บทที่ 48: คำทำนายที่ไม่เป็นจริง
ยามค่ำคืนอันมืดมิด ไบรอัน เอลริกนั้นกำลังเดินไปตามทางเดินของคฤหาสน์ตระกูลเอลริกในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ภายในอาคารนั้นเงียบงันเสียจนเสียงฝีเท้าของเขาดังก้องไปทั่ว พร้อมกับแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างลงมา ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูเยือกเย็นน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น
เมื่อเดินไปจนสุดทางเดิน ไบรอันก็หยิบกุญแจออกมาเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน เผยให้เห็นสิ่งที่เขามองหา ซึ่งก็คือกระจกเงาขนาดใหญ่
กระจกบานนี้มีความสูงเทียบเท่ามนุษย์คนหนึ่ง และได้รับการออกแบบในลักษณะที่ทำให้ดูเหมือนประตูที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินผ่านมันไปได้
ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักที่เขาตั้งใจจะใช้มันด้วย
ไบรอันยืนอยู่หน้ากระจก มองไปที่มันด้วยสีหน้าอันสงบสุขุมพร้อมยกมือขึ้นเคาะที่กระจก
“เปิดประตูสิ ลิบิด”
เกิดการกระเพื่อมเล็กน้อยบนพื้นผิวของกระจก ก่อนที่ดวงตาคู่หนึ่งจะปรากฏขึ้น มองไปที่ไบรอันแล้วสลายไป
หลังจากนั้นการสั่นไหวของพลังเวทอันทรงพลังก็พวยพุ่งออกมาจากกระจก ก่อนที่มันจะเปิดออกราวกับเป็นประตู เผยให้เห็นชายชราหลังค่อมผู้ถือกุญแจไว้ในมือของเขา
ชายชราหลังค่อมโค้งคำนับไบรอันอย่างเคารพ
“ยินดีต้อนรับกลับขอรับ ท่านรองหัวหน้าสมาคม”
“อืม”
ไบรอันพยักหน้ารับเงียบ ๆ เป็นการตอบรับคำทักทายแล้วเดินผ่านประตูกระจกไป ทิวทัศน์รอบตัวเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเป็นภายในปราสาทอันมืดมิด
ที่นี่คือกองบัญชาการสมาคมนักปราชญ์แห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท มันเป็นปราสาทลึกลับที่จมอยู่ภายในความมืดมิดตลอดกาล ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของพวกเสียสติกลุ่มหนึ่งที่หมกมุ่นอยู่กับ ‘งานศิลปะ’
“นักสะสม…ไม่สิ หัวหน้าสมาคม เขาอยู่ที่นี่ด้วยรึเปล่า?”
“ขอรับ ท่านหัวหน้าสมาคมอยู่ที่นี่แล้ว ทว่าท่านมาช้าไปหน่อย การประมูลเพิ่งเสร็จสิ้นไปไม่นาน”
ชายชราหลังค่อมเดินตามหลังไบรอันพลางอธิบายด้วยรอยยิ้มโดยหวังว่าคำพูดของตนเองจะถูกใจรองหัวหน้าสมาคมผู้ลึกลับคนนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังมากเท่าไหร่นัก
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเพราะดูเหมือนว่าไบรอันจะมีคำสั่งให้เขาจัดการกับบางอย่าง
“ผู้สืบสายเลือดของข้าอายุสิบขวบ เขาเสียเลือดไปเล็กน้อย เจ้าพอจะจัดการได้รึเปล่าหากข้าฝากเขาไว้กับเจ้า”
“เด็กผู้ชาย? อายุสิบปี?”
“ใช่”
“โปรดให้เวลากระผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักนิด เอ่อ…ถ้าศพยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ กระผมก็น่าจะจัดการเพิ่มสัก 20 ปีให้กับท่านได้ด้วยความสามารถพิเศษของกระผม!”
ชายชราหลังค่อมตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
ไบรอันมองไปยังชายชราหลังค่อมอย่างไม่สบอารมณ์สักครู่ ก่อนจะพยักหน้า
“ดีมาก ข้าจะฝากเขาไว้ให้เจ้าจัดการ เจ้าจะต้องพอใจกับค่าตอบแทนแน่”
“ฮิ ฮิ ฮิ กระผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
“พูดเสร็จแล้วรึยัง? ข้ามีนัดกับท่านหัวหน้าสมาคม”
“ขอรับ เรียบร้อยแล้วขอรับ ได้โปรดเดินต่อไปได้เลย!”
