บทที่ 54: เราจำเป็นต้องเชื่อมโยงสายเลือดของเรา
“การยอมจำนนต่อข้ามันจะแย่สักแค่ไหนเชียว? ใครจะรู้ มันอาจจะทำให้เจ้ามีความสุขก็ได้นะ”
โรเอลส่ายหัวตอบนอร่าที่พยายามจะล่อลวงเขากลับไป
“ก็อาจจะใช่ แต่ความสุขบนโลกนี้นั้นมีหลายรูปแบบ ความสุขที่ฉันปรารถนาคือสิ่งที่ฉันหามาด้วยตัวเอง ความสุขที่เธอมอบให้มันอาจสะดวก แต่มันก็หายไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนแบบนั้น” นอร่าพูดกับโรเอลด้วยรอยยิ้ม ในตอนนี้เธอก็ยังไม่ยอมที่จะละสายตาไปจากเขา
“…บางทีชีวิตก็มีสถานการณ์ที่ ต้องถูกบังคับให้เลือก” ตัวเขาเองก็จ้องมองด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“อ่า ที่เจ้าพูดมันก็สมเหตุสมผล…ดูเหมือนว่าข้าจะล่อลวงเจ้าไม่สำเร็จอีกแล้วสินะ เจ้ารู้วิธีที่จะทำลายความมั่นใจของข้าได้เสมอจริง ๆ”
นอร่ายืดตัวขึ้นก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เผยให้เห็นการแสดงออกของเด็กหญิงผู้กำลังฉุนเฉียวเนื่องจากไม่ได้รับของเล่นชิ้นใหม่ แต่ไม่นานนักริมฝีปากได้รูปของเธอก็โค้งขึ้น
“ถึงเจ้าจะปฏิเสธข้า แต่เหตุผลที่เจ้าอธิบายมานั้นก็ค่อนข้างทำให้ข้าพึงพอใจมากเลยทีเดียว”
“ขอบคุณสำหรับคำชม จะว่าไป…เธอถ่อมาที่นี่เพื่อบอกเรื่องพวกนี้งั้นเหรอ?” มันจะต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ เด็กชายคิด
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า ข้ามาที่นี่เพื่อส่งของขวัญชดเชยให้กับเจ้า คิดซะว่ามันเป็นคำขอบคุณจากทางราชวงศ์ก็แล้วกัน”
“คำขอบคุณจากทางราชวงศ์?”
เธอให้ของขวัญฉัน เพราะฉันที่ต่อสู้ในวันเกิดของเธอเนี่ยนะ? เธอเป็นนางฟ้ารึไง? ไม่สิ เธอเป็นนี่นา …
โรเอลคิดระหว่างที่นอร่าหันกลับไปหยิบกล่องของขวัญออกมา
“จะให้ข้าเป็นคนเปิดมันไหม? หรือเจ้าอยากจะเปิดมันด้วยตัวเอง”
“เธอเปิดมันก็ได้”
โรเอลมองไปยังกล่องไม้ยาวในมือของเด็กสาว มันเป็นกล่องไม้สีดำยาวที่สร้างจากไม้ดำอันยืดหยุ่น โดยปกติแล้วไม่ค่อยมีใครใช้มันเป็นกล่องของขวัญเนื่องจากมันหนักเกินไป
ความแข็งของไม้ดำนั้นเทียบเคียงกับเหล็กได้เลยทีเดียว แต่มันมีความหนาแน่นเหนือกว่ามาก แม้ว่านอร่าจะสามารถถือมันได้อย่างง่ายดายด้วยมือข้างเดียว แต่ถ้าหากเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ คงจะต้องพยายามอย่างหนักในการแบกมันไปไหนมาไหน
มันคืออะไรกันแน่นะ?
นอร่ายิ้มออกมาเมื่อได้เห็นแววตาอันเต็มไปด้วยความคาดหวังของโรเอล เธอดึงริบบิ้นที่พันรอบกล่องไม้ออกเบา ๆ ก่อนจะเปิดมันออก แสงสว่างวาบพุ่งออกมาในทันทีทำให้เด็กชายแสบตาเล็กน้อย
โรเอลไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้จนต้องลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
ภายนอกของกล่องดูเรียบ ๆ แต่การตกแต่งภายในนั้นวิจิตรงดงามจนน่าประหลาดใจ มีภาพวาดตรงกลางกล่องเป็นรูปภาพของทูตสวรรค์ยืนหลับตาเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา โดยมีคนถืออาวุธรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ทูตสวรรค์ร่วมกันเผชิญหน้ากับความมืดมิด
ใช่แล้ว นี่น่าจะเป็นภาพวาดในตำนาน ซึ่งโรเอลจำไม่ได้แล้วว่าเรื่องราวเบื้องหลังของมันเป็นอย่างไร แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญ สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือโลหะภายในกล่องที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าไหมสีขาว
“นี่มัน…ดาบสั้นงั้นเหรอ? ไม่สิ หรือว่านี่คือ…”
“ใช่แล้ว มันคือ ดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก เอสเซนด์วิง”
“!!!”
