บทที่ 49: หัวใจอันลุกโชนที่มีความกลัวเป็นเชื้อเพลิง
อลิเซีย แอสคาร์ด ได้สัมผัสช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเธอ
ก่อนที่จะได้เข้ามาในตระกูลแอสคาร์ด เวลาที่อลิเซียจะได้ใช้ร่วมกับคนที่เธอรักนั้นแทบจะไม่มี ตลอดเวลาที่ผ่านมาเนื่องจากหน้าที่ ลาธที พ่อของเธอต้องรับผิดชอบในกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่ที่บ้าน ดังนั้นการใช้ชีวิตอันน่าเบื่อหน่ายเป็นเวลานานร่วมกับคนรับใช้ จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับอลิเซีย
ทว่าวันวานเหล่านั้นก็ได้พังทลายลงในวันที่พ่อของอลิเซียได้จากเธอไป
อลิเซียได้กลายมาเป็นลูกบุญธรรมของชายที่พ่อของเธอสละชีวิตเพื่อปกป้อง มาร์ควิสคาร์เตอร์
อันที่จริงแล้วอลิเซียไม่ได้มีความประทับใจอะไรในตัวมาร์ควิสคาร์เตอร์เลยในตอนแรก ไม่ว่าเธอจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางเลยที่เด็กสาวจะมองเขาในแง่ดีได้ เนื่องจากคาร์เตอร์คือผู้ชายที่พรากพ่อของอลิเซียไปจากเธอ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทั้ง ๆ ที่อลิเซียเคารพมาร์ควิสคาร์เตอร์ แต่เด็กสาวก็ยังทำตัวห่างเหินกับเขา เพราะมันคือขีดจำกัดในการควบคุมตัวเองของเธอนั่นเอง
แน่นอนว่าในตอนที่เจอกันเป็นครั้งแรก อลิเซียก็ปฏิบัติต่อโรเอลในแบบเดียวกันด้วยเช่นกัน
อลิเซียนั้นเคยได้ยินข่าวลืออันเลวร้ายเกี่ยวกับโรเอลมามาก ก่อนที่จะได้เจอเขาเป็นครั้งแรกเสียอีก มันเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่นด้วยความกังวลใจ เด็กสาวกลัวว่าเขาจะกลายเป็นฝันร้ายครั้งใหม่ของเธอเช่นเดียวกับเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ ที่อลิเซียเคยเจอมาก่อนหน้านี้
โชคดีที่ความกังวลของอลิเซียในครั้งนี้นั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
โรเอลปฏิบัติกับอลิเซียดีกว่าที่เธอจินตนาการไว้มาก แม้เด็กสาวจะไม่เคยมีพี่น้องมาก่อน แต่จากสิ่งที่เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับแวดวงของชนชั้นสูง แม้แต่พี่น้องที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ไม่มีทางที่จะปฏิบัติต่อกันดีถึงขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเธอนั้นเป็นเพียงแค่ลูกบุญธรรม
เขามีแรงจูงใจบางอย่างในใจรึเปล่า?
ความคิดดังกล่าวแวบเข้ามาในหัวของอลิเซียหลายต่อหลายครั้ง เธอได้แอบฟังการพูดคุยของเหล่าคนรับใช้มาบ้างเช่นกัน แต่บทสรุปที่อลิเซียได้มามีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือเขาสนใจรูปร่างหน้าตาของเธอ ซึ่งค่อนข้างถือว่าดูดีพอสมควร
ใช่ เหตุผลนี้รึเปล่านะ? เขาถูกใจรูปลักษณ์ของเรางั้นเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อยดี
นี่คือสิ่งที่อลิเซียผู้โหยหาความรักคิด เธอไม่เห็นปัญหาใด ๆ ในการมอบร่างกายให้กับคนที่ปฏิบัติต่อเธออย่างดีกว่าคนอื่น ๆ บนโลก เพราะนั่นคือค่าตอบแทนที่เขาสมควรได้รับโดยชอบธรรม
อลิเซียนั้นรู้เพียงน้อยนิดเกี่ยวกับเรื่องความรักระหว่างชายหญิง เด็กสาวจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าความคิดนี้บ่งบอกถึงอะไร แต่เธอก็ตระหนักดีถึงปัญหาด้านการมีลูกหลานผู้สืบทอดของตระกูลแอสคาร์ด อลิเซียจึงถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเธอต่อตระกูลที่จะต้องให้กำเนิดทายาท เพื่อให้โรเอลได้เลี้ยงดูพวกเขา
มันฟังดูไม่แย่เท่าไหร่นี่?