ชายชราไม่กล้าพูดเรื่อยเปื่อยกับไบรอัน เขาก้มหัวลงอย่างสงบเสงี่ยม ขณะที่ไบรอันเดินหายเข้าไปในความมืดข้างหน้า
—————————————-
ไบรอันอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ได้ออก ‘คำสั่ง’ ของเขาไปแล้ว
เหตุการณ์ในสองสามวันที่ผ่านมาค่อนข้างทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ แผนของเขาล้มเหลว ตระกูลเซไซต์และตระกูลแอสคาร์ดร่วมมือกันกดดันเขา เขตการปกครองอื่น ๆ เองก็เริ่มเคลื่อนไหวต่อต้านตระกูลเอลริก ทั้งในที่โล่งแจ้งและในเงามืด ส่งผลให้การเจรจาทางธุรกิจต่าง ๆ ล้มเหลวรวมถึงมีการคว่ำบาตร
สิ่งนี้ทำให้ขุนนางไร้ค่าจำนวนมากภายใต้อิทธิพลของไบรอันตกอยู่ในความสับสน พวกเขาเหล่านั้นต่างตะเกียกตะกายมาหาเขา พร้อมคร่ำครวญว่าบรอนส่งผลให้เกิดอิทธิพลที่ไม่ดีต่อลูก ๆ ของพวกเขาแค่ไหนเป็นต้น
ซึ่งไบรอันก็เข้าใจถึงเจตนาเบื้องหลังการกระทำสุดโต่งของขุนนางเหล่านั้นดี พวกเขาล้วนหมายปองจะแสวงหาความลับของการมีชีวิตที่ยืนยาว
ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นแค่การแลกเปลี่ยน เพื่อแลกกับความภักดีที่พวกเขามีต่อตระกูลเอลริก ลูก ๆ ของพวกเขาจึงได้ร่วมกันติดตามบรอน ขุนนางที่กำลังเจ็บป่วยเหล่านี้ต้องการหนทางที่จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตต่อไป และบางทีก็อาจจะถึงขั้นกลับมา ‘ฟื้นตัว’ ได้อย่างเต็มที่
ไบรอันจึงไม่ต้องใช้ความพยายามเท่าไหร่ในการสร้างอิทธิพลให้กับลูกของเขา ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผนการของเขาเอง
“ล้มเหลวงั้นเหรอ? ข้าไม่คาดคิดเลยว่าแผนของเจ้าจะล้มเหลว เจ้าปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ไม่ครบอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่เลย ผู้สืบทอดผู้โหดเหี้ยมและผู้ติดตามกลุ่มใหญ่ของเขา ข้าได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว ช่วงเวลาเองก็สมบูรณ์แบบเช่นกัน แต่คำทำนายก็ยังล้มเหลวด้วยสาเหตุที่ข้าไม่สามารถอธิบายได้ “
ณ ปลายด้านหนึ่งของโต๊ะยาว ไบรอันจิบชาพลางพูดอย่างสงบ เขาได้พยายามจัดการเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าคำทำนายในครั้งนี้จะเป็นจริง โดยใช้เวลาไปมากกว่าหนึ่งปีสำหรับมัน
สถานการณ์ทั้งหมดถูกจัดเตรียมมาอย่างดี ไบรอันได้ใช้ทุกวิถีทางระหว่างงานเลี้ยงเพื่อสั่งให้คนอื่น ๆ ออกไปจากที่เกิดเหตุ สร้างสภาพแวดล้อมที่จำเป็นสำหรับบรอน เพื่อให้บรรลุสิ่งที่เขาคาดหวัง
แต่ไบรอันไม่คาดคิดเลยว่าโรเอลผู้ที่ลือกันว่าไร้ความสามารถจะแตกต่างจากข่าวลือ ทั้ง ๆ ที่พรรคพวกของบรอนนั้นน่าจะสามารถรุมจัดการกับเขาหรือสังหารเขาได้สบาย ๆ เลยด้วยซ้ำไป ทว่าความแข็งแกร่งอันคาดไม่ถึงของเด็กคนนั้น กลับทำให้เขาสามารถยืนหยัดต่อสู้กับบรอนและผู้ติดตามได้ หลังจากการต่อสู้อันทรหด ผู้ที่เหลือรอดออกมาจากการต่อสู้กลับกลายเป็นโรเอลเสียอย่างนั้น
ความขุ่นมัวเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แสนเย็นชาของไบรอัน ขณะที่เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ทว่าที่ด้านตรงข้ามของโต๊ะยาว ร่างสีดำที่อยู่ในเงามืดกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ในเมื่อคำทำนายล้มเหลวจริง ๆ แบบนี้… เจ้าลาบิคงจะอาละวาดอีกครั้งเป็นแน่หากเขารู้ถึงเรื่องนี้ ถึงนี่จะเป็นปัญหานิดหน่อย แต่ยังดีที่พลังของเจ้าคาร์เตอร์นั้นไม่สามารถปลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว ทว่าลูกชายของเขาอาจก่อปัญหาในอนาคตได้หากเราล้มเหลวที่จะนำเขามาอยู่ฝั่งเรา หรือฆ่าเขา อาจสร้างปัญหาให้กับพวกเราในอนาคตได้”
“ไม่ใช่ว่าตระกูลแอสคาร์ด สูญเสียวิธีการปลุกพลังไปแล้วหรอกเหรอ?”
