บทที่ 62: จักษุแพทย์
รู้สึกอย่างไรที่ได้รู้ว่าบรรพบุรุษของตัวเองเป็นพวกโรคจิต?
โรเอลเชื่อว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้คือคำตอบของคำถามนี้ ทั้งตกตะลึง หงุดหงิด และอับอายสุด ๆ มันเกินจะบรรยายจริง ๆ
ตามปกติแล้วท่าทีที่โรเอลมักจะมีต่อนอร่านั้นคือ ‘พยายามอยู่ห่างจากเธอให้มากที่สุด’ ทว่าวันนี้เขากลับพยายามอย่างยิ่งที่จะใกล้ชิดเด็กสาว ตามติดชนิดที่ว่าไม่ยอมให้เธอหลุดรอดออกไปจากระยะสายตาแม้แต่นิด
ข้อความต่าง ๆ ในสมุดบันทึกของพอนเต้ แอสคาร์ดนั้นบันทึกรายละเอียดมากเกินไปเสียจนโรเอลรู้สึกขนลุกซู่ด้วยความขยะแขยงจากการอ่านบันทึกที่ว่าไปเพียงแค่ไม่กี่บรรทัด
เขาสามารถตราหน้าบรรพบุรุษของเขาได้จากเนื้อหาในบันทึกเลยว่า เขาคืออาจารย์โรคจิตที่จินตนาการถึงเรือนร่างของนักเรียนอย่างผิดกฎหมาย ผู้นำลัทธิชื่นชอบสาวอกแบน และบางทีอาจเป็นพวกชอบเสพกามรมณ์จากเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ คิดแล้วเด็กชายก็แทบจะกุมขมับ เขาอยากขุดหลุมฝังตัวเองจากความอัปยศนี้จริงๆ
“ชิ ถ้าไม่ใช่เพราะองค์ชายเวตก่อกบฏขึ้นล่ะก็ พอนเต้คงจะถูกวิกตอเรียสั่งประหารชีวิตเข้าสักวันแน่ ๆ…” เด็กชายพึมพำออกมาอย่างเหลืออด
นอร่าที่ได้ยินเขาพูดไม่ชัดเจนเอ่ยถามอีกครั้ง “หืม? เจ้าพูดอะไรรึ?”
“ไม่ ๆ ไม่มีอะไรหรอก ชาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” เขาแสร้งยิ้มออกมา
“ไม่เลวเลย ถ้วยชาพวกนี้เองก็ยอดเยี่ยมมาก จักรพรรดินีวิกตอเรียช่างเป็นผู้ที่มีรสนิยมดีจริง ๆ” องค์หญิงน้อยเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับจิบชาไปด้วย
เมื่อเห็นว่านอร่ามุ่งความสนใจไปที่เรื่องอื่น ๆ แล้วโรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นับว่าโชคดีที่คนในราชวงศ์ไม่ค่อยแวะเวียนเข้ามายังคฤหาสน์เขาวงกต ที่เขาต้องทำก็คือกันให้นอร่าอยู่ห่างจากห้องสมุดเป็นเวลาสองวัน และหลังจากที่ส่งเธอออกไปได้ในคืนพรุ่งนี้ ตอนนั้นทุกอย่างก็จะราบรื่น
หรือก็คือชื่อเสียงทั้งหมดของตระกูลแอสคาร์ด ขึ้นอยู่กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในสองวันนี้!
โรเอลคิดขณะที่หัวใจของเขาเต้นแรง เด็กชายเริ่มวางแผนต่าง ๆ เพื่อที่จะไม่ทำให้นอร่าเบื่อ
หลังจากที่นอร่าดื่มชาและชื่นชมชุดน้ำชาเสร็จเรียบร้อยจนพอใจแล้ว เธอก็หันไปสังเกตประตูห้องดื่มชา ทันใดนั้นเด็กสาวก็เห็นบางอย่างที่สะดุดตา
“รูเข็มที่ประตูนั่นคืออะไรงั้นหรือ?”
“หืม? นั่นไม่ใช่ตาแมวประตูเหรอ?”
