บทที่ 58: บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา
โบสถ์เซนต์ฟารอน
โบสถ์หลังนี้เป็นอาคารเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานหลายศตวรรษ ทำให้ตามหลักแล้วมันก็ควรจะมีร่องรอยผุกร่อนทรุดโทรมบ้างตามกาลเวลา
ทว่ามันกลับทำให้โรเอลต้องประหลาดใจ เพราะโบสถ์หลังนี้นั้นยังดูสวยงามอลังการโอ่อ่าเหมือนใหม่
ข้างในโบสถ์มีแหล่งกำเนิดแสงสว่างอันสวยงามอยู่ภายใน ซึ่งมีความสว่างเปรียบได้กับหลอดไฟในโลกเดิมของโรเอล ทำให้ผู้ที่เดินผ่านทางเดินมาต้องประหลาดใจไปกับภาพจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรงดงามนับไม่ถ้วนซึ่งครอบคลุมทั้งผนังและเพดาน
ความเข้าใจของโรเอลเกี่ยวกับโบสถ์ลัทธิแห่งเทพีผู้สร้างนั้นยังค่อนข้างจำกัด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าใจความหมายเบื้องหลังภาพวาดในจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ได้เท่าไหร่นัก ทว่าในฐานะผู้สูงศักดิ์ เขานั้นได้สัมผัสกับงานศิลปะมามากมายนับตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งในความงดงามของผลงานเหล่านี้
ในมุมมองของโรเอล ภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้มีความวิจิตรงดงามอย่างน่าอัศจรรย์ ระดับที่ว่าหลาย ๆ ชิ้นนั้นน่าจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของจิตรกรผู้มีชื่อเสียงเลยก็ว่าได้
ผลงานชิ้นเอกมากมายที่ถูกจัดวางเคียงข้างกันเหล่านี้ ถือเป็นสวรรค์สำหรับคนรักศิลปะโดยแท้จริง
นี่เป็นข้อพิสูจน์ได้ถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานเบื้องหลังศาสนาเทพีผู้สร้างเซียเช่นเดียวกับอิทธิพลที่พวกเขาครอบครองอยู่ ราวกับเรียกร้องให้ผู้ที่ก้าวผ่านเข้ามาต้องแสดงความเคารพ
ภายใต้การนำทางของเจ้าหน้าที่ประจำโบสถ์ โรเอลได้ถูกนำตัวไปยังห้องประชุม … จากนั้นเขาก็ถูกทิ้งให้อยู่ที่นั่นเพียงลำพัง
นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ของโบสถ์จงใจละเลยเขาแต่อย่างใด เพียงแต่ในวันนี้พวกเขากำลังยุ่งกับการเตรียมตัวรับมือฝูงชนที่เดินทางมาเพื่อร่วมสวดมนต์ ทำให้ไม่สามารถปล่อยให้คนขาดไปได้เป็นเวลานาน
โรเอลจึงไม่เหลือทางเลือกนอกจากเดินสำรวจไปรอบ ๆ โบสถ์ด้วยตัวเองเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่เขาจะได้เข้าพบกับจอห์น เซไซต์ ผู้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชในที่สุด
จอห์น เซไซต์นั้นเป็นชายชราผมขาวที่ดูไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงมาตรฐานของเขาในฐานะขุนนางที่มีระเบียบเนี้ยบสุด ๆ ก็ตาม
แต่ในแง่ของรูปลักษณ์แล้ว จอห์นดูไม่ต่างจากพลเมืองที่เขาพบนอกโบสถ์ก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ทว่าหากมองดูใกล้ ๆ แล้วก็จะรู้ได้ว่า แม้เขาจะไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่เขาก็ยังแผ่บรรยากาศของความเมตตากรุณาออกมา
พระสังฆราชสวมชุดอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์สีขาวนั่งบนเก้าอี้หินที่วางอยู่บนพรมแดง ไฟส่องสว่างในห้องนี้มืดกว่าห้องอื่น ๆ เล็กน้อย ราวกับว่าแสงทั้งหมดกำลังส่องไปที่เขา มันเป็นความรู้สึกอันลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เหมือนกับว่าจอห์นนั้นเป็นตัวละครที่หลุดออกมาจากเทพนิยายมหากาพย์
แต่โรเอลนั้นรู้เกี่ยวกับสาเหตุเบื้องหลังความรู้สึกอันแปลกประหลาดนี้ดี
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความเมตตา
มันเป็นหนึ่งในสามคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเซไซต์มาตั้งแต่สมัยโบราณ มาร์ควิสคาร์เตอร์เคยบอกเขาว่าผู้ที่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความเมตตาระดับสูง จะมีบรรยากาศราวกับเป็นศาสดาของมวลมนุษย์ ทำให้ทั้งคำโกหกและบาปใด ๆ ก็ไม่อาจสามารถหลุดรอดสายตาของเขาไปได้
“กระหม่อมมีนามว่า โรเอล แอสคาร์ด มาจากตระกูลแอสคาร์ดขอรับ ขอแสดงความเคารพต่อองค์พระสังฆราช กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าพบฝ่าบาทในวันนี้”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายผู้ครอบครองพลังเหนือจินตนาการ โรเอลก็ไม่คิดบังอาจหาญกล้าที่จะแสดงท่าทางอันเสียมารยาทออกมา เด็กชายวางฝ่ามือไว้บนหน้าอกพร้อมรายงานภูมิหลังของตัวเอง แสดงให้เห็นว่าเขาถูกเลี้ยงดูสั่งสอนมาอย่างดีเพียงใด
ทว่าเมื่อจอห์นได้เห็นใบหน้าอันจริงจังของเด็กชายผมสีดำผู้น่ารัก เขาก็หัวเราะออกมา
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้ เข้ามานี่สิเจ้าหนู ข้าได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเจ้ามาจากนอร่าแล้ว”
จอห์นกล่าวด้วยเสียงทุ้มที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ นอกจากนี้เมื่อเขาเอ่ยชื่อของนอร่าออกมา โรเอลก็รู้สึกสบายใจขึ้น ราวกับว่าเขากำลังพบปะอยู่กับปู่ย่าของเพื่อนร่วมชั้น
เด็กชายเดินเข้าไปใกล้ ๆ อย่างระมัดระวัง ด้วยความประหลาดใจที่อีกฝ่ายนั้นมีบรรยากาศเหมือนกับคุณปู่ในละแวกบ้านจริง ๆ
“เจ้าสนใจทานผลไม้หน่อยไหม?”
“อา ไม่เป็นไรครับ ผมทานอาหารเย็นมาก่อนแล้ว”
“อืม ข้ามีผลไม้อยู่เต็มไปหมด ดังนั้นเจ้าจงอย่าลังเลที่จะหยิบมันขึ้นมาเมื่อหิว มันเป็นของใหม่ที่พวกเราเพิ่งเอาเข้ามาในวันนี้ ดังนั้นพวกมันทุกผลยังสดใหม่ดี “
การสนทนานี้ทำให้โรเอลพูดไม่ออก มันฟังดูราวกับว่าพระสังฆราชนั้นกำลังหลอกล่อเด็กอยู่!
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือแท้จริงแล้ว โรเอลนั้นยังคงเป็นเด็กในสายตาของจอห์น จอห์นมีอายุมากกว่าร้อยปีในขณะที่โรเอลนั้นมีอายุเพียง 10 ขวบ เทียบเท่ากับหลานสาวของเขา
อันที่จริงชายชรานั้นไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษกับโรเอล เขาเพียงแค่อยากจะสนิทสนมกับทายาทตระกูลแอสคาร์ดให้มากขึ้น และได้พบกับ ‘เพื่อนดี ๆ’ ที่หาได้ยากของหลานสาวคนนี้
“ดาบสั้นเล่มนั้นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? เจ้าได้ลองใช้มันแล้วหรือยัง?”
