บทที่ 52: ฉันขอปฏิเสธการแต่งงานทางการเมืองอย่างแน่วแน่!
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตจะไม่เป็นไปตามแผน การเรียนรู้วิธีรับมือกับสิ่งเหล่านี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการก้าวข้ามความยากลำบากในชีวิต
ดังที่กล่าวมา บางทีเหตุการณ์บางอย่างก็บาดลึกลงไปในหัวใจของคนเรา เช่นการที่พ่อของคน ๆ หนึ่งแต่งงานใหม่ หรือการต้องแต่งงานกับน้องสาวบุญธรรมของตนเอง
แม้ว่าโรเอลจะมีอายุได้เพียงสิบขวบในปีนี้ แต่เขาก็เคยได้ผ่านความผันผวนของชีวิตมาแล้วมากมาย เขาเคยสัมผัสกับความงดงามของสังคมสมัยใหม่ ตลอดจนชีวิตที่ฟุ่มเฟือยของขุนนางในยุคศักดินา ถึงภายนอกรูปลักษณ์ของโรเอลจะดูเหมือนเด็กชายตัวน้อยน่ารักธรรมดา แต่ข้างในตัวเขานั้นมีจิตวิญญาณความคิดของชายรุ่นพ่อวัยสี่สิบกว่าปีอยู่
ดังนั้นเมื่อโรเอลได้ยินว่าอลิเซียกำลังจะไปศึกษา ‘บทเรียนสำหรับการเป็นเจ้าสาว’ เด็กชายจึงตกใจมาก เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าสักวันหนึ่งอลิเซียเองก็จะต้องแต่งงานออกไป
ตอนนี้โรเอลไม่ได้อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบันของโลกใบเดิมอีกต่อไปแล้ว ที่นี่คือโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย โรคภัย และสงคราม อาณาจักรส่วนใหญ่จึงไม่เคยมีประชากรไปถึงระดับที่เหมาะสมกับความต้องการ ทำให้อาณาจักรต่าง ๆ ล้วนมีการสนับสนุนให้มีบุตรกันมากขึ้น แม้แต่จักรวรรดิเซนต์เมซิท ซึ่งเป็นดั่งเข็มทิศแห่งศีลธรรมของสังคมมนุษย์เองก็ยังมีคำสอนมากมายที่สนับสนุนการมีลูกด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ผู้คนบนโลกนี้จึงมีแนวโน้มที่จะแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย คล้ายกับในช่วงยุคกลางในโลกเดิมของโรเอล มันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่ ที่เด็กผู้หญิงอายุ 14 หรือ 15 ปีจะกลายเป็นแม่คน โดยชนชั้นขุนนางจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย แต่สตรีสูงศักดิ์ในตระกูลขุนนางก็มักจะแต่งงานและให้กำเนิดบุตรในช่วงอายุ 17 หรือ 18 โดยหญิงสาวคนไหนที่อายุเกิน 20 ปีแล้วยังโสด จะถูกมองว่าเรื่องที่เลวร้ายน่าละอายเป็นที่สุด หรือหากกล่าวในแบบภาษาที่โลกเดิมของโรเอลก็คือ สาวขึ้นคาน
แน่นอนว่ามาตรฐานนี้ใช้ได้กับคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะมีค่านิยมอีกแบบหนึ่ง เนื่องจากผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นได้รับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบางอย่างจากการดูดซับพลังเวทเข้าไป ส่งผลให้อายุขัยของพวกเขาเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระดับหนึ่ง ขึ้นอยู่กับบริบท อย่างไรก็ตามขุนนางส่วนใหญ่มักจะกลายเป็นปู่ย่าตายายเมื่อพวกเขาอยู่ในวัยห้าสิบ