“ก็นั่นแหละที่ข้าสงสัย ทำไมมันถึงได้มีตาแมวอยู่ที่ประตูนี่กัน? ปกติแล้วมันเป็นสิ่งที่ใช้เฉพาะสำหรับประตูทางเข้าไม่ใช่หรือ? ตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาที่นี่ ข้าเห็นว่าเกือบทุกห้องในคฤหาสน์แห่งนี้ ล้วนมีตาแมวอยู่ที่ประตู มันมีเหตุผลอะไรสำคัญเป็นพิเศษรึเปล่า?”
“ไม่หรอก ตอนนี้พวกมันไม่ได้มีความสำคัญเป็นพิเศษอะไรอีกแล้วล่ะ อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ ตาแมวบนประตูนั้นมีไว้สำหรับประตูทางเข้าเท่านั้น… ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะ”
โรเอลเผยรอยยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิ ก่อนจะชี้ไปที่ประตูห้องดื่มชาแล้วอธิบาย
“… ประตูทุกบานในคฤหาสน์เขาวงกตคือประตูทางเข้ายังไงล่ะ”
“เจ้าว่ายังไงนะ?”
ดวงตาสีไพลินของนอร่ากะพริบด้วยความสับสน เด็กสาวพยายามประมวลผลสิ่งที่เด็กชายพูดออกมาอย่างงุนงง ซึ่งโรเอลเองก็ไม่ได้ปล่อยให้เธอต้องสงสัยนานและเปิดเผยความหมายเบื้องหลังคำพูดของตนเองออกมา
สาเหตุที่พอนเต้ แอสคาร์ดเลือกคฤหาสน์เขาวงกตแห่งนี้เป็นสถานที่หลบภัยสำหรับตัวเขาและวิกตอเรีย เซไซต์ ไม่ใช่เพราะความคุ้นเคยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะรูปแบบภายในของคฤหาสน์แห่งนี้เข้ากันได้ดีกับมรดกตกทอดของตระกูลที่ทำให้มันกลายเป็นเขาวงกตด้วยเช่นกัน
“คฤหาสน์เขาวงกตในอดีตนั้น ประกอบไปด้วยองค์ประกอบสองชั้น ชั้นในคือตัวคฤหาสน์ และชั้นนอกคือถนนและเส้นทางอ้อมไปมาด้านนอก
พลังเวทของวัตถุมนตราที่เป็นมรดกของตระกูลจะปกคลุมองค์ประกอบทั้งสองชั้นด้วยหมอก แล้วแบ่งพื้นที่เส้นทางของทางเข้าคฤหาสน์ออกเป็นหลาย ๆ ส่วน เมื่อใดก็ตามที่มีบุคคลเดินทางผ่านขอบเขตของพื้นที่ส่วนหนึ่ง เขาก็จะถูกสุ่มเคลื่อนย้ายไปยังส่วนอื่น
หากไม่ได้เข้ามาในเขาวงกตด้วยเงื่อนไขเฉพาะบางอย่างในช่วงเวลาที่กำหนดแล้วล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะสามารถไปถึงจุดหมายได้ นั่นคือสาเหตุที่คฤหาสน์แห่งนี้ถูกเรียกว่าเขาวงกต”
“สำหรับองค์ประกอบชั้นในที่เป็นตัวคฤหาสน์เองก็จะทำงานในลักษณะเดียวกับองค์ประกอบชั้นนอก เพียงแค่ว่ามันได้กำหนดขอบเขตทางผ่านเป็นประตู ทำให้ประตูทุก ๆ บานในที่แห่งนี้ถือเป็น ‘ทางเข้า’
ฉันได้ยินมาว่าเมื่อก่อนในยุคนั้นพวกเราใช้ประตูโลหะขนาดใหญ่เทอะทะด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันพวกมันได้ถูกแทนที่ด้วยบานประตูธรรมดาเรียบร้อยแล้ว ทว่าพวกเราก็ยังคงเก็บตาแมวเอาไว้อยู่ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต”
คำอธิบายของโรเอลได้ขยายความเข้าใจของนอร่าที่มีต่อคฤหาสน์เขาวงกตมากพอสมควรเลยทีเดียว
“เป็นไปได้ไหมที่พวกเจ้าจะเปลี่ยนคฤหาสน์แห่งนี้ให้กลายเป็นเขาวงกตแบบในอดีตอีกครั้ง?”
“มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะสร้างเขาวงกตขนาดมหึมาแบบเดียวกับในยุคนั้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถ้าหากจำกัดเป็นเพียงแค่ภายในละก็ น่าจะพอทำได้อยู่”
โรเอลตอบพลางนึกคำพูดของมาร์ควิสคาร์เตอร์ ที่เคยบอกไว้ว่าชิ้นส่วนของมรดกตกทอดของตระกูลที่ใช้ในตอนนั้นยังคงตกค้างอยู่ในคฤหาสน์เขาวงกตแห่งนี้ ทำให้มันยังคงมีพลังลึกลับแฝงอยู่
นอร่าผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะน้ำชามองไปยังโรเอลที่กำลังครุ่นคิด พร้อมยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะอารมณ์ดีมากกว่าปกติ
(แต้มความสนใจ +200 !)
ด้วยเหตุผลบางอย่างที่เธอไม่รู้ ดูเหมือนว่าโรเอลในวันนี้จะปฏิบัติตัวต่อเธออย่างเป็นมิตรกว่าปกติ อย่างน้อย ๆ วันนี้เด็กชายก็ไม่ได้พยายามที่จะเว้นระยะห่างระหว่างพวกเขาเหมือนวันอื่น ๆ นี่ทำให้นอร่าอารมณ์ดีมาก
นอร่านั้นไม่ได้เป็นพวกมาโซคิสม์ มันจึงไม่มีทางเลยที่เธอจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อมีคนแสดงท่าทีรังเกียจเธอ อันที่จริง ด้วยสถานะสมาชิกราชวงศ์ของนอร่าแล้ว เด็กสาวไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจใครก็ตามที่ปฏิบัติต่อเธอในลักษณะดังกล่าวด้วยซ้ำ
พวกวิธีที่เพ้อฝันอย่าง ‘ทำให้ฝ่ายหญิงสนใจด้วยทัศนคติอันเย็นชา’ มันใช้ได้เฉพาะในนิยายเท่านั้นแหละ ใครก็ตามที่พยายามเลียนแบบวิธีนั้นในชีวิตจริง ยังไงก็ต้องล้มเหลวอย่างน่าอนาถแน่
ความสัมพันธ์ในปัจจุบันระหว่างนอร่าและโรเอลเป็นเหมือนเพื่อนที่รู้ความลับของกันและกัน ทำให้พวกเขาต่างก็แสดงตัวตนที่แท้จริงของตนเองออกมาต่อหน้าอีกฝ่าย แม้ว่าโรเอลจะพยายามเบนตัวออกห่างจากนอร่าแค่ไหน เขาก็ไม่เคยดูแคลนเธอมาก่อน
นอกจากนี้ โรเอลนั้นได้ล่วงรู้ความลับของนอร่ามาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะเอามันไปใช้ประโยชน์ หรือต่อรองอะไรเพื่อตัวเองเลย ในแง่ของอุปนิสัย เขาถือได้ว่าเป็นคนที่ซื่อตรงมาก
ถ้าเขาเต็มใจที่จะสนิทสนมกับข้าละก็ …
นอร่าถอนหายใจพลางยกชาขึ้นมาจิบ
จากสถานการณ์ที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าโรเอลนั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่พิชิตได้ยากเกินกว่าที่นอร่าคิดไว้ในตอนแรกมาก เธอไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเด็กผู้หญิงผมสีเงินคนนั้นสามารถเข้าใกล้เขาสำเร็จได้อย่างไร
นอร่าไม่ได้รู้เลยว่าระหว่างที่เธอกำลังคิดอิจฉาอีกฝ่ายอยู่นั้น อลิเซียผู้เพิ่งได้รับข่าวว่าโรเอลกับนอร่ากำลังใช้ช่วงเวลาปีใหม่ด้วยกันในคฤหาสน์ ก็เริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความขุ่นเคือง ทำให้มาร์ควิสคาร์เตอร์ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการปลอบใจให้เธอสงบลง
โรเอลใช้เวลาที่เหลือของวันไปอย่างรอบคอบระมัดระวัง เด็กชายระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่นอร่าจะจุดประกายไฟแห่งความสนใจครั้งใหม่ในการอ่านบันทึกของพอนเต้ จนความวิตกกังวลเหล่านี้ได้หลอมรวมกันกลายเป็นความไม่พอใจต่อบรรพบุรุษในที่สุด
บ้าที่สุด! เจ้าพวกบรรพบุรุษขี้เกียจพวกนั้นต้องไม่เคยเปิดสมุดบันทึกของพอนเต้ขึ้นมาอ่านกันแน่ ๆ ไม่งั้นพวกเขาจะยอมให้มีประวัติศาสตร์อันดำมืดเช่นนี้อยู่ในห้องสมุดได้ยังไง?
