บทที่ 41: ฉันอยู่ที่นี่แล้วยังไงล่ะ
ขณะที่โรเอลกำลังเดินไปรอบ ๆ โต๊ะบุฟเฟ่ต์เพื่อกินให้อิ่มท้อง เขาก็คิดถึงเรื่องที่คาร์เตอร์บอกเขาก่อนหน้านี้
ปีที่แล้วงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงเพราะมันเป็นวันเกิดของนอร่า แต่มันยังเป็นครั้งแรกที่เหล่าทายาทจากตระกูลขุนนางในยุคปัจจุบันของจักรวรรดิเซนต์เมซิททั้งหมดได้มารวมตัวกันอีกด้วย
แม้ว่าจะมีหลายครั้งที่เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ได้มารวมตัวสังสรรค์กัน ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงน้ำชาที่จัดโดยสตรีชนชั้นสูงหรืองานเลี้ยงธรรมดา ๆ อย่างไรก็ตามโอกาสที่เหล่าทายาทจะได้มาพบกันนั้นหายากยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับบางคน งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดนี้อาจจะเป็นเพียงโอกาสเดียวในรอบปีเลยก็ว่าได้
เฉพาะในงานเลี้ยงนี้การพบปะสังสรรค์ของขุนนางผู้ใหญ่ดูเป็นเป้าหมายรองเสียมากกว่า ตัวหลักในงานนี้นั้นคือเหล่าเด็ก ๆ มันจึงเป็นการเสียโอกาสครั้งใหญ่ที่โรเอลพลาดงานเลี้ยงนี้เมื่อปีที่แล้ว เพราะไม่เพียงแต่เขาจะพลาดโอกาสในการสร้างกลุ่มของตัวเองเท่านั้น แต่ยังลงเอยด้วยการเสียความได้เปรียบนี้กับตระกูลอื่นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ นั่นก็คือตระกูลเคานต์เอลริก
ในบรรดาตระกูลขุนนางชั้นสูงที่มีชื่อเสียงทั้ง 5 มีเพียงสองตระกูลเท่านั้นที่มีผู้สืบทอดอายุใกล้เคียงกับนอร่า ก็คือตระกูลมาร์ควิสแอสคาร์ด และตระกูลเคานต์เอลริก
แต่เนื่องจากโรเอลไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดครั้งก่อน เด็กที่มีตำแหน่งสูงสุดในงานเลี้ยงนอกเหนือจากนอร่าเองจึงเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเอลริก บรอน เอลริก
นอกจากนี้ เพราะนอร่านั้นยุ่งอยู่กับการทักทายแขกจากทุก ๆ ตระกูล บรอนจึงได้รับสิทธิ์ในการแสดงอิทธิพลครอบงำหมู่ขุนนางวัยเยาว์ ทำให้เขาสามารถสร้างกลุ่มของตนเองได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าตามหลักแล้วเด็กตัวเล็ก ๆ นั้นไม่น่าจะก่อเรื่องอะไรได้มากเท่าไหร่ แต่บรอนนั้นเต็มไปด้วยชื่อเสียงในทางที่ไม่ดี
กลุ่มลูกขุนนางตระกูลเอลริกคือชื่อที่คาร์เตอร์เรียกพวกเขา แม้ว่าบรอนและพวกเด็กเลว ๆ ของเขาอาจจะยังเด็กอยู่ แต่ความโหดร้ายของพวกเขานั้นไม่อาจมองข้ามได้ง่าย ๆ พวกเขาได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่พลเรือนทุกรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่มักจะถูกจัดการอย่างลับ ๆ พวกเขาจึงยังไม่ได้ก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่อะไรขึ้นมา
ในความเป็นจริงแล้ว โรเอลรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่ หลังจากที่ได้ยินเรื่องตระกูลเอลริก
ร้อยปีที่แล้วในตอนที่ตระกูลเอลริกยังคงเป็นตระกูลมาร์ควิสอยู่ อิทธิพลและดินแดนของพวกเขาได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้พวกเขากลายเป็นตระกูลผู้นำโดยพฤตินัยของห้าตระกูลขุนนางชั้นสูง แม้แต่ตระกูลดยุกลูซีนก็ยังเทียบกับอิทธิพลของพวกเขาไม่ได้ จุดสูงสุดในอิทธิพลอำนาจของตระกูลเอลริกเทียบเท่ากับราชวงศ์เลยก็ว่าได้
