บทที่ 44: ศรแห่งความขัดแย้ง
นอร่า เซไซต์มองไปยังร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเด็กชายผมสีดำอย่างไม่พอใจ เธอพูดออกมาประโยคหนึ่งเบา ๆ ให้มีเพียงแค่เธอและโรเอลเท่านั้นที่ได้ยิน
“ถึงข้าจะอยากเห็นเจ้าในสภาพทุกข์ใจจนไร้หนทาง แต่การที่ต้องมาเห็นเจ้าตกอยู่ในสภาพนั้นด้วยฝีมือของคนอื่น มันทำให้ข้ารู้สึกไม่พอใจเลยจริง ๆ”
“ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่า ตกลงเธอมีรสนิยมแปลก ๆ แบบไหนกันแน่?”
“คงจะแค่เกลียดที่มีคนมายุ่งกับของเล่นของข้าล่ะมั้ง?”
“… ชิ เธอนี่มันเกินเยียวยาจริง ๆ”
“เกินเยียวยางั้นเหรอ? ก็คงใช่ แต่ตอนนี้…”
ริมฝีปากของนอร่าขยับขึ้นเล็กน้อยอย่างพึงพอใจเพราะบทสนทนาสั้น ๆ ที่เธอได้คุยกับโรเอล แต่ในวินาทีต่อมา เมื่อเธอหันไปมองรอบ ๆ สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงความไม่พอใจแสดงออกผ่านสายตาที่เยือกเย็นนั้น
“พวกเจ้าต้องการอะไรกัน?”
“…ฝ่าบาท กระผมขออภัยที่ต้องเสียมารยาท แต่นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเรากับเขา”
เด็กชายที่เป็นคนนำเด็กคนอื่น ๆ มา มองไปยังสภาพอันน่าสมเพชของบรอน ความกลัวผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ บอกให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์นี้ มิฉะนั้นเขาจะต้องตกเป็นเหยื่อโทสะของ บรอนในภายหลังแน่
มีคำพูดหนึ่งที่ใช้กันในหมู่ผู้ที่ทำงานอยู่ในระบบราชการว่า ‘คนของผู้ใต้บังคับบัญชาของฉัน ไม่ใช่คนของฉัน’
แม้นอร่าจะมีอิทธิพลสูงส่ง น่าเกรงขามในฐานะสมาชิกของราชวงศ์ แต่เด็ก ๆ ลูกขุนนางเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเธอโดยตรง
“พวกเราไม่ได้มีเจตนาที่จะดูหมิ่นท่าน พวกเราเพียงแค่อยากจะแก้แค้นให้กับเพื่อนของเรา”
“ใช่แล้ว พวกเรามีปัญหากับเจ้าเด็กผู้ชายที่อยู่ข้างหลังฝ่าบาทเพียงคนเดียวเท่านั้น!” เด็กพวกนั้นเริ่มแย่งกันพูดราวกับจะทำผลงาน
“โฮ่ เป็นอย่างนั้นเองหรอกเหรอ?”