“ครับ ดาบสั้นเล่มนี้มีประโยชน์มาก ผมได้ยินมาจากองค์หญิงนอร่าว่า ความสามารถพิเศษของมันจะเป็นไปตามการปรับตัวจากเลือดที่มันดูดซึมของผม”
“ถูกต้องแล้ว เอสเซนด์วิง เป็นอาวุธที่ค่อนข้างพิเศษ แม้จะเป็นในบรรดาอาวุธศักดิ์สิทธิ์ มันก็มีความแข็งแกร่งเฉพาะตัวในการบ่มเพาะความสามารถ ข้าเชื่อว่าการบ่มเพาะพลังของมันน่าจะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า… รอเดี๋ยวก่อนนะ หืม?”
ขณะที่จอห์นกำลังพูดพลางลูบไล้ไปบนดาบสั้นที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับขนนก เขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน พร้อมลดสายตาลงเพื่อมองไปที่ใบมีดอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และกะพริบตา
เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันสดใสของผู้ที่เชื่อมต่อกับดาบสั้นเล่มนี้ นั่นก็คือพลังของโรเอลและนอร่า สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นในการสร้างความสามารถภายในดาบ ทว่ามันมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งก็คือพลังที่แท้จริงของมันนั้นได้หลั่งไหลออกมาอย่างท่วมท้นนั่นเอง
“ความเข้ากันในระดับสูงอย่างนั้นเหรอ? ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะ…”
จอห์น เซไซต์เริ่มพึมพำด้วยลมหายใจที่สั่นเทา ขณะกำลังตรวจสอบเอสเซนด์วิงครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อความแน่ใจ ทันใดนั้นเขาก็จ้องมองไปที่โรเอล
“เจ้าหนูเอ๋ย ดาบของเจ้านั้นสามารถบ่มเพาะความสามารถได้ถึงสองอย่าง”
“สองความสามารถงั้นเหรอครับ?”
“ถูกต้องแล้ว พลังของเจ้าเข้ากันได้ดีกับพลังของนอร่า…”
จอห์น เซไซต์เริ่มอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับดาบสั้นให้โรเอลฟังอย่างรวดเร็ว ตามที่เขากล่าวไว้ จุดประสงค์ของพิธีกรรมเลือดสำหรับเอสเซนด์วิง ก็เพื่อให้ราชวงศ์ได้ใช้พลังแห่งสายเลือดของพวกเขาเองเพื่อมอบความสามารถพิเศษให้กับผู้ที่ได้รับดาบไป หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการเสริมพลัง
แต่ในบางครั้งก็อาจจะมีผู้รับดาบที่มีสายเลือดเข้ากันได้ดีกับราชวงศ์ ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์อื่นที่ดีกว่านั่นก็คือการเสริมพลังสองครั้ง ด้วยสายเลือดอันทรงพลังสองสายส่งเสริมซึ่งกันและกัน ย่อมมีโอกาสสูงที่ดาบสั้นนั้นจะพัฒนาตัวเองอีกเป็นความสามารถที่สอง
เหตุการณ์เช่นนี้หาได้ยากมาก และมันเคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์เท่านั้น
“เพื่อนที่ดีผู้มากับสายเลือดอันทรงพลังที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เทพีเซียทรงประทานพรจริง ๆ พวกเจ้าสองคนถูกฟ้าลิขิตให้ได้ยืนเคียงข้างกัน”
(แต้มความสนใจ +200!)
เรื่องประหลาดใจโดยไม่คาดคิดนี้ทำให้จอห์นรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่านี่อาจเป็นพรของเทพีเซียผู้ยิ่งใหญ่ แม้แต่สายตาที่เขามองมายังโรเอลก็ยังดูเป็นมิตรมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
ทว่าคนที่ตกใจและเสียใจมากที่สุดก็ไม่ใช่ใครนอกเสียจากตัวโรเอลเอง
เข้ากันได้? เรากับเธอเนี่ยนะ? เป็นไปไม่ได้น่า! เขากำลังบอกเป็นนัย ๆ ว่าเราเป็นพวกมาโซคิสม์[1]งั้นเหรอ?