นอร่าผู้ยิ้มแย้มเผยชื่อของดาบสั้นสีดำที่วางอยู่ในกล่องออกมาอย่างใจเย็น ทำให้โรเอลตกใจจนตัวแข็งทื่อ
ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ ดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่โรเอลจะนิ่งค้างไปด้วยความตกตะลึง
อาวุธชิ้นนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง หากให้เขาต้องเปรียบเทียบกับอาวุธในตำนานของโลกเดิมมันก็อาจเทียบได้กับ หอกแห่งลองกินุส เลยทีเดียว
ขณะที่ผู้บัญชาการสูงสุดโดยรวมของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างคือเทพีเซีย แต่เหล่าคนที่คอยตัดสินใจนั้นคือทูตสวรรค์ มีกลอนเกี่ยวกับดาบทั้ง 12 นี้ในบทกวีแห่งเอดด้า ซึ่งมีต้นกำเนิดเมื่อหลายพันปีก่อนในยุคอันสาบสูญ มนุษย์ในยุคนั้นยังขาดความสามารถในการบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นลายลักษณ์อักษร จึงต้องถ่ายทอดประวัติศาสตร์ผ่านทางเสียงสวดและบทกวี
บทกวีกล่าวไว้ว่า
มนุษย์ค้นพบทะเลสาบ และได้พบกับจันทราแห่งความตาย ในนั้นความมืดและการกัดกร่อนได้ไล่ตามพวกเขาจากด้านหลัง ด้วยความหวาดกลัว ความตื่นตระหนกกระจายไปทั่วหมู่ผู้ศรัทธา
เมื่อตกอยู่ในความบ้าคลั่งพวกเขาจึงฉีกพี่น้องของตนด้วยมือและฟัน สาวกศักดิ์สิทธิ์จึงได้วิงวอนขอความช่วยเหลือจากสวรรค์ ด้วยแสงสว่างและเปลวเพลิง คำวิงวอนจึงถูกตอบรับ ปีกแห่งสวรรค์ทั้งสิบสองปีกบินลงมาจากฟากฟ้า ตกลงมาที่เท้าของเหล่าสาวกผู้บริสุทธิ์ ปีกทั้งสิบสองปีกกลายเป็นสีดำเมื่อพวกมันตกลงบนพื้นโลก สาวกศักดิ์สิทธิ์ได้ยกมันขึ้นมาและคำราม ส่งกรงเล็บที่กระหายเลือดให้ถอยกลับไป
มันเป็นตำนานเทพนิยายอันมืดมน ฟังดูน่าขันและแปลกประหลาดสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่นี่คือสิ่งที่สืบทอดกันมาจากอดีต
แม้นักวิชาการและนักเทววิทยาไม่เคยตกลงกันได้เกี่ยวกับความหมายในบทกวีนี้ แต่คนส่วนใหญ่ต่างก็เชื่อกันว่าปีกแห่งสวรรค์ทั้งสิบสองหมายถึงอาวุธ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมามนุษย์หลายคนพยายามติดตามร่องรอยของมหากาพย์ ผ่านรายละเอียดอันคลุมเครือ โดยหวังว่าตนเองจะสามารถเปิดเผยความจริงของตำนานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเรื่องหนึ่งจากอาณาจักรออสทีนโบราณได้สำเร็จ
ในตำนานเล่าไว้ว่าหนึ่งพันปีก่อน จักรวรรดิออสทีนโบราณอันกว้างใหญ่ได้รับอาวุธสิบสองชิ้นที่มีลักษณะคล้ายขนนก จักรพรรดิจึงได้มอบพวกมันให้กับเหล่าขุนนาง ทว่าหายนะเสียงเพรียกแห่งวิญญาณ ก็ได้เกิดขึ้น ทำให้มนุษยชาติถูกบังคับให้อพยพไปทางทิศตะวันตก จักรวรรดิล่มสลายและอาวุธทั้งสิบสองชิ้นก็สูญหายไปจากพงศาวดารแห่งประวัติศาสตร์
ข่าวลือว่ากันว่าจักรวรรดิเซนต์เมซิท มีพวกมันห้าชิ้นอยู่ในความครอบครอง และพวกเขาได้มอบมันให้กับผู้นำตระกูลรุ่นแรกของห้าตระกูลขุนนางชั้นสูง ซึ่งมีส่วนร่วมอย่างมากในการก่อตั้งอาณาจักร
แต่หลังจากที่ผู้นำตระกูลทั้งห้าเสียชีวิตอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็ถูกเรียกคืนโดยตระกูลเซไซต์ และก็ไม่มีใครได้เห็นมันอีกนับตั้งแต่นั้นมา
ครั้งสุดท้ายที่พวกมันปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ก็คือเมื่อราว ๆ ร้อยปีที่แล้วในรุ่นของพอนเต้ แอสคาร์ด หลังจากที่การต่อสู้ระหว่างฝาแฝดราชวงศ์สิ้นสุดลง ตระกูลเซไซต์ก็ได้มอบหนึ่งในดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก ให้แก่พอนเต้แทนคำขอบคุณสำหรับการมีส่วนร่วมของเขา และมอบตำแหน่ง ‘สาวกศักดิ์สิทธิ์’ ให้กับพอนเต้ นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครพบเห็นดาบแห่งนักบุญ 12 ปีกอีกเลย
“เธอยกมันให้ฉันจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?”