ทว่าสิ่งที่พลิกชะตากรรมของตระกูลเอลริก ก็คือการต่อสู้ระหว่างสองพี่น้องฝาแฝดตระกูลเซไซต์ผู้โด่งดังในเหตุการณ์ การเดินขบวนแห่งความวุ่นวาย อันมีชื่อเสียง
ตระกูลเอลริกเลือกที่จะยืนหยัดร่วมกับองค์ชายเวตในความขัดแย้งครั้งนั้น พวกเขาทำหน้าที่เป็นกองกำลังหลักในการต่อสู้ของฝ่ายองค์ชายเวต เมื่อเปรียบเทียบกับกองกำลังของฝั่งองค์หญิงวิกตอเรียผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากตระกูลแอสคาร์ดเพียงตระกูลเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าชัยชนะเป็นของพวกเขา
แต่ถึงกระนั้นทั้งหมดก็ล้มเหลว เนื่องจากการแทรกแซงของจอมเวทแห่งตระกูลแอสคาร์ด เขาได้ใช้เขาวงกตบั่นทอนกองกำลังทหารของตระกูลเอลริกเสียจนทำให้พวกเขาไม่มีกำลังพอที่จะไปยืนหยัดต่อสู้กับพระสังฆราชที่เดินทางกลับมาพร้อมกับกองทัพสนับสนุน
ความพ่ายแพ้ขององค์ชายเวตส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ตราตรึงลงไปอย่างชัดเจนในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ส่วนสำหรับตระกูลเอลริกนั้น มันคือหายนะครั้งใหญ่
เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้สนับสนุนหลักขององค์ชายเวต ผู้นำตระกูลเอลริกจึงฆ่าตัวตายด้วยความหวังว่าตระกูลเซไซต์จะละเว้นชีวิตคนในตระกูลของเขา แต่ผลลัพธ์ก็ยังแย่กว่าในอุดมคตินัก ตระกูลเอลริกถูกลดขั้นเป็นเพียงตระกูลเคานต์ และดินแดนอันกว้างขวางของพวกเขาก็ถูกยึดไปด้วยเช่นกัน ทำให้ตระกูลเอลริกเหลือเพียงพรมแดนอันแห้งแล้งให้ปกครอง
ดินแดนส่วนใหญ่ที่พวกเขาสูญเสียไปนั้นถูกมอบให้กับตระกูลแอสคาร์ด ทำให้สมดุลพลังของห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงพลิกกลับโดยสิ้นเชิง พวกเขาต้องใช้เวลาเกือบร้อยปีกว่าที่ตระกูลเอลริกจะกอบกู้ชื่อเสียง อิทธิพลของพวกเขากลับคืนมาได้
น่าเสียดายที่ตระกูลเอลริกไม่เคยคิดว่าพวกเขาทำผิดในการสนับสนุนองค์ชายเวต และไม่รู้สึกผิดกับการสังหารหมู่ที่พวกเขากระทำในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย พวกเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ชนะที่จะเหยียบย่ำผู้ที่พ่ายแพ้และก้าวขึ้นสู่อำนาจอันยิ่งใหญ่
แต่กลับโทษว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของตระกูลแอสคาร์ด หากไม่ใช่เพราะการแทรกแซงของตระกูลแอสการ์ด บางทีพวกเขาอาจจะกลายเป็นราชวงศ์ใหม่แทนตระกูลเซไซต์ด้วยซ้ำ
ตระกูลเอลริกให้ความเคารพต่อตระกูลเซไซต์เพียงฉากหน้าเท่านั้น ด้วยความขัดแย้งที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองตระกูล ทำให้พวกเขาคิดหาหนทางแก้แค้นอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะยึดคืนดินแดนที่พวกเขาเคยสูญเสียไป กอบกู้เกียรติยศและศักดิ์ศรีที่เคยถูกเหยียบย่ำกลับคืนมา ซึ่งแน่นอน โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาย่อมมองว่าตระกูลแอสคาร์ดเป็นสัตรูตัวฉกาจสำหรับพวกเขา
“เดี๋ยวก่อนนะ ท่านพ่อบอกว่ากลุ่มเด็กตระกูลเอลริกเองก็อยู่ที่นี่ด้วย เด็กพวกนี้มักจะไม่เกรงกลัวและทำอะไรตามใจโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา แบบนั้นแล้วพวกเขาน่าจะมาหาเรื่องเราแล้วนี่ แต่ทำไมเราถึงไม่เจอเจ้าพวกนั้นซะทีล่ะ?”