ในโลกนี้การให้กำเนิดถูกมองว่าเป็นพรมากกว่าเป็นภาระ การมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาในครอบครัวหมายถึงการได้รับมืออีกคู่ที่จะช่วยกันทำงาน นอกจากนี้ยิ่งให้กำเนิดเด็กมากเท่าไหร่โอกาสที่จะได้ผู้มีพรสวรรค์ระดับ SSR[1] ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลขุนนาง ยิ่งตระกูลขุนนางที่เก่าแก่มากเท่าไหร่ พวกเขาก็มักจะมีลูกหลานน้อยลงไปเท่านั้น หากมีผู้นำตระกูลคนใดที่เก่งกาจในการ ‘หว่านเมล็ดพันธ์ุ’ แม้แต่บรรพบุรุษก็คงจะยอมกระโดดออกมาจากหลุมศพของพวกเขาเพื่อถวายการสรรเสริญแด่เทพีผู้สร้างเซียบนสวรรค์
นี่ไม่ได้หมายความว่าคนของตระกูลขุนนางอันเก่าแก่นั้นเสื่อมสมรรถภาพทางเพศแต่อย่างใด ต้นตอของปัญหานั้นเกิดจากกฎที่คอยควบคุมให้ชนชั้นสูงแต่งงานเฉพาะในแวดวงขุนนางด้วยกันต่างหาก
พูดง่าย ๆ ก็คือ ชนชั้นขุนนางนั้นไม่มีอิสระที่จะเลือกรักใคร การแต่งงานจะถูกตัดสินโดยพ่อแม่ของพวกเขา ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรไปจากการใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการรวมอำนาจ
ขุนนางส่วนมากมักจะได้พบคู่หมั้นของตนเองเพียงครั้งเดียวในงานเลี้ยง หรือบางทีอาจจะเคยได้เต้นรำด้วยกันก่อนที่จะแต่งงานกันอย่างกะทันหัน สำหรับคู่รักแล้วการปฏิบัติเช่นนี้ เกือบจะเหมือนกับการจับสลาก หากพวกเขาถูกใจกันได้โดยบังเอิญก็ถือว่าโชคดีไป
นอกเหนือจากผู้โชคดีเหล่านั้น การแต่งงานในสังคมชั้นสูงส่วนใหญ่ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกผูกมัดติดพันกันด้วยเส้นด้ายที่เรียกว่าหน้าที่ แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์อันร้าวฉาน แต่คู่รักบางคู่ก็ยังต้องทนอยู่ด้วยกันโดยปฏิเสธไม่ได้
ดังนั้นแล้วอัตราการเกิดในยุคนี้สูงแค่ไหนกัน?
สิ่งที่โรเอลกังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ มาร์ควิสคาร์เตอร์อาจจะผูกมัดอลิเซียกับเด็กชายสักคนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
อลิเซียกำลังจะมีอายุครบแปดขวบในปีนี้ ตามหลักมันจึงถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วที่จะมีการตัดสินใจเลือกคู่หมั้นให้กับเธอ ซึ่งจุดมุ่งหมายของคาร์เตอร์ในการรับเลี้ยงอลิเซียก็คือการยกระดับฐานะของเธอ เพื่อที่เธอจะสามารถหาสามีดี ๆ ได้ ในเมื่ออลิเซียเริ่มที่จะศึกษา ‘บทเรียนสำหรับการเป็นเจ้าสาว’ แล้ว
มันเป็นไปได้ไหมว่ากำลังมีความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้?
โรเอลกังวลอย่างยิ่งว่าอลิเซียและสามีในอนาคตของเธอจะเข้ากันไม่ได้ แค่คิดถึงมันก็ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายเหมือนมดที่คลานอยู่บนฝาหม้อไฟ
ยกอลิเซียให้คนอื่นงั้นเหรอ? ไม่มีทางหรอกน่า! เรายังลูบหัวเธอไม่พอ…แค่ก! แบบนี้เราจะหาแต้มความสนใจได้จากที่ไหนอีกล่ะ? นอกจากนี้ใครกันที่จะมาหมั้นหมายกับเธอ?
