังเกตเป้าหมายที่ต้องการเข้าใกล้และเตรียมการเพื่อเข้าหาอีกฝ่ายในภายหลัง
คาร์เตอร์ได้พาอลิเซียและโรเอลเดินไปรอบ ๆ เพื่อแนะนำพวกเขาให้รู้จักกับขุนนาง เจ้าหน้าที่ และทหารที่เขาสนิท หลังจากได้เดินทักทายผู้คนไปพอสมควร อลิเซียและโรเอลก็ได้พบเพื่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันราว ๆ สองสามคนที่สามารถสังสรรค์ด้วยกันในงานเลี้ยงวันเกิดได้ในที่สุด
ลูกสาวจากตระกูลเคานต์ ลูกสาวจากตระกูลไวเคานต์ ลูกสาวจากตระกูลบารอน …หรือก็คือ เพื่อน ๆ ที่มีอายุพอ ๆ กันกับโรเอลล้วนเป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด
แล้วเด็กผู้ชายล่ะ? น่าแปลกที่ไม่มีเด็กผู้ชายเลยแม้แต่คนเดียวนอกจากโรเอลที่นี่
???
เราเกิดมาภายใต้ดวงดาวแห่งความเดียวดายงั้นเหรอ?
ริมฝีปากของโรเอลกระตุกจากความบังเอิญอันน่าตกตะลึง เขามองไปยังกลุ่มสาว ๆ ที่เข้ามารวมตัวกันรอบตัวเขา ด้วยอาการปวดหัวที่ไม่รู้ว่าตนเองควรจะพูดอะไรดี
เด็กในวัยเดียวกันมักจะออกไปเที่ยวกับเด็กเพศเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าโรเอลนั้นไม่มีทางอยู่ในกลุ่มนี้ได้ อายุของพวกเธออยู่ห่างจากวัยกำลังโตเพียงไม่กี่ปี ทำให้หัวใจของเด็กสาวเหล่านี้เริ่มจะเต้นแรงเมื่ออยู่ใกล้เพศตรงข้าม แม้ว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้บางคนจะแอบมองไปที่โรเอล แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะเริ่มเข้าหาเขาอย่างจริงจัง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางบรรยากาศอันวุ่นวายนี้ ‘อย่างน้อย ๆ ก็สำหรับคนอื่น ๆ’ ในไม่ช้ามันก็ถึงเวลาที่งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดจะเริ่มต้นขึ้น
ประตูด้านในห้องโถงคฤหาสน์ได้ถูกเปิดออก จากนั้นเหล่าคนรับใช้กลุ่มใหญ่ก็ก้าวออกมา เพื่อเปิดทางให้กับเจ้าภาพ แล้วตัวเอกหลักของงานก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด เหล่าราชวงศ์ตระกูลเซไซต์
องค์ชายเคนเป็นคนที่พานอร่าเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง เธอสวมชุดพลิ้วไหวที่ทำให้เธอดูเหมือนเทพธิดา สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับฝูงชน
งานเลี้ยงในจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะเริ่มต้นด้วยเพลงบทสวดสรรเสริญเสมอ เมื่อวงดนตรีเริ่มบรรเลง องค์ชายเคนก็เป็นผู้นำฝูงชนร้องเพลงสรรเสริญเทพีผู้สร้างเซีย หลังจากพิธีการสรรเสริญสิ้นสุดลง ในที่สุดงานเลี้ยงก็เข้าสู่ช่วงหลัก
องค์ชายเคนและองค์หญิงนอร่าได้ออกมาแสดงความขอบคุณต่อเหล่าขุนนางที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ก่อนจะประกาศเริ่มงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ อาหารเลิศรสต่าง ๆ ถูกจัดวางลงบนโต๊ะบุฟเฟ่ต์ขนาดใหญ่ ส่วนเหล่าคนรับใช้ก็เดินไปรอบ ๆ ห้อง คอยให้บริการเครื่องดื่มแก่แขกในงานเพื่อดับกระหาย
อย่างไรก็ตามไม่มีใครให้ความสนใจกับอาหารและเครื่องดื่มเลย ทุกคนต่างมองไปยังสมาชิกทั้งสองของราชวงศ์ที่ยืนอยู่ข้างหน้า พยายามค้นหาโอกาสที่จะก้าวไปพูดคุยกับพวกเขา
“ผ….ผมคงไม่ต้องเดินออกไปใช่ไหม?”
เมื่อโรเอลมองไปยังเด็กสาวผมทองผู้สง่างามที่ยืนอยู่ตรงหน้า เด็กชายก็ถอยหลังไปครึ่งก้าวแล้วมองไปที่บิดาอย่างมีความหวัง ก่อนที่เขาจะได้พบกับรอยยิ้มอันลึกล้ำจากผู้เป็นพ่อ
“แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”