โรเอลกวาดสายตามองไปรอบห้องจัดเลี้ยง และก็พบว่าเด็กชายผมสีทองและกลุ่มเด็ก ๆ ที่อยู่กับเขานั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย คิ้วของโรเอลเริ่มขมวดเป็นปมบนหน้าผากในขณะที่ลางสังหรณ์ร้าย ๆ เริ่มทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอน
เดี๋ยวก่อน หรือว่า …
————————————-
บรอน เอลริก รู้สึกโกรธมาก
เพราะเด็กผู้ชายนอกเหนือจากคนในกลุ่มของเขาแล้ว ลูกหลานขุนนางเกือบทั้งหมดในงานเลี้ยงนี้ต่างพยายามกันอย่างเต็มที่ ที่จะเข้าหาผู้สืบทอดตระกูลขุนนางระดับสูงจากตระกูลดังทั้งห้า เช่น โรเอล แอสคาร์ด
บรอนนั้นไม่ใช่คนประเภทที่จะมองหาความผิดพลาดในตัวเอง เขาจึงไม่คิดว่าสาเหตุที่ทำให้คนอื่นไม่เข้าหาเขานั้นมาจากชื่อเสียงอันน่ากลัวของเขา เด็กชายผมทองเพียงแต่ตำหนิตระกูลแอสคาร์ดว่าแอบใช้อุบายอันน่ารังเกียจ
ไม่ว่ายังไงก็ตาม การมาถึงของโรเอลนั้นได้ทำลายการปกครองของบรอนที่ครอบงำเหล่าขุนนางวัยเยาว์ลง ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
ตอนนั้นเองที่บรอนได้พบเป้าหมายที่เข้าตาเขาในการส่งคำเตือนไปยังเหล่าขุนนางวัยเยาว์คนอื่น ๆ หากจะหันไปเข้ากับตระกูลแอสคาร์ด นั่นก็คือ อลิเซีย
“พวกน่าขยะแขยงมักจะอยู่รวมกันเป็นฝูงสินะ อลิเซีย แอสคาร์ดฟงั้นเหรอ? น่าขำจริง ๆ! ช่างเป็นชื่อที่น่ารังเกียจนัก!”
ภายในห้องว่างของคฤหาสน์ เด็กชายผมสีทองมองไปยังสาวน้อยผมเงินตรงหน้าเขาด้วยสายตาอาฆาตอันแสดงเจตนาร้ายอย่างชัดเจน
“จำฉันได้ไหม อลิเซีย? ฉันบรอนเพื่อนที่ดีของเธอไง ก่อนหน้านี้เธอพยายามจะปฏิเสธคำเชิญของฉันจริง ๆ งั้นหรือ? เธอนี่ทำร้ายความรู้สึกของฉันมากเลยนะ”
บรอนจ้องเข้าไปในดวงตาสีแดงเข้มของอลิเซียพร้อมจ่อมีดเข้าไปใกล้ดวงตาของเธอเป็นการข่มขู่
อลิเซียจ้องมองไปที่มีดเล่มนั้นอย่างหวาดกลัว ร่างกายของเธอสั่นเทาจนไม่สามารถควบคุมได้ เด็กสาวมองหาหนทางรอด น้ำตาที่เอ่อคลอทำให้สายตาเริ่มพร่ามัว อลิเซียกัดริมฝีปากแน่นพยายามเรียกสติกลับมารวบรวมเรี่ยวเเรงฮึดถามคนตรงหน้า
“ค… คุณ…คิดกำลังจะทำอะไรกันแน่”
“ฉันก็แค่อยากจะรำลึกถึงความหลังของพวกเราเท่านั้นเอง ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกปีนี้ฉันคิดว่าจะปล่อยเธอไปดี ๆ แล้วแท้ ๆ แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะไปเข้าร่วมตระกูลแอสคาร์ด เธอมีพ่อคนใหม่ให้หนีไปซบได้ไวเลยนี่ อา ใช่สิ แถมตอนนี้เธอได้พี่ชายขยะ ๆ เพิ่มมาด้วย…”
“อ… อย่ามาพูดว่าร้ายท่านพี่นะ !” เด็กน้อยทนไม่ได้ที่คนอื่นมาดูถูกพี่ชายอันเป็นที่รักของตน
“โอ้ อะไรกัน? ดูเหมือนเธอจะชอบเขามากเลยสินะ? ฉันพอใจมากเลยทีเดียวที่เธอสนิทกับพี่ชายของเธอ!”
บรอนหัวเราะเยาะอย่างเย็นชาขณะโน้มตัวเข้าไปข้างหูของอลิเซียแล้วกระซิบกับเธอ
“เขารู้รึเปล่าล่ะ ว่าเธอเป็นสัตว์ประหลาด”
“อ… อะไรนะ”
“เธอเคยแสดงให้เขาเห็นไหมล่ะ ว่าร่างกายของเธอมันดิ้นพล่านเหมือนมีหนอนอยู่ข้างในขณะที่มันรักษาตัวเอง? ดูจากการแสดงออกของเธอแล้วคงจะไม่สินะ แน่นอนว่าไม่มีทางที่ตระกูลแอสคาร์ดจะยอมรับเธอได้แน่ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอเป็นสัตว์ประหลาด”
“ไม่ มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ ท่านพี่โรเอล ไม่มีทาง…” เด็กสาวปฏิเสธพร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอ
“หึ ดื้อด้านจริง ๆ เลย!”
บรอนมองไปที่อลิเซียพร้อมยกขาขึ้นเตรียมจะทำร้ายเธอ แต่ทันใดนั้นร่างของเด็กคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
“อลิเซีย ไม่เป็นไรนะ อย่าร้องไห้ไปเลย ฉันอยู่นี่แล้ว”
ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของอลิเซีย จู่ ๆ เสียงของเด็กชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังบรอน
เสียงนั่นทำให้บรอนต้องหันกลับไป ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สบประสานเข้ากับดวงตาสีทองอันเยือกเย็นคู่หนึ่ง
โรเอล แอสคาร์ด