โรเอลชี้ไปที่กล่องในมือของนอร่าพร้อมถาม มันควรจะเป็นของขวัญแห่งเกียรติยศที่จะมอบให้กับผู้ที่เคยก่อวีรกรรมกอบกู้จักรวรรดิเซนต์เมซิทให้รอดพ้นจากวิกฤตครั้งใหญ่ไม่ใช่หรือ?
แม้ว่าโรเอลจะเป็นตัวการที่ทำให้ราชวงศ์ค้นพบปัญหาใหญ่ที่อาจจะคุกคามจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้ในอนาคต แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ยังไม่สมควรจะได้รับสิ่งของที่มีค่าเช่นนี้
ตระกูลเซไซต์ร่ำรวยเกินไปจนอยากใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายงั้นเหรอ? หรือนี่คือสินบนกันแน่?
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของโรเอล นอร่าก็หัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับไป
“แน่นอนว่าพวกเราไม่สามารถมอบมันให้เจ้าได้ตรง ๆ หรอก เจ้าจะต้องได้รับการเสนอให้เป็นสาวกศักดิ์สิทธิ์เสียก่อนถึงจะได้ครอบครองมันจริง ๆ ตอนนี้คุณสมบัติและอายุของเจ้ายังไม่ตรงไปตามข้อกำหนด ดังนั้นที่พวกเราทำได้จึงมีเพียงให้เจ้ายืมไปใช้ชั่วคราวเพียงเท่านั้น ไม่สิ ถ้าจะให้เฉพาะเจาะจงมากกว่านั้นก็คือให้ตระกูลแอสคาร์ดยืม”
คำพูดของนอร่าช่วยให้โรเอลเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือตระกูลเซไซต์ กังวลว่าจู่ ๆ โรเอลอาจจะตายได้
เนื่องจากตระกูลเซไซต์กำลังร่วมมือกับตระกูลแอสคาร์ด ในการทำให้ตระกูลเอลริกอ่อนแอลง และด้วยการต่อสู้ภายในนั้นเกิดขึ้นในเงามืด มันจึงไม่น่าจะยกระดับไปสู่การปะทะโดยตรง
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้อยู่ภายใต้สมมติฐานว่าศัตรูนั้นจะปฏิบัติตาม ‘กฎกติกาทางมารยาท’
เคานต์ไบรอันเพิ่งสูญเสียลูกชายไป ดังนั้นไม่ว่าจะคิดมุมไหน เขาจะต้องหวนกลับมาการแก้แค้นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาได้ถึงปัจจัยที่ว่าตระกูลแอสคาร์ดมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียวคือโรเอล มันจึงไม่มีอะไรจะสาแก่ใจมากไปกว่าการแก้แค้นด้วยการลอบสังหารโรเอล ซึ่งเคานต์ไบรอันก็มีแรงจูงใจมากพอที่จะทำเช่นนั้น และหากเขาทำสำเร็จ ผลตอบแทนที่ได้กลับมาเองก็คุ้มค่ามากเสียด้วย
เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น ตระกูลเซไซต์จึงตัดสินใจให้โรเอลยืมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่เขาจะได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว ในที่สุดโรเอลก็พยักหน้ารับเงียบ ๆ ก่อนที่เขาจะชี้ไปยังดาบสั้นสีดำในกล่องแล้วถาม
“แล้วฉันจะใช้มันได้ยังไง?”
ริมฝีปากของนอร่าโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มพร้อมรวบผมของเธอขึ้นอย่างสง่างาม
“มันไม่ได้ยากเท่าไหร่นักหรอก เจ้าก็แค่ต้องเชื่อมโยงพลังสายเลือดของเจ้ากับข้า”