โรเอลใช้กำปั้นทุบเตียงพลางกัดฟันด้วยความโกรธ
ไม่ ไม่ แน่นอน! นี่มันเหมือนกับการส่งลูกแกะเข้าปากเสือชัด ๆ ถ้าอลิเซียต้องหมั้นหมายกับนายน้อยผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นล่ะก็! นอกจากเราแล้ว…ไม่มีคนดีในหมู่คนพาลชั้นสูงเหล่านั้นหรอก!
โรเอลประณามเหล่าขุนนางอันต่ำช้าบนโลกนี้อย่างชอบธรรม โดยละเว้นตัวเองว่าเหินห่างจากพวกเขาเหล่านั้น เด็กชายยืนยันเจตจำนงที่จะปกป้องอลิเซียให้อยู่เคียงข้างเขา โดยสาบานว่าจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านการแต่งงานของอลิเซีย
“เดี๋ยวก่อนนะ? เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว! เราไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกันหรอกเหรอ? แบบนี้เราเองก็อาจจะต้องแต่งงานทางการเมืองด้วยใช่ไหม?”
ในฉับพลันก็มีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเด็กชาย ความคิดนี้ทำให้โรเอลชะงัก ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตัวเอง แต่ในครู่ต่อมาเด็กชายก็หัวเราะ
“ฮะฮะฮะ มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงเล่า? เราจะไม่รู้ตัวได้ยังไง ถ้าเราต้องถูกจับไปแต่งงานแบบคลุมถุงชน?”
ระหว่างที่โรเอลกำลังพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเขาจะเก็บอลิเซียไว้ในตระกูลแอสคาร์ดได้อย่างไร รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ของภาคีผู้พิทักษ์ปีกแห่งแสงก็หยุดลงอยู่ ณ ทางเข้าคฤหาสน์เขาวงกต
—————————————-
“ทำไมสีหน้าเจ้าถึงต้องแข็งทื่อในทุก ๆ ครั้งที่เจ้าเจอข้าด้วย? ข้าไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจรึไง?”
นอร่าที่ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องรับรองของคฤหาสน์ทักทายโรเอลด้วยรอยยิ้มอันสดใส ขณะที่กำลังพูดถึงรอยยิ้มปลอม ๆ อันแข็งกระด้างของเขา
โรเอลที่ยิ้มเพื่อรักษามารยาทพื้นฐานรีบปล่อยให้มันจางหายไปก่อนจะตอบกลับ
“มันก็แค่การเข้าใจผิดขอรับฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นถึงองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ผู้เป็นสิ่งมีชีวิตอันสูงส่ง มีหลายต่อหลายคนรอคอยเพื่อที่จะได้พบท่าน กระหม่อมถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับฝ่าบาทเข้าสู่คฤหาสน์ที่พำนักอันต่ำต้อยของพวกเรา”
โรเอลเอนตัวลงบนโซฟาพลางพูดบทสนทนาที่ฟังดูเหมือนลอกออกมาจากหนังสือเรียน มันเป็นรูปแบบประโยคจำลองบริบทการต้อนรับชนชั้นสูงด้วยท่าทีที่สุภาพ แต่ก็ยังห่างไกลกับที่อลิเซียเคยแสดงให้เขาเห็นในตอนที่พบกับนอร่าเป็นครั้งแรก
นอร่าครุ่นคิดคำตอบสักครู่ก่อนจะลองกลยุทธ์ใหม่ เธอพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเศร้าสร้อย
“ข้าคิดว่าพวกเราจะสนิทกันมากขึ้นหลังจากที่ข้าช่วยเจ้าไว้เสียอีก แต่ดูเหมือนว่าข้าจะคิดไปเองคนเดียวสินะ”
ดวงตาของนอร่าแสดงความเศร้าสลดพร้อมกับรอยยิ้มอันสง่างามที่จางหายไป ดวงตาของเด็กสาวสะท้อนให้เห็นถึงความหดหู่ใจ ทุกข์ใจจนสุดจะพรรณา ก่อให้เกิดความสงสารแก่ผู้ที่พบเห็น
มันเป็นท่าทีที่ไม่มีใครคาดคิดว่าองค์หญิงผู้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจะแสดงออกมา ราวกับว่าใครก็ตามที่พยายามทำร้ายเธอไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำนั้น ช่างเป็นคนบาปหนาสมควรถูกประณามให้ตกนรกขุมสุดท้าย
“…”
เออ เธอชนะแล้วพอใจรึยัง? เลิกทำท่าทางแบบนั้นซะทีได้ไหม?