“ใช่แล้ว ถ้าอิงจากบันทึกในอดีต นับตั้งแต่ที่แคโรไลน์ แอสคาร์ดบ้าคลั่งเสียสติไปในช่วงเริ่มต้นของยุคที่สาม การสืบทอดพลังของตระกูลแอสคาร์ดก็ได้ถูกตัดขาดลง ทว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับตระกูลนั้น ทุก ๆ สองถึงสามศตวรรษ จะมีผู้มีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าสามัญสำนึกทั้งหมดปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางพวกเขา ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมามีผู้นำตระกูลถึงสองคนในหมู่พวกเขาที่สามารถปลุกพลังขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง”
ร่างในเงามืดเคาะนิ้วลงบนโต๊ะไม้ พลางนึกถึงตระกูลในตำนานที่ค่อย ๆ ถูกลากเข้าไปในความมืดของฟันเฟืองแห่งกาลเวลา
“สายเลือดของตระกูลนั้นถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดส่วนนับตั้งแต่ยุคที่สอง เชื้อสายเดียวที่ยังคงเหลืออยู่มีเพียงแค่ตระกูลแอสคาร์ดผู้เลือกที่จะหลบภัยไปยังจักรวรรดิเซนต์เมซิท ถึงกระนั้นตระกูลนี้ก็ยังสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้”
“แม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียการสืบทอดพลังมรดกไปแล้ว แต่ผู้นำตระกูลของพวกเขาก็ยังสามารถดึงพลังออกมาใช้ได้ ด้วยคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักทั้งสาม… เรื่องที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับตระกูลของพวกเขาก็คือ พวกเขานั้นสามารถท้าทายชะตากรรมและเหลือรอดต่อไปได้ตลอดในช่วงพันปีที่ผ่านมา แม้ว่าพวกเขาจะตกต่ำลงแค่ไหนแต่ข้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคิดถึงพวกเขา”
คำพูดของหัวหน้าสมาคมทำให้ไบรอันขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาเล็กน้อย เขาใช้เวลาคิดทบทวนคำพูดเหล่านั้นก่อนที่จะถามอย่างใจเย็น
“เราควรลงมืออีกครั้งรึเปล่า?”
“ไม่จำเป็น การใช้คำทำนายไม่ใช่สิ่งที่พวกเราถนัด นอกจากนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยงลากตระกูลเอลริกของเจ้าให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้ด้วย ข่าวลือที่ว่าตระกูลแอสคาร์ดอาจมีบุคคลที่สามารถปลุกพลังได้ด้วยตัวเองขึ้นมาอีกคนนั้นได้จุดประกายความกังวลของหลาย ๆ คนแล้ว พวกเรามั่นใจได้เลยว่าหนึ่งในคนพวกนั้นจะต้องออกมาเคลื่อนไหวยับยั้งอันตรายก่อนที่มันจะเกิดแน่”
“แต่เด็กคนนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้สืบทอดของตระกูลเซไซต์นะ ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะมีโอกาสลอบสังหารเด็กคนนั้นได้สำเร็จ…”
“ตระกูลเซไซต์เองก็เป็นตระกูลอันยุ่งยากอีกตระกูลที่พวกเราต้องจัดการ แต่มันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่แล้ว…ทำไมเจ้าไม่ลองดูภาพวาดที่ข้าเพิ่งเก็บรวบรวมมาได้หน่อยล่ะ”
ร่างในเงามืดเพียงแค่ดีดนิ้วของเขา จากนั้นภาพวาดภาพหนึ่งก็ค่อย ๆ คลี่ออกมากลางอากาศ แสดงให้เห็นภาพถนนอันเต็มไปด้วยความโกลาหล โดยมีเด็กผู้ชายผมสีดำและเด็กผู้หญิงผมสีทองกำลังพยุงกันเดินไปข้างหน้า
“ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่จะต้องประสบปัญหาในเร็ว ๆ นี้”