หากอลิเซียสามารถอยู่เคียงข้างเขาอย่างมีความสุขเช่นนี้ต่อไปได้ มันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่เธอพร้อมจะยอมรับ หลังจากได้ลิ้มรสยาพิษอันหอมหวานที่เรียกว่าความสุขและความรักใคร่เอ็นดูแล้ว อลิเซียก็ไม่สามารถทนนึกถึงการย้อนหวนกลับไปสู่วันเก่า ๆ อันเจ็บปวดและโดดเดี่ยวได้อีก
นั่นคือเหตุผลที่เธอตั้งใจจะอุทิศตัวเองให้กับโรเอลและใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน เธอเชื่อว่าวันเวลาเหล่านี้จะสามารถดำเนินต่อไปได้ตลอดกาล
แต่จู่ ๆ ฝันร้ายในอดีตก็หวนกลับมาอีกครั้ง เมื่ออลิเซียต้องเผชิญหน้ากับบรอน เขาพยายามลากเธอกลับลงไปสู่ขุมนรกจนเธอแทบจะเอาตัวไม่รอด แต่ในขณะที่อลิเซียกำลังจะจมลงไปในความสิ้นหวัง โรเอลก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ปลดปล่อยเธอออกจากโซ่ตรวน เขาช่วยดึงเธอออกมาจากความมืดมิดที่อีกเพียงไม่กี่อึดใจก็จะกลืนกินเธอลงไปจนหมดสิ้น
หลังจากเหตุการณ์นั้น ตลอดคืนระหว่างที่โรเอลยังไม่ได้สติ อลิเซียยืนกรานที่จะอยู่เคียงข้างเขา เธอได้ไตร่ตรองถึงหลายสิ่งหลายอย่าง เมื่อรู้สึกตัวอีกทีประกายไฟก็ได้ถูกจุดขึ้นในใจของเธอ มันแผดเผาอย่างรุนแรงจนไม่อาจต้านทานได้ ทำให้อลิเซียรู้สึกได้ว่าทั้งกายและใจของเธอเผาไหม้อย่างร้อนแรง
นี่คงเป็นความรักที่พวกผู้ใหญ่มักจะพูดถึงกันสินะ
ก่อนหน้านี้อลิเซียคิดว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อโรเอล เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม เป็นความสัมพันธ์แบบผู้ให้และผู้รับ แต่ตอนนี้สิ่งที่อลิเซียต้องการมีเพียงการให้ เด็กสาวรู้สึกว่าความรู้สึกเหล่านี้คือความรักที่เธอมีต่อโรเอล
ร่างกายและหัวใจของเธอ อลิเซียต้องการมอบมันทั้งหมดให้กับโรเอล คนที่เธอรักมากที่สุดในโลก เด็กสาวพบว่าตัวเองไม่สามารถระงับความรู้สึกเหล่านี้ได้อีกต่อไป นั่นคือเหตุผลที่เธอสารภาพรักออกมา
แม้มันจะเพื่อความโล่งใจของอลิเซียเอง แต่เธอก็ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวัง
มันเป็นช่วงเวลาที่อลิเซียรู้สึกมีความสุขที่สุดในชีวิต
สิ่งนี้น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กสาวพอใจ ทว่าระหว่างการสนทนากับโรเอล เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับบางอย่าง นั่นก็คือเรื่องอนาคตของตระกูลแอสคาร์ด
โรเอลตำหนิอลิเซียที่โทษตัวเธอเองเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลเอลริก อลิเซียรู้ดีว่าตอนนี้โรเอลได้เข้ามาแทนที่เธอแล้วในฐานะเป้าหมายใหม่ของตระกูลเอลริก
อลิเซียเคยได้ยินจากคาร์เตอร์มาก่อนว่า โรเอลไม่มีศักยภาพในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ต่อจากนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดในอนาคต
แผนที่วางไว้ของตระกูลแอสการ์ดจึงมีเพียงแค่ให้เขาได้ขยายครอบครัวสืบเชื้อสายของตระกูลแอสคาร์ดออกไปอย่างเงียบ ๆ ทว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วเนื่องจากตอนนี้ตระกูลเอลริกกำลังจับตาดูเขาอยู่
โรเอลได้เข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของกลุ่มอำนาจในจักรวรรดิเซนต์เมซิทโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ ด้วยเหตุนี้ในอนาคตเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายเป็นแน่
แม้ว่าโรเอลจะบอกอลิเซียว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่เธอจะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร
หากเป็นอลิเซียในอดีต เธออาจจะหลบไปร้องไห้คนเดียวตอนที่ไม่มีใครมองเห็น แต่อลิเซียในปัจจุบันนั้นแตกต่างออกไป เธอเองก็เปลี่ยนแปลงไปเพราะเหตุการณ์นั้นเช่นกัน
ตั้งแต่วินาทีที่อลิเซียคว้ามีดขึ้นมา ความขี้ขลาดและความอ่อนแอของเธอก็ถูกชะล้างออกไป ก่อนหน้านี้เด็กสาวเพียงแต่รอคอยให้โรเอลนำความสุขมามอบให้เธอ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทำให้อลิเซียรู้ว่าเธอต้องปรับตัวในเชิงรุกมากขึ้น เธอจะต้องลุกขึ้นสู้เพื่อควบคุมอนาคตให้มุ่งไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการและเพื่อปกป้องสิ่งที่เธอรัก
ถึงแม้ความสุขอาจจะเข้ามาหาเธอถึงหน้าประตูก็จริง แต่คนที่ต้องเอื้อมมือออกไปจับมันให้แน่นก็คือตัวเธอเอง