โรเอลรู้สึกปวดหัวเล็กน้อยขณะที่มองไปยังนอร่า เมื่อมองย้อนกลับไปเธอก็ได้ช่วยชีวิตเขาไว้จริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะนอร่าเดินเข้ามาขัดขวางพันธมิตรของบรอนเป็นเวลาสองนาที เขาอาจต้องกระดูกร้าวอีกสองสามจุดหรือไม่ก็คงแย่กว่านั้น
บุญคุณย่อมต้องทดแทน ดูเหมือนว่าโรเอลจะยังใจแข็งไม่พอที่จะปฏิบัติต่อนอร่าอย่างเย็นชา หลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือจากเธอ
“ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้นะ นอร่า”
(แต้มความสนใจ +100!)
โรเอลรีดเค้นคำขอบคุณออกมาจากลำคอด้วยความยากลำบาก และนอร่าก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วหลังจากที่เธอได้ยินประโยคนั้น ความเศร้าสลดทุกอย่างหายเป็นปลิดทิ้ง เด็กสาวเดินไปที่เก้าอี้อย่างสง่างามแล้วนั่งลงขณะที่สายตายังจ้องมองที่โรเอล
“ถึงข้าจะเป็นคนที่ช่วยเจ้าจากเหตุการณ์นั้นก็จริงอยู่ แต่เมื่อพิจารณาจากผลลัพธ์โดยรวมแล้ว ข้ารู้สึกว่าข้าต่างหากที่ควรจะเป็นคนขอบคุณเจ้า”
“หืม?” เด็กชายรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของเธอ
“ในฐานะองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท ข้ามีหน้าที่ต้องควบคุมเหล่าขุนนางวัยเยาว์ให้อยู่ภายใต้ร่มธงของข้า ทว่าเป็นเพราะข้าไม่ค่อยได้อยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ และทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกฝนของกองทหารอัศวินมากจนเกินไป อิทธิพลที่ข้ามีจึงลดลงไปโดยที่ข้าไม่ทันได้รู้ตัว นั่นทำให้ตระกูลเอลริกมีโอกาสที่จะเข้ามาชักชวนพวกเขาแล้วก่อตั้งกลุ่มลูกขุนนางตระกูลเอลริกขึ้นมา โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นความประมาทของข้าเองที่ทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น”
นอร่ากล่าวสารภาพ ทัศนคติอันเปิดเผยและซื่อสัตย์ในการยอมรับความผิดของเด็กสาว ทำให้โรเอลรู้สึกเคารพเธอขึ้นมาเล็กน้อย
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ถ้าผู้บังคับบัญชาของฉันปฏิบัติต่อฉันด้วยความจริงใจ ฉันก็จะตอบแทนเขาด้วยความภักดี’ แม้ว่าโรเอลจะไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนอร่า แต่ทัศนคติอันจริงจังของเด็กสาวก็ได้กระตุ้นให้เขาเปลี่ยนแปลงแนวคิดที่มีต่อเธอ
บางทีเราคงไม่ต้องเว้นระยะห่างกับนอร่ามากขนาดนั้นก็ได้ล่ะมั้ง
[1] SSR เป็นตัวย่อมาจาก Super Super Rare หมายถึงอัตราความหายากสูงมาก