นอร่ามองไปยังเหล่าเด็ก ๆ อันธพาลตรงหน้าเธออย่างเย็นชา ก่อนที่จะเหลือบมองไปยังเด็ก ๆ ที่สลบอยู่ทั้งสิบคนและบรอน จากนั้นเธอก็พยักหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจและยิ้มออกมา
“เข้าใจแล้วล่ะ ช่างเป็นมิตรภาพอันน่าซาบซึ้งเสียนี่กระไร บรอน เอลริกช่างมีเพื่อนพ้องรอบตัวมากมาย ดูเหมือนว่าเขาได้ผูกมิตรกับขุนนางวัยเยาว์จำนวนมากในจักรวรรดิเซนต์เมซิทของเราเลยสินะ”
รอยยิ้มของนอร่ากว้างขึ้น ทว่าสายตาของเธอกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร มันดูขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
พวกเด็กโง่กลุ่มนี้อาจจะคิดว่า ตนเองสามารถแอบรวบรวมอิทธิพลอย่างรอบคอบทีละเล็กทีละน้อยจนสร้างกลุ่มก้อนของตัวเองลับหลังเธอได้สำเร็จ โดยที่ไม่รู้เลยว่าในความเป็นจริงแล้วนอร่าได้รู้เรื่องของ ‘กลุ่มลูกขุนนางตระกูลเอลริก’ มานานแล้วจากหน่วยข่าวกรองลับของเธอ
ไม่มีใครในราชวงศ์ที่จะสามารถทนดู ผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองสร้างกลุ่มขึ้นมาจนแผ่อิทธิพลออกไปอย่างยิ่งใหญ่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลุ่มเป้าหมายคือคนในรุ่นราวคราวเดียวกับสมาชิกราชวงศ์คนนั้น
นอร่าหันกลับมาสบตาของโรเอล
“กลับกันแล้ว โรเอล แอสคาร์ดผู้นอนหมดสภาพอยู่ตรงนี้ ช่างดูน่าสังเวชเสียเหลือเกิน ดูเหมือนว่าในที่แห่งนี้ ข้าจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา”
“ต … แต่เธอไม่ใช่ พ… ของฉั…!”
ความพยายามที่จะปฏิเสธของโรเอลถูกยั้งไว้ด้วยมือของนอร่า เธอใช้มือจัดการปิดปากที่พูดไม่รู้เวลาร่ำเวลาของเขา หมอนี่ คนพยายามจะช่วยแท้ ๆ
“ถึงท่าทางพยายามทำเป็นเข้มแข็งของเจ้ามันจะน่ารักมากก็เถอะ แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าควรจะปฏิเสธความช่วยเหลือนี้เท่าไหร่นะ คิดด้วยสิว่าตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียวที่นี่”
“!!!” เด็กชายหยุดการขัดขืน
คำพูดของนอร่าทำให้โรเอลยอมหยุดการต่อต้านของเขาลง สายตาของเด็กชายเหลือบไปมองที่อลิเซีย ซึ่งกำลังนอนหมดสติอยู่ข้าง ๆ จากนั้นโรเอลก็เงียบลงไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นอร่าค่อย ๆ เอามือออกจากปากของโรเอล ก่อนจะหันไปมองที่อลิเซียผู้ได้รับการปกป้องจากโรเอลจนตัวเขาเองต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แม้ว่าเด็กสาวผมสีเงินจะได้รับบาดเจ็บเช่นกันแต่นอร่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเธอ
“เช่นเดียวกับพวกเจ้าที่อยากจะแก้แค้นให้กับเพื่อน ข้าเองก็มีหน้าที่ต้องปกป้องสหายของตัวเองเช่นกัน”
นอร่าปรับอารมณ์ของเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับไปยังฝูงชนที่กำลังตกตะลึงเบื้องหน้าเธอ
“ในฐานะ ผู้ปกครองคฤหาสน์แห่งนี้ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าทั้งหมดจงออกไปซะ” เด็กสาวออกคำสั่งอย่างเด็ดเดี่ยว
“…”
คำพูดของนอร่าทำให้เหล่าลูก ๆ ขุนนางที่กำลังโวยวายในห้องเงียบลง พวกเขามองหน้ากันและกัน แต่ความสัมพันธ์และความกลัวที่พวกเขามีต่อตระกูลเอลริกทำให้พวกเขาลังเล
ทว่าความลังเลของพวกเขามีแต่จะทำให้นอร่าโกรธมากขึ้นเท่านั้น