บ้าที่สุด! เราจะต้องไม่ให้เธอได้รู้ถึงเรื่องนี้โดยเด็ดขาด!
ในขณะที่โรเอลกำลังจมอยู่กับความทุกข์ จอห์นเองก็กำลังจมอยู่กับความสุขจากข่าวอันน่ายินดีนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยมากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกเล็กน้อย
“เจ้าหนู ข้าได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมของเจ้า เจ้าทำได้ดีมาก หากในจักรวรรดิมีขุนนางวัยเยาว์ที่โอบกอดความยุติธรรมไว้ในใจเช่นเจ้ามากกว่านี้ก็คงจะดี ทศวรรษแห่งสันติภาพได้ก่อให้เกิดวังวนแห่งความปรารถนาและความคดโกง ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องมัวหมองไปมาก”
จอห์นถอนหายใจพลางนึกถึงอดีตในช่วงเวลาที่เขายังเป็นเพียงชายหนุ่มเลือดร้อน
“ข้าใช้เวลาทั้งชีวิตในการต่อสู้กับความมืด ซึ่งนั่นเองก็อาจเป็นชะตากรรมที่รอคอยทั้งเจ้าและนอร่าอยู่ ยุคต่าง ๆ ล้วนมีความมืดที่แตกต่างกันออกไป ความมืดที่ข้าต้องเผชิญนั้นอยู่ในสนามรบ
แต่ดูเหมือนมันจะแตกต่างกันออกไปสำหรับพวกเจ้า ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าศัตรูของพวกเจ้านั้นอ่อนแอแต่อย่างใด กลับกันแล้วพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวเคียดแค้นซ่อนเร้นอยู่ภายในหมู่พวกเรา”
จอห์นลดสายตาลงมองสบเข้าไปในดวงตาสีทองอันสับสนของโรเอล และดูเหมือนว่าเขาจะเห็นบางอย่างที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ในนั้น ชายชราหยุดลงเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“เจ้าถือกำเนิดในตระกูลที่มีประวัติสืบทอดต่อกันมายาวนาน แต่กาลเวลาก็ได้ลบล้างเชื้อสายของเจ้าไปมากจนเกินไป… ข้าขอภาวนาให้สักวันเจ้าสามารถรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ในอดีตของตนเองขึ้นมาได้”
จอห์นถอนหายใจอีกครั้งหลังจากที่พูดจบ ซึ่งโรเอลเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความลึกลับที่แฝงอยู่ในคำพูดเหล่านั้น
เชื้อสาย? ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ในอดีต? นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน?
“ท่านองค์พระสังฆราช ได้เวลาแล้วขอรับ”
“เข้าใจแล้ว ข้ากำลังไป… วันนี้พวกเราจบการสนทนาไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกันนะเจ้าหนู ขออวยพรให้เทพีเซียจงสถิตอยู่กับเจ้า”
เมื่อได้ยินคำเตือนจากเจ้าหน้าที่โบสถ์ที่รออยู่ภายนอก จอห์นก็จบการสนทนาของพวกเขา โดยก่อนที่เขาจะจากไป จอห์นก็ได้เขาวางมือลงบนหัวของโรเอลพร้อมมอบพรแรกของปีให้กับเขา จากนั้นก็มุ่งหน้าออกไปสู่พิธีสวดมนต์ปีใหม่
ทิ้งให้ทางด้านโรเอลก้าวเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความสงสัยมากมายในใจ
[1] มาโซคิสม์ หมายถึงความสุขหรือความพึงพอใจเมื่อได้รับความเจ็บปวดกับตัวเอง โดยมักจะเกี่ยวข้องกับจินตนาการทางเพศหรือการถูกตบตี การถูกเหยียดหยาม การถูกผูกมัด หรือถูกทรมาน เพื่อเป็นการเพิ่มหรือทดแทนความสุขทางเพศ