แถมยังเก็บรักษามันกันอย่างดี ราวกับว่ามันเป็นมรดกตกทอดอันล้ำค่าของตระกูลซะงั้น! ได้โปรดเถอะ มันก็แค่บันทึกของพวกตาแก่หื่นกระหายเด็กชัด ๆ!
แม้ว่าโรเอลจะหงุดหงิดสุด ๆ แต่เด็กชายก็ไม่ได้ปล่อยให้มันแสดงออกมา ส่งผลให้วันนี้กลายเป็นวันที่เขาสนิทชิดเชื้อกับนอร่ามากที่สุดตั้งแต่ที่ได้เจอกันมา ทำให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของนอร่าตลอดเวลาจนถึงมื้อเย็น
“อาหารในวันนี้เองก็ถูกปรุงออกมาอย่างพิถีพิถันเช่นกัน ข้ามั่นใจว่ามันจะต้องถูกใจเจ้าแน่” องค์หญิงน้อยเอ่ยกับเขาอย่างภูมิใจ
“ฉันไม่เคยคิดเคลือบแคลงใจในอาหารที่มาจากเชฟของตระกูลเซไซต์เลยสักครั้ง อาหารของพวกเธอไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังมาก่อน”
“รวมถึงลูกอมนั่นด้วยงั้นเหรอ?”
“…”
“ข้าดีใจนะที่เจ้าชอบอาหารของพวกเรา ข้าจะดีใจมากขึ้น ถ้าเจ้าช่วยตอบสนองมันด้วยการเชื่อฟังข้าให้มากกว่านี้ล่ะก็นะ”
“ขอโทษด้วยละกันที่ฉันไม่สามารถทำตามคำขอของเธอได้”
โรเอลปฏิเสธนอร่าอย่างไม่ลังเล ทำให้เด็กสาวผมทองได้แต่จิ้ปากด้วยความไม่พอใจ ทั้งสองจึงหันกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าต่อ
ช่วงเวลาอาหารค่ำเริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างสบาย
สถานที่ที่พวกเขารับประทานอาหารไม่ใช่โต๊ะอาหารใหญ่ตามปกติ แต่เป็นโต๊ะเล็ก ๆ ริมขอบหน้าต่างที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของสภาพแวดล้อมภายนอกได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีเทียนถูกจุดเอาไว้ตรงกลางโต๊ะเพื่อสร้างบรรยากาศอีกด้วย
หากพวกเขาทั้งคู่มีอายุมากกว่านี้เล็กน้อยล่ะก็ นี่คงนับได้ว่าเป็นการเดทไปแล้ว
จิตใจของโรเอลวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้สักพัก ก่อนที่จู่ ๆ แสงสีแดงจะพุ่งเข้ามาบดบังสายตาของเขา ต่อด้วยความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอันคุ้นเคย ส่งผลให้เด็กชายต้องรีบยกมือขึ้นมากดบนดวงตา หวังว่ามันจะบรรเทาความเจ็บปวดนั้นลงได้
ฉากตรงหน้านี้ทำให้นอร่าร้อนใจมาก
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ โรเอล?”
“ม… มันไม่มีอะไรมากหรอก แค่ช่วงนี้ฉันเจ็บตาเป็นครั้งคราว ฉันไปตรวจกับแพทย์ประจำตระกูลแอสคาร์ดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรเลย”
ไม่นานนักความเจ็บปวดที่ตาของโรเอลก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขากุมขมับด้วยความหงุดหงิดพลางสงสัยว่ามีจักษุแพทย์ในโลกนี้หรือไม่
เมื่อโรเอลยืนยันด้วยตัวเองเช่นนั้น นอร่าก็โล่งใจ
ทว่าสิ่งที่เด็ก ๆ ทั้งสองคนไม่รู้ก็คือ ขณะที่ดวงตาของโรเอลกำลังปวดแปลบเป็นพัก ๆ ชิ้นส่วนของพลอยหลากสีก็เปล่งประกายขึ้นมา ราวกับว่ามันได้ถูกปลุกจากการหลับใหล ครู่ต่อมามันก็กลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง