บทที่ 4: บทสนทนาบนโต๊ะอาหาร
ได้เวลาดับเครื่องชนแล้ว!
ในห้องทำงานของมาร์ควิสคาร์เตอร์ เด็กชายตัวน้อยผมสีดำกำลังสัมผัสสัญลักษณ์ที่ตรึงไว้บนหน้าอกของเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ชวนให้นึกถึงอัศวินที่กำลังชูดาบของเขาก่อนเริ่มการต่อสู้
วันนี้เป็นวันแรกที่อลิเซียถูกรับเข้ามาในตระกูลแอสคาร์ด ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันที่สำคัญมากสำหรับเธอ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากจู่ ๆ ความทรงจำในอดีตชาติของโรเอลก็กลับมาโดยเฉียบพลันระหว่างการต้อนรับอลิเซีย เขาจึงได้เผลอทำลายความประทับใจในการพบกันครั้งแรกระหว่างพวกเขาทั้งสองคนไปแล้ว
ชิ! นี่มันน่าหดหู่จริง ๆ! ทำไมเราถึงได้ทำแบบนั้นออกไปกันนะ? ด้วยรูปลักษณ์ของฉันในตอนนี้ ต่อให้ไม่สามารถทำให้อลิเซียหลงเสน่ห์ได้ในทันทีก็เถอะ แต่อย่างน้อย ๆก็น่าจะสามารถทำให้เธอประทับใจได้บ้างแท้ ๆ!
โรเอลมองพินิจรูปร่างของตัวเองในปัจจุบันบนกระจก เขามองไปที่ผมสีดำ และดวงตาสีทองของตนเองในกระจกก่อนจะบีบใบหน้าอันอวบนุ่ม แต่น่าดึงดูดพอ เพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง
ใช่แล้ว ตัวเราในตอนนี้หน้าตาดีมาก
นอกจากนี้หากตัดสินจากภาพประกอบตัวละครในเกม ประกอบกับยีนจากพ่อแม่ โรเอลก็น่าจะหล่อเหลาขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป
บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความลุ่มหลงเข้าใจผิดไปเองของตน แต่หลังจากที่ได้สวมสัญลักษณ์นี้แล้วเขาก็รู้สึกว่าตัวเองดูดี …กว่าเดิม?
เด็กน้อยใช้นิ้วจิ้มลงที่สัญลักษณ์สีเงินบนหน้าอกของตน พยายามสร้างความมั่นใจให้ตัวเองให้พร้อมกับการต่อสู้ที่กำลังจะเข้ามา
แม้ก่อนหน้านี้โรเอลจะไม่ได้ทิ้งความประทับใจแรกที่ดีไว้กับอลิเซีย แต่เขายังมีโอกาสที่จะกอบกู้สถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ด้วยของวิเศษนี้
มันจะต้องช่วยโรเอลเพิ่มค่าความชอบของอลิเซียที่มีต่อเขาและทำลายเดธแฟล็กอันน่าสะพรึงกลัวนั้นทิ้งไปได้แน่!
แต่ก่อนอื่นโรเอลต้องลองทดสอบพลังของชิ้นนี้กับคนอื่นก่อน
“แอนนา เธอยืนรอฉันมาตั้งนาน เหนื่อยรึเปล่า?”
ทันทีที่ประตูห้องทำงานเปิดออก เด็กชายตัวเล็กก็กระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างประตู และมองเธอด้วยดวงตากลมโตน่ารักของเขา
“นายน้อย? เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
สาวใช้ผู้ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลโรเอล จ้องมองไปยังเด็กชายที่กำลังจับขาของเธอด้วยความตกใจ รู้สึกงุนงงกับท่าทีที่ดูสนิทสนมผิดปกติอย่างกะทันหันของเจ้านายตัวน้อย
ในวัยเด็ก โรเอล แอสคาร์ด นั้นมีชื่อเสียงในเรื่องความชั่วร้ายและดื้อดึงของเขา เนื่องจากการสูญเสียแม่ไปตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งมาร์ควิส คาร์เตอร์ ผู้เป็นพ่อก็ตามใจเขามาก
คาร์เตอร์ไม่เคยตีหรือดุด่าโรเอลแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาคิดว่านี่เป็นหนทางที่จะชดเชยความอบอุ่นที่โรเอลสูญเสียไปจากการตายของมารดา
เห็นได้ชัดว่าสภาพแวดล้อมดังกล่าวเป็นสาเหตุที่ทำให้โรเอลกลายเป็นนายน้อยผู้หยิ่งผยองสมฉายาทรราชตัวน้อย
อย่างไรก็ตามไม่มีคนรับใช้คนใดในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดกล้าพูดเรื่องนี้ออกมา พวกเขาล้วนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากที่สักวันหนึ่งทรราชตัวน้อยคนนี้จะต้องกลายเป็นมาเจ้านายของพวกเขา กลายเป็นหนึ่งในมาร์ควิสผู้มีอำนาจของจักรวรรดิเซนต์เมซิท
ยกตัวอย่างเช่น สาวใช้ที่มีชื่อว่าแอนนาคนนี้ เธอนั้นได้วางแผนที่จะเกษียณอายุก่อนที่โรเอลจะเติบโตขึ้นเป็นเจ้านายที่ชั่วร้ายไปมากกว่านี้ เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง
ด้วยเหตุนี้สาวใช้ประจำคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดจึงตกใจมากที่ จู่ ๆ ทรราชตัวน้อยผู้มีชื่อเสียงก็เปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง
เธอไม่แน่ใจว่านี่มันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือ จริง ๆ แล้วโรเอลนั้นมีแผนชั่วร้ายอยู่เบื้องหลังการกระทำนี้กันแน่?
ในฐานะที่แอนนาเป็นมืออาชีพ เธอจึงยังคงรักษารอยยิ้มบนริมฝีปากเอาไว้ ในขณะที่หัวใจเต้นระรัวไปด้วยความอบอุ่น
ด้านโรเอลก็ยังคงดำเนินแผนของเขาต่อไป
“ฮึก… ไม่มีอะไรหรอก! ฉันแค่อ่านหนังสือนิทานมา มันบอกว่าเด็ก ๆ จะต้องถูกมนุษย์หมาป่าแห่งป่าชารอนจับไปกิน ฉันยังไม่อยากถูกกิน ฮือออ”
เด็กชายผมดำพูดออกมาพร้อมกับสะอึกสะอื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัว น้ำตาของเขาเริ่มไหลหยดลงบนพื้นราวกับเม็ดฝน ไม่ว่าจะพยายามเช็ดน้ำตาออกไปแค่ไหน มันก็ยังไหลลงมาไม่หยุด
ภาพดังกล่าวทำแอนนารู้สึกหวาดหวั่น เธอรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วเพื่อเช็ดน้ำตาของโรเอล
“ไม่เป็นไรนะคะ นายน้อย เรื่องในนิทานพวกนั้นมันเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกค่ะ” แอนนาอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะนึกได้ถึงธูปหอมที่จุดเอาไว้ในห้องสมุดก่อนหน้านี้
“ที่นายน้อยเป็นแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะผลของไอเทมเวทมนตร์ ที่ท่านมาร์ควิสใช้เพื่อให้ตัวเองตื่นเวลาทำงาน ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลค่ะ มนุษย์หมาป่าแห่งป่าชารอนไม่มีวันกล้าเข้ามาโจมตีตระกูลแอสคาร์ดของพวกเราแน่”
“ที่เธอพูด เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?”
“จริงแท้แน่นอนค่ะ”
แอนนามองไปยังดวงตากลมโตของเด็กน้อยตรงหน้า ลูบไล้ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาด้วยความหลงไหลโดยไม่รู้ตัว ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจเธอ
ดูเหมือนว่าทรราชตัวน้อยคนนี้ก็มีด้านที่น่ารักอยู่บ้างเช่นกัน
“แอนนา…ฉันขอโทษที่ดุเธอเมื่อวาน”
“หืม?”
ไม่ทันที่แอนนาจะเรียกสติจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้กลับมา ก็มีเรื่องให้เธอได้ประหลาดใจเพิ่มอีก มันถาโถมเข้ามาราวกับระเบิดอีกลูกที่วางไว้ในมือของเธอ
สาวใช้ประจำตระกูลเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เธอแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่านายน้อยผู้หยิ่งผยองคนนั้นจะรู้จักคำขอโทษ
“เมื่อวานฉันผิดไปแล้ว ครั้งก่อน ๆ ก็ด้วย ขอโทษจริง ๆ ฮึก ที่ฉันมักจะตีและด่าว่าพวกเธอทุกคน “
“ม… ไม่…ไม่เป็นไรค่ะ นายน้อยยังเด็กอยู่! มันเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กในวัยท่านที่จะซุกซน พวกเราไม่คิดจะตำหนิท่านในเรื่องนั้นเลยค่ะ!”
แอนนารีบรุดไปปลอบเด็กน้อยผู้กำลังหมกมุ่นอยู่กับการตำหนิตัวเองอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจว่า เป็นไปได้ไหมที่นายน้อยของเธอนั้นได้เติบโตขึ้นแล้วปรับปรุงตัวเป็นคนดีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป?
“เราจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว แอนนา เธอจะช่วยยกโทษให้เราได้ไหม?”
เด็กน้อยมองไปยังสาวใช้ด้วยดวงตาที่ปริ่มไปด้วยหยาดน้ำตา สัญลักษณ์สีเงินที่ตรึงอยู่บนหน้าอกของเขาเปล่งประกายแวววาวสะท้อนแสง
หัวใจของแอนนาเริ่มละลายลงไปทีละนิดกับนายน้อยของเธอ และในที่สุดก่อนที่จะรู้สึกตัว สาวใช้ก็ได้พยักหน้าให้อภัยเขาแล้ว
“แน่นอนค่ะ!”
“เยี่ยมไปเลย…อ๊ะ!”
โรเอลที่ทุ่มเทอารมณ์ไปกับการแสดงตามบทบาทได้เผลอตะโกนออกมาดัง ๆ ทำให้สาวใช้ตรงหน้าเขามองตาปริบ ๆ ด้วยความสับสน
ซึ่งในจังหวะที่แอนนาตกลงยกโทษให้กับโรเอล เขาก็เห็นแสงสีเขียวโผล่ขึ้นมาจากศีรษะของเธอและกลายเป็นคำต่าง ๆ
(แต้มความสนใจ +150!)
โอ้พระเจ้า! การได้แต้มความสนใจมันง่ายขนาดนี้เลย แถมได้มากกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก!
โรเอลกำมือแน่นด้วยความปลื้มปิติ ในขณะที่แสงแห่งความหวังได้สว่างขึ้นในดวงตาของเขา
หึหึ การทดลองครั้งนี้ประสบความสำเร็จ! ดูเหมือนว่าการรวบรวมแต้มความสนใจจะทำได้เร็วกว่าการเก็บเหรียญทองมากจริง ๆ ซะด้วย!
ฉันพร้อมจริง ๆ แล้ว รอก่อนเถอะ อลิเซีย!
…
“ท… ท่านพี่ สวัสดียามบ่ายค่ะ”
มาร์ควิส คาร์เตอร์ นั้นต้องออกไปจัดการทำธุระกับเรื่องอื่น ๆ ในช่วงบ่าย ห้องอาหารอันกว้างขวางของตระกูลแอสคาร์ดจึงเหลือเพียงแค่ โรเอล และ อลิเซีย ที่นั่งรอรับประทานอาหารอยู่ที่นี่
เมื่อเด็กสาวผมสีเงินเห็นพี่ชายตัวเล็กของเธอ ก็นึกถึงสีหน้าอันน่ากลัวของโรเอลที่จ้องมองมายังก่อนหน้านี้ในทันที
อลิเซียกลัวโรเอลมาก แต่เธอก็ยังพยายามอย่างเต็มที่และรวบรวมความกล้า เข้าทักทายเขาอย่างสุภาพ ซึ่งโรเอลตอบกลับด้วยการพยักหน้าอย่างเรียบเฉย
หลังจากนั้นเหล่าสาวใช้ ก็ได้พาอลิเซียมานั่งตรงหน้าโรเอลบนโต๊ะอาหารยาวหรูหราที่สามารถจุคนได้ถึงยี่สิบคน อย่างไรก็ตามสภาพบรรยากาศนั้นเงียบกริบจนน่าอึดอัด ทั้งสองคนจึงได้แต่นั่งนิ่ง ๆ รอให้เหล่าคนรับใช้เข้ามาเสิร์ฟอาหาร
เด็กสาวผมเงินย่อตัวลงนั่ง มือจับชายกระโปรงใต้โต๊ะอย่างประหม่า เธอเหลือบมองโรเอลเป็นครั้งคราว ก่อนที่จะหลบสายตาไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นความกังวลใจที่รู้สึกอยู่ภายใน
โรเอลรู้ว่าอลิเซียกำลังรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดก่อน และอธิบายว่าทำไมพวกเขาถึงต้องมารับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน
ตามหลักแล้วในคฤหาสน์ชนชั้นสูง เช่นคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด เมื่อ มาร์ควิส คาร์เตอร์ ไม่อยู่ เด็ก ๆ อย่าง โรเอล และ อลิเซีย มักจะรับประทานอาหารกลางวันแบบส่วนตัวในห้องของพวกเขา
เหตุผลก็เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของผู้นำตระกูล
อย่างไรก็ตามเนื่องจากตระกูลแอสคาร์ดในตอนนี้ไม่ได้ขาดแคลนเงิน และโรเอลเองก็อยู่ในฐานะผู้สืบทอดแต่เพียงผู้เดียว จึงมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงจัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันได้ตามดุลยพินิจของเขา
ทว่าสำหรับอลิเซียแล้วเหตุการณ์นี้ดูจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่
ความคิดแรกที่อลิเซียนึกถึงว่าทำไมพี่ชายบุญธรรมถึงได้เรียกเธอออกมารับประทานอาหารร่วมกัน ในขณะที่พ่อของพวกเขาไม่อยู่ก็คือ โรเอลนั้นน่าจะต้องการที่จะแสดงให้เห็นถึงอำนาจของเขาเพื่อข่มธอ
ระบบความคิดของแวดวงชนชั้นสูงนั้นแตกต่างจากระดับชนชั้นอื่น ๆ มาก การกดขี่นั่นกลายเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งในหมู่เด็ก ๆ และการกดขี่ที่ไร้ซึ่งวุฒิภาวะก็มักจะส่งผลให้เกิดเรื่องแย่ ๆ ขึ้นเสมอ
ระหว่างลูกสาวบุญธรรมจากตระกูลของบารอนและลูกชายคนเดียวของตระกูลมาร์ควิสนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างสถานภาพฐานะอยู่
มันไม่ได้เกินจริงเลย หากจะบอกว่าคำพูดจากโรเอลเพียงคำเดียวก็สามารถเปลี่ยนชีวิตของอลิเซียให้กลายเป็นนรกบนดินได้ โดยที่เธอจะไม่มีทางสามารถตอบโต้กลับไป
อะไรนะ มีวิธีแก้ปัญหาง่าย ๆ? ก็แค่บอกมาร์ควิส คาร์เตอร์เกี่ยวกับเรื่องที่โรเอลพูดออกมางั้นเหรอ?
แม้ว่ามาร์ควิส คาร์เตอร์จะเป็นคนที่มีความเที่ยงธรรมและอาจจะออกมาช่วยปกป้องอลิเซีย ด้วยความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อบารอนผู้เป็นพ่อของอลิเซีย
อย่างไรก็ตาม จะเกิดอะไรขึ้นหาก มาร์ควิส คาร์เตอร์ ไม่อยู่? ความเสียใจของเด็ก ๆ นั้นน่ากลัวเกินกว่าที่ผู้ใหญ่จะจินตนาการได้ การแทรกแซงของผู้ใหญ่นั้นไม่สามารถหยุดการกดขี่ต่าง ๆ ได้แน่
เมื่อก่อนเธอก็เคยเจอเรื่องแบบนี้…
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในนัยน์ตาสีแดงเข้มของอลิเซีย เด็กสาวหวนนึกถึงอดีตของเธอ
อลิเซียเงยหน้าขึ้นมองเด็กชายตัวเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ร่างเล็ก ๆ ของโรเอลเริ่มทับซ้อนกันกับเด็กผู้ชายที่เคยทำให้เธอต้องอับอาย ทำให้อลิเซียต้องก้มหน้าลงราวกับว่ามีบางอย่างกดศีรษะเธอลงไป
มันคืออดีตอันน่าสะพรึงกลัวที่เธอไม่สามารถลืมเลือนไปได้
อลิเซียไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว กลับเป็นโรเอลต่างหากที่รู้สึกประหม่ามากกว่าเสียอีก!
บ้าจริง! เราจะทำให้เด็กอายุ 7 ขวบประทับใจในตัวเราได้อย่างไร?
โรเอลซึ่งตอนนี้มีประสบการณ์ชีวิตรวมกับในชาติก่อนถึง 30 ปี กำลังครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ เด็กน้อยรู้สึกอยากจะเกาหัวของเขาด้วยความสับสนงุนงงจนหงุดหงิดในตอนนี้
เหตุผลที่โรเอลเชิญอลิเซียมาที่ห้องอาหารนั้นก็เพื่อที่พวกเขาทั้งคู่จะได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน เขาจะเอาชนะใจเธอได้อย่างไร หากไม่ได้พบหน้าเธอ
ทว่าเมื่อพวกเขาทั้งสองคนได้มานั่งหันหน้าเข้าหากันจริง ๆ แล้ว โรเอลกลับพบว่าเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอ บรรยากาศอันแสนกดดันของการเจอหน้ากันเป็นครั้งที่สองในตอนนี้ ไม่ได้ช่วยสร้างความประทับใจอะไรเลย
เฮ้ น้องสาวมาสนิทกันเถอะ!
ชิ นั่นก็ดูไม่ใช่คำพูดที่ถูกเหมือนกัน!
หลังจากครุ่นคิดอยู่นานโรเอลก็ตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีที่น่าจะสุภาพที่สุด
“อลิเซีย ต้องขอโทษด้วย ที่ฉันไม่ได้แนะนำตัวกับเธอก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเรารู้สึกประหม่าไปหน่อยเลยทำสีหน้าแบบนั้นออกไป ฉันชื่อว่า โรเอล ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะมาเป็นพี่ชายของเธอ”
“ค่ะ ท่านพี่”
“ในอนาคต ถ้ามีปัญหาอะไรในคฤหาสน์หลังนี้ล่ะก็ อย่าลังเลที่จะมาบอกฉันล่ะ”
“ค่ะ ท่านพี่”
“ถ้าเธอรู้สึกเบื่อ เธอสามารถมาหาฉันที่ห้องได้นะ”
“ค่ะ ท่านพี่”
“ …”
นั่นมันอะไรกัน? เธอเป็นนกแก้วรึไง!
เด็กชายมองไปยังเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ตรงหน้าที่ได้แต่พูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ พร้อมผงกหัวปลก ๆ
เห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่เขาพูดไปทั้งหมดนั้นไม่ได้เข้าหัวเธอเลย
โรเอลไม่ได้รับแต้มความสนใจจากบทสนทนาเมื่อครู่เลยสักแต้ม และอลิเซียเองก็ยังคงมีท่าทีเย็นชาเหมือนเคย แม้ว่าเธอจะสุภาพและเชื่อฟัง แต่ท่าทีของเธอก็ยังผลักไสเขาออกไปไกลหลายไมล์
ทำไมเด็กสาวคนนี้… ถึงปิดกั้นหัวใจขนาดนี้กัน? เธอจะโตเกินวัยไปหน่อยแล้ว
สำหรับเด็ก ๆ ในช่วงวัยของพวกเรา การขอให้ใครมาเล่นเป็นเพื่อนนั้น น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาดีและมิตรภาพไม่ใช่หรือ? ไอ้เราก็อุตส่าห์คิดว่า ตอนที่เดินออกจากห้องอาหารนี้จะได้จับมืออลิเซีย พาไปเล่นด้วยกันในสวนซะอีก
หลังจากล้มเหลวในการโจมตีระลอกแรก โรเอลก็หมดสิ้นหนทางที่จะเริ่มบทสนทนาต่อ ส่วนทางด้านอลิเซียกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พยายามทำตัวให้แตกต่างจากคนอื่นและแสดงกิริยาท่าทางอันสุภาพเกินวัยนั้นเป็นวิธีการปกป้องตัวเองของอลิเซีย
สำหรับเด็กสาวที่มักจะถูกเด็กผู้ชายรังแก ถูกล่วงละเมิดเนื่องจากรูปร่างหน้าตาของเธอมาโดยตลอดนั้น ทำให้ไม่สามารถทำใจเชื่อมั่นในสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ได้อีก
แม้ว่าอลิเซียจะสามารถเข้าใกล้เด็กในวัยเดียวกันและเล่นด้วยกันได้ แต่แล้วพวกเขาก็ทยอยกันถอยห่างออกไปด้วยความกลัวในความผิดปกติผิดแปลกของเธอ จนท้ายที่สุดแล้วความกลัวเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นปีศาจที่คอยกดขี่เธอ
อืม ไม่เป็นไรหรอกเราชินกับมันแล้ว
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ได้แต่คิดกับตัวเอง ขณะที่กำชายกระโปรงในมือเอาไว้แน่น
บรรยากาศทั้งห้องอาหารมีเพียงความเงียบงัน โรเอลนั้นได้แต่ครุ่นคิดทำอะไรไม่ถูก ส่วนอลิเซียก็ยังคงกางกำแพงจิตใจ ปิดกั้นตัวเองอย่างแน่นหนา จนกระทั่งในที่สุดคนรับใช้ก็เดินเข้ามาวางเครื่องครัวลงบนโต๊ะ
“อา!”
ในขณะที่เครื่องครัวอันหรูหราต่าง ๆ กำลังถูวางจัดเรียงลงอย่างประณีตเบื้องหน้าพวกเขาทั้งสองด้วยฝีไม้ฝีมืออันแผ่วเบา ทันใดนั้นอลิเซียก็ส่งเสียงอุทานออกมา ทำให้เหล่าคนรับใช้สับสน ประกายไฟสว่างวาบในความคิดของโรเอล เขานึกออกถึงฉากหนึ่งในเกม อาย ออฟ โครนิเคิล
โอ้ ใช่แล้ว! เธอกลัวเจ้าสิ่งนี้นี่นา!
โอกาสของเรามาถึงแล้วสินะ!