บทที่ 57: ต่อหน้าฝูงชน
ในช่วงค่ำคืนก่อนวันปีใหม่ โรเอล แอสคาร์ดนั้นกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้าที่กำลังแล่นตรงไปยังโบสถ์เซนต์ฟารอนอันตั้งตระหง่าน
รถม้าคันนี้ทั้งสะดวกสบายและกว้างขวาง ทว่ามันไม่ใช่สมบัติของตระกูลแอสคาร์ดแต่อย่างใด ตราประจำตำแหน่งภาคีผู้พิทักษ์ปีกแห่งแสงบนรถม้าแสดงให้เห็นว่ามันเป็นราชรถพระที่นั่งของราชวงศ์
ตระกูลเซไซต์นั้นเป็นที่รู้จักในฐานะทูตสวรรค์ของเทพีเซีย เนื่องจากสายเลือดแห่งทูตสวรรค์ของพวกเขา ตระกูลเซไซต์ทุกคนจึงยุ่งอยู่กับการเตรียมกิจกรรมอันสำคัญทั้งสองให้พร้อม ด้วยที่พวกเขาต้องเป็นทั้งเจ้าภาพในงานสวดมนต์ที่โบสถ์เซนต์ฟารอน และเจ้าภาพงานเลี้ยงปีใหม่ที่จัดขึ้นในพระราชวังช่วงกลางคืน
คาร์เตอร์ในฐานะมาร์ควิส และรองผู้บัญชาการจำเป็นต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนอลิเซียที่ไม่มีภาระผูกพันใด ๆ มาก่อน สามารถไปที่ใดก็ได้ที่เธอต้องการ
โรเอลจึงขอให้บิดาพาเธอไปด้วย เพื่อปกป้องดูแลเธอให้ปลอดภัย และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนอร่า
ซึ่งคาร์เตอร์ก็เห็นชอบกับคำแนะนำของโรเอลด้วยเช่นกัน
จึงเป็นผลให้โรเอลถูกทิ้งไว้คนเดียว
เมื่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ดวงตาสีทับทิมของอลิเซีย ผู้รอคอยที่จะได้ใช้เวลาอย่างมีความสุขร่วมกับโรเอลในเทศกาลปีใหม่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที
เธอจับมือของโรเอลแน่นเป็นเวลานาน ก่อนที่จะยอมปล่อยมือแล้วมุ่งหน้าไปกับคาร์เตอร์ในที่สุด โดยเด็กสาวไม่ลืมที่จะกล่าวเตือนโรเอลทิ้งท้ายเอาไว้
“ท่านพี่ หนูได้ยินมาว่าองค์หญิงนอร่าจะเข้าร่วมการแข่งขันประสานเสียงในวันนี้ หนูขอแนะนำให้ท่านพี่หลีกเลี่ยงการพูดคุยกับเธอ เพื่อที่เธอจะได้ประหยัดพลังงานสำหรับกิจกรรมในอนาคต”
“โอ้? อย่างนั้นเองหรอกเหรอ”
นี่เป็นครั้งแรกที่โรเอลได้ยินว่านอร่าจะเข้าร่วมการแข่งขันประสานเสียง มันคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงหายไปเลยในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
เป็นไปได้ว่านอร่ากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อคิด ๆ ดูแล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากไอดอลฝึกหัดที่กำลังเตรียมออกเดบิวต์ขึ้นเวที แต่ด้วยความงามของเธอแล้ว ความนิยมของนอร่าจะต้องพุ่งสูงขึ้นอีกอย่างแน่นอน
“แบบนั้นแสดงว่า ฉันควรจะพูดคุยแบบสบาย ๆ เป็นกันเองกับเธอสินะ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะท่านพี่! อา ที่หนูกำลังจะสื่อก็คือ… พวกเราจะไปเยี่ยมฝ่าบาทนอร่าด้วยกันในภายหลังเมื่อไหร่ก็ได้! ท่านพี่ค่อยเก็บคำพูดไว้คุยกับเธอตอนนั้นก็ได้ค่ะ” เด็กหญิงรีบพูดขึ้นทันทีพร้อมกับท่าทางตกประหม่า
“นั่นก็จริงแฮะ”
ท่าทีของอลิเซียเหมือนจะมองไปที่โรเอลด้วยรอยยิ้ม แต่จริง ๆ แล้วความสนใจของเธอนั้นอยู่ที่ดาบสั้นที่ห้อยอยู่ข้างเอวของเขา แม้ว่าการแสดงออกของเด็กสาวจะยังดูอบอุ่นและจริงใจ แต่มือของเธอนั้นกำหมัดแน่นแล้ว
แอนนาผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มแฟนคลับคู่รัก โรเอล X อลิเซีย ได้แจ้งให้อลิเซียทราบผ่านทางสาวใช้คนอื่น ๆ เกี่ยวกับนอร่าและโรเอลที่ได้แลกเปลี่ยนดาบสั้นกัน
ตอนแรกอลิเซียรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้มาก แต่เมื่อเธอได้ไปเผชิญหน้ากับโรเอลด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาของเธอ อลิเซียก็ได้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย มันเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด
ทว่าเหตุการณ์นี้ก็ทำให้อลิเซียตื่นตัว คอยระวังแผนการของคู่แข่งมากขึ้น
นอร่าคือคู่ต่อสู้ที่อลิเซียผู้เก็บตัวในอดีต ไม่กล้าคิดที่จะต่อต้าน เพราะใครก็ตามที่กล้าท้าทายนอร่ามักจะต้องพบเจอกับหายนะและความอับอายทุก ๆ อย่างที่สามารถจะจินตนาการได้ ไม่มีทางเลยที่ใครจะกล้าต่อกรกับเธอ
แต่ความรู้สึกที่แผดเผาอยู่ภายในหัวใจของอลิเซียในตอนนี้ เธอไม่คิดที่จะยอมแพ้นอร่าง่าย ๆ อีกต่อไป
ข้อได้เปรียบที่ดีที่สุดของเราก็คือ เราสามารถอยู่เคียงข้างพี่ใหญ่โรเอลได้เสมอ แม้ฝ่าบาทนอร่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว แต่เธอก็ไม่มีทางสามารถติดตามพี่ใหญ่ไปได้ตลอดเวลาแน่ ท่านพ่อเองก็ยอมรับในตัวเราแล้ว เหลือเพียงแค่ให้พี่ใหญ่ตอบสนองกลับมาเท่านั้น …
“เอาล่ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ อลิเซีย”
มืออันอบอุ่นของโรเอลลูบลงบนศีรษะของเด็กสาวผมสีเงินที่กำลังครุ่นคิดเบา ๆ ทำให้จิตใจของเธอกลับมาว่างเปล่าและสงบลง ใบหน้าของพี่ชายที่กำลังยิ้ม ทำให้สีแดงจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนแก้มอันขาวละมุนของเธอ
“พ…พี่ แล้วเจอกันค่ะ ท่านพี่”
เมื่อสมองของอลิเซียร้อนจัด ก็ทำให้เด็กสาวพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักไม่เป็นคำ ก่อนที่เธอจะยืนมองโรเอลผู้เดินไปขึ้นรถม้าจากไป
นับตั้งแต่ที่โรเอลขึ้นมานั่งบนรถคนเดียว จากนั้นเวลาหลายชั่วโมงก็ได้ล่วงเลยผ่านไป
เขาต้องยอมรับเลยว่าตระกูลเซไซต์นั้นมีน้ำใจมาก พวกเขาได้ส่งอัศวินมาทั้งกองร้อยเพื่อติดตามดูแลความปลอดภัยของโรเอล
ทว่ามันได้ส่งผลให้การเดินทางช้าลงกว่าที่โรเอลคาดไว้มาก นอกจากนี้ด้วยสภาพการจราจรบนถนนที่แออัด พวกเขาต้องใช้เวลาไปมากกว่าหนึ่งชั่วโมงกว่าที่จะไปถึงจุดกึ่งกลางของถนนได้ โดยจุดหมายก็คือ ณ ปลายสุดของถนนที่ตั้งของโบสถ์เซนต์ฟารอนอันงดงาม
“ที่นี่มีผู้คนเยอะมากเลยนะเนี่ย ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าพวกเขาทั้งหมดมาจากที่ไหนกัน”
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง โรเอลนึกออกได้ทันทีว่าความ ‘แออัด’ นั้นเป็นอย่างไร
เราควรจะอธิบายภาพตรงหน้านี้ว่าอะไรดี? ทะเลหัวคน? แม้แต่ฝูงปลาซาร์ดีนก็ยังไม่แออัดถึงขนาดนี้! นี่มันแทบจะเห็นคนซ้อนทับกันเลยนะเนี่ย!
โรเอลอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวิดีโอที่เขาเคยเห็นในชาติก่อนของเจ้าหน้าที่รถไฟใต้ดินที่กำลังช่วยบรรจุอัดคนเข้าไปในตู้ขบวนรถไฟในบางประเทศ
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินอิทธิพลของลัทธิเทพีผู้สร้างเซียต่ำเกินไป
และเช่นเดียวกันกับที่โรเอลมองเห็นฝูงชน ผู้คนด้านนอกเองก็มองเห็นเขาด้วยเช่นกัน
“ดูสิ!”
“เครื่องราชอิสริยาภรณ์นั่น! นั่นมันรถม้าของราชวงศ์!”
“ใครอยู่ข้างในนั้น? องค์หญิงนอร่างั้นเหรอ?”