“เป็นอะไรไปล่ะ? พวกเจ้าคิดที่จะเพิกเฉยต่ออำนาจของตระกูลเซไซต์อย่างนั้นเหรอ? เข้าใจแล้ว…พวกเจ้าเลือกฝั่งแล้วสินะ” นอร่าชี้หน้าพวกเขาด้วยความโกรธ เธอไม่เคยเปิดเผยท่าทีแบบนี้มาก่อน
“อา? ไม่ใช่ ฝ่าบาท พวกเราแค่…”
เมื่อความอดทนของเธอมาถึงขีดจำกัด นอร่าก็เผยยิ้มร้ายพร้อมกับพลังเวทที่พลุ่งพล่านระเบิดออกมารอบตัว แสงเข้ามารวมตัวกันที่ด้านหลังของเด็กสาวกลายเป็นปีกอันเปล่งประกายคู่หนึ่ง มันส่องแสงปล่อยแรงกดดันอันทรงพลังราวกับพร้อมที่จะบดขยี้พื้นที่โดยรอบลงให้สิ้นซาก
โรเอลรู้สึกเหมือนเลือดในร่างของเขาจับตัวแข็งทื่อ เขาตัวสั่นสะท้านจากพลังกดดันมหาศาล บรรยากาศโดยรอบนั้นดูหนักอึ้งเสียจนเขารู้สึกเหมือนอากาศถูกบีบออกจากปอด
โชคดีที่ความรู้สึกอันน่ากลัวนี้คงอยู่เพียงชั่วครู่ เพราะจู่ ๆ พลังกดดันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
เป็นไปได้ว่านอร่าได้ละเว้นพลังของมันออกจากเขา ทำให้เมื่อความรู้สึกนั้นหายไป การหายใจของโรเอลก็กลับมาเป็นปกติ
โรเอลจ้องมองไปยังภาพสะท้อนของทูตสวรรค์ ผู้ครอบครองปีกแสงคู่หนึ่งเบื้องหน้าเขาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ระดับแก่นแท้ 5
ความสามารถในการควบคุมพลังเวทที่ล่มสลายไปแล้วให้กลายเป็นรูปแบบตามจินตนาการได้นั้นจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจในคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดเท่านั้น และข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับสิ่งนั้นคือต้องไปถึงระดับแก่นแท้ 5 นี่คือพลังพิเศษสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติโดยแท้จริง
ปัญหาก็คือนอร่าเพิ่งมีอายุได้เพียง 10 ขวบเท่านั้นเอง…
“ว้ากกก!!!” ทั้งหมดลนลานด้วยความกลัวอย่างสุดขีด
“พวกเจ้าตัดสินใจกันได้รึยังล่ะ?”
ภายใต้สายตาอันเย็นชาของนอร่า เหล่าลูก ๆ ขุนนางที่คิดจะต่อต้านต่างก็ล้มลงกับพื้น เหมือนพืชที่ถูกเกี่ยวด้วยเคียว สัญชาตญาณตามธรรมชาติของพวกเขาบังคับให้ต้องยอมจำนนต่อพลังที่สูงส่งกว่าตรงหน้า แม้แต่เหล่าเด็กชายผู้มีระดับแก่นแท้ 6 ก็ยังสั่นเป็นเจ้าเข้าเหมือนหนูตัวน้อยที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับราชสีห์
“หากพวกเจ้าคิดจะสู้ล่ะก็ ลงมือซะสิ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เผชิญหน้ากับคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าข้าน่ะยั้งมือไม่เป็น “
นอร่ายกมือขึ้นรวบรวมพลังเวทอันหนาแน่นเข้าด้วยกันจนชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ ทุกคนที่อยู่ในห้องยกเว้นโรเอล ต่างก็ไม่สามารถหยุดตัวเองจากการกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวได้
ทว่าเมื่อผ่านไปได้ครึ่งทาง นอร่าก็เหมือนจะสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่าง เธอหันไปมองที่ประตูก่อนจะถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหยุดไว้แค่นี้สินะ”
นอร่าสลายพลังเวทที่รวบรวมมาทิ้งไปพร้อมกับปีกแสง จากนั้นทุกอย่างก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง รอยยิ้มอันสง่างามและเงียบสงบชวนให้นึกถึงเด็กหญิงที่กำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้ กลับมาที่ใบหน้าของนอร่าดังเดิม
ครู่ต่อมาประตูก็เปิดออก พร้อมกับผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งที่รีบวิ่งเข้ามา
“โรเอล! อลิเซีย!”
มาร์ควิสคาร์เตอร์เป็นคนแรกที่เดินเข้ามาพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อลูก ๆ ของเขา สิ่งแรกที่เขาเห็นคือ บรอนที่หมดสภาพจมกองเลือด ทันใดนั้นคาร์เตอร์ก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงเริ่มมองหาลูกทั้งสองคนของเขารอบ ๆ ห้องอย่างกระวนกระวาย
หลังจากนั้นสถานการณ์ก็วุ่นวายไปหมด
เมื่อคาร์เตอร์พบว่าโรเอลนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส และอลิเซียเองก็ตกอยู่ในสภาพหมดสตินอนพิงอยู่กับกำแพง เขาก็พุ่งไปหาองค์ชายเคน เดินไปหานอร่าแล้วสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากเธอ
ขุนนางกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาหลังจากนั้นต่างก็ชะงักไปเมื่อได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองในห้อง ขุนนางผู้ชายหลายคนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ในขณะที่ขุนนางผู้หญิงต่างก็ร้องเสียงหลงด้วยตื่นตระหนก และแม้แต่เหล่าคนรับใช้ก็ยังลุกลี้ลุกลน
เหล่าลูก ๆ ขุนนางในที่เกิดเหตุล้วนตื่นกลัวจนสติหลุดเพราะนอร่า มันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะถามถึงข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา
จังหวะนั้นเองอลิเซียก็ได้สติตื่นขึ้นมา ภาพตรงหน้าทำให้เด็กสาวรู้ตัวว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว ขณะกำลังพยายามกลั้นน้ำตาอย่างเต็มที่ เธอก็ได้เล่าสถานการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มให้ทุกคนฟังอย่างรวดเร็ว
เรื่องราวของอลิเซียได้สร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ในหมู่ขุนนาง หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ต่างรีบเข้าไปกอดอลิเซียพร้อมกับตบบรอนและพรรคพวกของเขาราวกับกำลังระบายความโกรธของพวกเธอที่ต้องเจอความทุกข์ยากคล้าย ๆ กันในวัยเด็ก
กลุ่มต่อไปที่ก้าวออกมาข้างหน้าก็คือเหล่าทหารชั้นสูง ลาธทีผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของอลิเซียนั้นเป็นทหารผู้สละชีวิตในสนามรบ จึงทำให้พวกเขาเอ็นดูอลิเซียเหมือนกับลูกแท้ ๆ การได้ยินว่าอลิเซียผู้กำพร้าพ่อนั้นต้องถูกทรมานและบังคับให้ต้องเผชิญกับความอัปยศอดสูเช่นนี้ ทำให้เหล่าทหารชั้นสูงต่างรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ง่าย ๆ แน่
“พวกเราขอวิงวอนให้ท่านจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมครับ ท่านผู้บัญชาการ”
สมาชิกของกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์ต่างมองไปที่ผู้บัญชาการที่พวกเขาพูดถึง องค์ชายเคน ด้วยสายตาอันจริงจัง ซึ่งตัวเคนเองก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ ดวงตาของเขาลุกโชนไปด้วยจิตสังหารขณะจ้องมองไปยังบรอนผู้นอนหมดสติอยู่บนโต๊ะ
อย่างไรก็ตาม มีชายคนหนึ่งที่สามารถหยุดโทสะของเขาลงได้
เมื่อต้องเผชิญกับความอาฆาตแค้นและแรงกดดันของสาธารณชน ชายผู้ที่ทุกคนมองว่าเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้ เคานต์ไบรอัน เอลริก ก็ได้ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วหักคอของบรอน