และมันก็ไม่ได้เกินความสามารถของอลิเซียที่จะทำเช่นนั้น
เรื่องที่โรเอลต้องเผชิญนั้นไม่ใช่อะไรที่แปลกประหลาดเลย ตระกูลที่ยิ่งใหญ่เหมือนแอสคาร์ด ในบางครั้งก็ต้องเผชิญกับเรื่องคนในตระกูลรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่ขาดพรสวรรค์และพลังเหนือธรรมชาติอันยอดเยี่ยม
มีหลายวิธีให้รับมือกับสถานการณ์นี้ อย่างแรกก็คือการแต่งงานกับคู่สมรสหลาย ๆ คนเพื่อให้กำเนิดผู้สืบทอด แต่ถ้าตระกูลดังกล่าวกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีอำนาจ การตัดสินใจที่ชาญฉลาดกว่านั้น ก็คือการแต่งงานกับคู่สมรสที่มีอำนาจสูงกว่า
มีหลายกรณีในประวัติศาสตร์ที่วีรสตรีผู้มีอำนาจออกมาปกป้องสามีที่อ่อนแอกว่าของตน โดยบางเรื่องก็ได้ถูกบอกเล่าในรูปแบบของนิทานพื้นบ้านจนมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
อลิเซียในฐานะคนที่มีพลังสายเลือด แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสายเลือดระดับทองแดงที่ไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่มันก็ทำให้เธอสามารถเติบโตได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ ในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ทำให้อลิเซียเหมาะสมกับบทบาทนี้
อลิเซียได้ตัดสินใจแล้วว่าเธอจะปกป้องโรเอล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
และเธอต้องการพลังที่แข็งแกร่ง เพื่อที่ตัวเองจะสามารถทำเช่นนั้นได้
…
ก๊อก ก๊อก!
อลิเซียยืนอยู่ตรงทางเดินอันเงียบสงบ ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานของคาร์เตอร์
“ใครกัน?”
“หนูเองค่ะ ท่านพ่อ”
“อลิเซียงั้นเหรอ? เข้ามาสิ”
มาร์ควิสคาร์เตอร์ที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเสียงของอลิเซีย แต่เขาก็อนุญาตให้เธอเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว
อลิเซียผลักประตูให้เปิดออกแล้วจึงมองไปยังท่านพ่อที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้อันเต็มไปด้วยเอกสารกองใหญ่ เธอกล่าวเข้าประเด็นในทันที
“ได้โปรดสอนคาถาเวทให้หนูด้วยค่ะ ท่านพ่อ”
“…”
คาร์เตอร์ตกใจกับคำร้องขออย่างกะทันหันของอลิเซีย เขาจ้องมองไปยังเด็กสาวผมสีเงินที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่สีหน้าของเขาจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป
“ลูกต้องการอะไร?”
“หนูอยากจะปกป้องท่านพี่ค่ะ เพื่อการนั้นแล้วหนูจะต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้”
“…”
หลังจากได้ยินคำตอบของอลิเซีย คาร์เตอร์ก็เงียบไป ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ในขณะที่เขาพยายามครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันโศกเศร้า
“อลิเซีย เส้นทางของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ใคร ๆ เขาคิดกันหรอกนะ มันเต็มไปด้วยอันตรายและความน่าสะพรึงกลัว เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเดินบนเส้นทางนี้เพื่อคนอื่น?”
คาร์เตอร์ได้ละทิ้งตัวตนของเขาในฐานะบิดาของโรเอลไปชั่วขณะ เขาถามคำถามนี้จากในมุมมองผู้ที่เคยเดินไปในเส้นทางเดียวกันกับที่อลิเซียตามหา
อลิเซียมองไปที่คาร์เตอร์อย่างจริงจัง ความอบอุ่นที่เธอรู้สึกได้จากการที่เขาคำนึงถึงการเตรียมใจของเธอทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กสาว เธอตอบกลับไปอย่างมุ่งมั่น
“ค่ะ ท่านพ่อ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำให้หนูกลัวมากไปกว่าการต้องสูญเสียท่านพี่โรเอล อันตรายและความกลัวในอนาคตไม่มีทางทำให้หนูยอมแพ้ได้หรอกค่ะ พวกมันมีแต่จะทำให้หนูแข็งแกร่งขึ้น”
“!!!”
คาร์เตอร์จ้องมองไปที่ใบหน้าอันยิ้มแย้มของอลิเซียด้วยความตกตะลึง เขาคิดว่าตัวเองแค่ตาฝาดไปด้วยซ้ำ
แม้ข้างหลังของเธอจะมีเพียงหุบเหว แต่เส้นทางข้างหน้าของเธอนั้นกลับเต็มไปด้วยแสงเจิดจ้า
โอ้ ท่านเทพีเซียผู้ยิ่งใหญ่ เด็กสาวคนนี้…
คาร์เตอร์ลุกขึ้นจากด้านหลังโต๊ะทำงานก่อนจะเดินไปหาอลิเซีย แล้วย่อตัวลงเพื่อมองสบตาเธอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นราวกับเป็นคำทำนาย
“ข้าให้สัญญาเลยว่าเจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่ อลิเซีย “