เกิดความวุ่นวายขึ้นท่ามกลางฝูงชนเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นรถม้าของตระกูลเซไซต์ โรเอลจึงรีบดึงผ้าม่านลงเพื่อปกปิดตัวเอง จังหวะนั้นกองทหารก็ได้รีบเร่งเข้ามาเปิดเส้นทางให้คนขับรถม้าเคลื่อนรถไปต่อ ดูเหมือนว่าแม้แต่คนขับรถม้าและอัศวินเองก็ยังไม่คุ้นเคยกับการถูกจับตามองโดยคนจำนวนมากเช่นกัน
โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่รถม้านั้นไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าไปจอดในโบสถ์ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดลงที่ประตูด้านข้างของโบสถ์ โรเอลมองตรวจดูรูปลักษณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วนำสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์มาแขวนไว้บนหน้าอก เขาหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะออกไปปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชน
ทว่าเมื่อประตูรถม้าเปิดออก โรเอลก็ตัวแข็งทื่อในทันที
คนเยอะมากจริง ๆ! เพียงแวบเดียวเราก็รู้ได้เลยว่าที่นี่ต้องมีคนอยู่มากกว่าพันคนแน่ ๆ!
เมื่อต้องเผชิญต่อสายตานับพันที่จ้องมองมาที่เขา ทำให้โรเอลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดัน จังหวะนั้นเองด้วยความเฉลียวฉลาดของเด็กชาย เขาก็ได้ใช้คาถาควบคุมลมปราณเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง
ทางเข้าเขตหวงห้ามของโบสถ์เซนต์ฟารอน ถูกล้อมรอบไปด้วยกองทหารอัศวิน จากนั้นฝูงชนก็เห็นร่างของเด็กน้อยผมสีดำผู้มีตาสีทองเดินลงจากรถม้าที่แสดงถึงอำนาจและจุดยืนที่ไม่มีใครเทียบได้
รูปลักษณ์ที่นุ่มนวลสง่างามของเขาเป็นที่นิยม แม้จะอายุน้อย แต่เขาก็มีเสน่ห์ที่ไม่อาจพรรณนาได้ด้วยคำพูด ทำให้เขาได้รับความโปรดปรานจากฝูงชนอย่างง่ายดาย
เขาแต่งกายด้วยชุดสูททางการสีขาวหรูหรา มีดาบสั้นที่ไม่ทราบที่มาเหน็บอยู่ที่เอว เปล่งประกายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมา ทันทีที่รองเท้าสีดำของเขาเหยียบลงบนพรมแดง ฝูงชนก็เห็นถึงความสูงของเขาที่สูงเพียงระดับหน้าอกของอัศวินร่างสูง ทว่าท่าทางสุขุมอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ก็ทำให้เกิดความแตกต่างโดยสิ้นเชิงระหว่างเด็กชายกับอัศวินผู้พิทักษ์รอบตัวเขา
“เด็กน้อยคนนั้นเป็นใครกัน?”
“โอ้ว เขาน่ารักมาก! เขาเหมือนกับทูตสวรรค์ตัวน้อย ๆ เลย!”
“เขาเป็นลูกนอกสมรสของราชวงศ์รึเปล่านะ?”
“ท่านโรเอล เพื่อความปลอดภัยของท่าน โปรดเข้าไปในโบสถ์โดยเร็วด้วยขอรับ”
ฝูงชนจำนวนมากเริ่มทำให้อัศวินไม่มั่นใจในความปลอดภัยของโรเอล พวกเขาจึงรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สร้างเป็นวงล้อมขึ้นรอบตัวเขา
แม้หัวหน้ากองทหารอัศวินจะรู้สึกกดดันจากสถานการณ์ในตอนนี้ แต่เมื่อรู้ถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างนายน้อยแห่งตระกูลแอสคาร์ดกับทางราชวงศ์แล้ว เขาก็ไม่กล้าที่จะเร่งเร้าเด็กชาย เป็นผลให้เขาทำได้เพียงแค่ย่อตัวลงและกล่าวให้คำแนะนำอย่างเงียบ ๆ
โรเอลพยักหน้าเบา ๆ อย่างเห็นชอบและให้ความร่วมมือกับกองทหารอัศวินแต่โดยดี สิ่งนี้ทำให้หัวหน้ากองทหารอัศวินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“กองทหารอัศวิน ตั้งแถวอารักขา คอยคุ้มกันเฝ้าสังเกตสิ่งรอบข้างให้ดี หากใครเข้ามาใกล้เกินไปอย่าลังเลที่ผลักตัวพวกเขาออก!”
หัวหน้ากองทหารอัศวินออกคำสั่ง
อัศวินยี่สิบคนตั้งแถวจัดวางตำแหน่งตัวเองเป็นสองแถวอย่างรวดเร็ว พร้อมชี้ดาบออกไปด้านนอกสร้างเส้นทางให้โรเอลเดินผ่าน ระหว่างที่โรเอลกำลังเดินผ่านขบวนอย่างสง่างาม สายตานับไม่ถ้วนก็มองมาที่เขาด้วยความรัก ความอัศจรรย์ใจ และความชื่นชมยินดี
(แต้มความสนใจ +1, +3, +2, +5, +4, + 2 …)
“นี่เองสินะ คือความรู้สึกที่ได้เป็นศูนย์กลางของความสนใจ…”
โรเอลพึมพำกับตัวเองขณะเดินผ่านเข้าไปในประตูโบสถ์