บทที่ 64: ค่ำคืนของปีศาจ
ณ ปราสาทอันมืดมิดที่มีเพียงแสงสลัว ในห้องลับด้านหลังทางเข้าที่ถูกซ่อนเอาไว้ มีชายผมสีทองผู้ท่าทางเคร่งขรึมกำลังนั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะยาวด้านหนึ่ง เขาจ้องมองไปยังภาพวาดที่ลอยอยู่ตรงหน้าพร้อมกับรอยย่นที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างคิ้ว
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ภาพเขียนสีน้ำมันแห่งการทำนายได้เปลี่ยนไปอย่างมากจากตอนที่ไบรอันได้เห็นมันครั้งแรก
ก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงผลงานที่ค่อนข้างด้อย ราวกับเกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบของศิลปิน แต่บัดนี้มันได้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกดั่งผลงานที่ถูกวาดขึ้นโดยจิตรกรผู้มากความสามารถ เป็นงานศิลป์ที่ทำให้ประหลาดใจได้เลยทีเดียว
เด็กชายและเด็กหญิงในภาพวาด ซึ่งเมื่อก่อนแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นใคร บัดนี้ได้รับการบรรจงวาดเขียนถ่ายทอดออกมาจนสดใสสมจริง อาคารโดยรอบเองก็มีความชัดเจนมากขึ้น
ความชัดของภาพถือเป็นสัญญาณที่ดี มันหมายความว่าวันที่คำพยากรณ์จะเป็นจริงนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อความขุ่นมัวของตัวแปรรอบ ๆ ในภาพเหตุการณ์ลดน้อยลง ในไม่ช้าเด็กชายจากตระกูลแอสคาร์ด และเด็กหญิงจากตระกูลเซไซต์ก็จะต้องประสบกับภัยอันตราย
ทว่าไบรอันไม่ได้คิดเช่นนั้นเกี่ยวกับคำทำนาย เพราะเขาได้เรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวในครั้งก่อนมาแล้ว
“ภาพนี้ไม่ได้แสดงถึงความตายของพวกเขา นี่หมายความว่าบทสรุปนั้นยังไม่แน่นอน”
ไบรอันพึมพำอย่างเย็นชา รอยย่นระหว่างคิ้วของเขายิ่งเด่นชัดขึ้น
เขาไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับคำทำนายเท่าไหร่นัก นี่ทำให้ร่างลึกลับที่นั่งอยู่ตรงปลายอีกด้านของโต๊ะหรือ นักสะสม หัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
“ที่เจ้าพูดมันก็ถูก ทว่าหากภาพวาดนั้นเสร็จสิ้นมาถึงระดับนี้ พวกเขาไม่มีทางหนีรอดจากชะตากรรมที่รอพวกเขาอยู่ได้แน่”
“เป็นฝีมือของใครกัน?”
“วิหารแห่งมิธริล และอาจจะมีกองกำลังอื่นที่ให้ความร่วมมือกับพวกเขาอีก เพราะพวกเขาเสนอขอความร่วมมือจากพวกเรา แต่ข้าปฏิเสธ”
“ปฏิเสธทำไม?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ไบรอันพูดด้วยความสงสัย เขาจ้องไปยังเงาที่ซ่อนอยู่ในความมืดเบื้องหน้า หวังที่จะได้รับรู้เจตนาที่แท้จริงของชายผู้นี้ ซึ่งเมื่อนักสะสมเห็นท่าทีของไบรอันเขาก็อธิบาย
“พวกเขาเลือกจังหวะที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ การหาเรื่องตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลเซไซต์พร้อม ๆ กันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลย ตระกูลทั้งสองล้วนเป็นตระกูลขุนนางที่มีประวัติอันยาวนาน การจัดการกับพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ความเสี่ยงในการจัดการทั้งสองคนพร้อม ๆ กันนั้นมากเกินไป”
“ถึงกระนั้น เพื่อแสดงจุดยืน ข้าจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญอันมีค่าของทางเราไปช่วยเหลือพวกเขา อย่างน้อย ๆ เขาก็อาจจะช่วยแก้ไขความไม่สมบูรณ์ในแผนการและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้บ้าง”
“แล้วภาพวาดนี้ล่ะ?”
“ข้าได้แสดงมันให้พวกเขาเห็นแล้ว บางคนก็ไม่คิดว่ามันเป็นลางบอกเหตุของความล้มเหลว บางคนก็ไม่เชื่อในคำทำนายของพวกเรา และบางคนก็คิดว่านี่เป็นโอกาส ข้าคิดว่าไม่แน่ ภาพผู้คนบนถนนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงอยู่ในภาพวาดนั้น คงจะเต็มไปด้วยภาพคนของพวกเขาก็ได้”
น้ำเสียงของนักสะสมเริ่มเบาลง มันเปี่ยมไปด้วยความสุขที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน ซึ่งไบรอันก็ยังคงนั่งฟังข่าวเกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิด และความขัดแย้งระหว่างลัทธิชั่วร้ายต่าง ๆ อย่างเฉยเมย
สายตาของเขาสนใจเพียงแค่ภาพวาดที่วางอยู่ตรงหน้าเท่านั้น มีบางอย่างเกี่ยวกับมันที่ดึงดูดความสนใจของไบรอัน
แน่นอนว่าท่าทีดังกล่าวของไบรอันนั้นได้ดึงดูดความสนใจของนักสะสมเช่นกัน เสียงหัวเราะของเขาหยุดลงเปลี่ยนเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าเอาแต่จ้องมองไปที่ภาพวาดนี้มาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว ทำไมล่ะ? ข้าไม่ค่อยเห็นเจ้าสนใจอะไรบางอย่างขนาดนี้มาก่อน เป็นเพราะเด็กคนนั้นงั้นเหรอ?”
“… ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก ถึงแม้เขาจะทำให้ข้าทึ่ง แต่สถานที่นั้นต่างหากที่ข้าสนใจ มันทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด”
ไบรอันจ้องมองไปยังถนนที่ปรากฏขึ้นในภาพ รอยย่นระหว่างคิ้วของเขายังไม่มีที่ท่าว่าจะคลี่คลายลง
มันน่าจะเป็นถนนสายเก่าที่ถูกสร้างขึ้นมานานแล้วในอดีต และเมื่อพิจารณาจากสิ่งปลูกสร้างรอบ ๆ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้อยู่ในเขตของชนชั้นสูง มันคงง่ายกว่านี้ถ้ามันตั้งอยู่ในเมืองอื่น เนื่องจากในเมืองหลวงศักดิ์สิทธ์มีถนนที่คล้าย ๆ กันกับถนนเส้นนี้อยู่มากมาย
ด้วยที่จักรวรรดิเซนต์เมซิทสงบสุขมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ที่นี่จึงมีอาคารโบราณที่มีประวัติศาสตร์หลายร้อยปีหลงเหลืออยู่จำนวนมาก ความเก่าแก่ดังกล่าวจึงไม่ได้มีลักษณะเฉพาะพิเศษอะไร เป็นเพียงสิ่งปกติธรรมดา ๆ ที่หาได้ทั่วไป
ด้วยความคิดดังกล่าว ไบรอันจึงขจัดความสงสัยของเขาทิ้งไป มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนที่เคยไปยังเขตเมืองเก่าในเมืองหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้นเคยกับทิวทัศน์ในภาพวาด เขาจึงส่ายหัว หันความสนใจกลับมาที่โต๊ะยาว ไบรอันจ้องไปที่ถ้วยน้ำชาข้างหน้าพลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“แล้วโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างล่ะ? ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงเขาได้หากใครคิดจะก่อเรื่องในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน”
ไบรอันไม่ได้เปิดเผยชื่อของบุคคลนั้น แต่นักสะสมก็เข้าใจดีว่าเขาหมายถึงใคร
พระสังฆราช ผู้พิทักษ์แห่งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน
ลัทธิชั่วร้ายได้ออกสร้างความหายนะไปทุกที่ในทวีปเซีย แต่มีเพียงสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้นที่พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงหากเป็นไปได้ นั่นก็คือจักรวรรดิเซนต์เมซิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน
หากพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็จะพยายามทำตัวเงียบ ๆ หลบซ่อนให้แนบเนียนที่สุด
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพระสังฆราชสามารถมองเห็นได้ก็ตาม
ไม่มีใครสามารถหลบสายตาของเขาคนนั้นได้ นั่นคือเหตุผลที่ทุกคนทำได้เพียงก้มหัวลง ทำตัวเงียบ ๆ จนถึงจุดที่พวกเขาไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
“ข้าไม่รู้ว่าพวกวิหารแห่งมิธริลกำลังคิดอะไรอยู่ แต่พวกเขาน่าจะทำข้อตกลงอะไรบางอย่างกับชายคนนั้นเข้าไว้แล้ว นับตั้งแต่การก่อตั้งลัทธิและระหว่างที่พวกเขากำลังทำตัวเงียบ ๆ อยู่นอกความสนใจ พวกเขาก็คงได้พัฒนาเครือข่ายข่าวกรองไปไกลแล้ว ข้าเชื่อว่าพวกเขาน่าจะมีข้อเสนอที่ดีมากมายให้กับพวกเรา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าเลือกจะให้ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่พวกเขา”
นักสะสมเปิดเผยความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
แม้องค์กรของเขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหักหลังจากวิหารแห่งมิธริล และเก็บไว้เป็นตัวแปรสำหรับการเจรจาในอนาคต พวกเขาจึงเลือกที่จะเดินเกมตั้งรับและรักษาผลประโยชน์ของตนไว้
ไบรอันพยักหน้าแล้วตอบ
“วิหารแห่งมิธริลอยู่ห่างจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทมานานเกินไปแล้ว จักรวรรดิเซนต์เมซิทไม่ได้เหมือนกับโรซ่านะ มันไม่ง่ายที่จะสั่งสมกองกำลังที่นี่ในสถานที่อันเต็มไปด้วยแสงแห่งเซีย และดูเหมือนว่ามิตรสหายของพวกเราจะไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้เท่าที่ควร”
ในที่สุดไบรอันก็เข้าใจว่าทำไมนักสะสมถึงได้มีน้ำเสียงเย้ยหยันดูถูกดูแคลนต่อความล้มเหลวที่กำลังจะเกิดขึ้น
จักรวรรดิเซนต์เมซิทเป็นอาณาจักรที่ถูกควบคุมโดยโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง จำนวนลัทธิชั่วร้ายที่สามารถลอยนวลมาดำเนินการอยู่ภายในจักรวรรดิเซนต์เมซิทจึงต่ำที่สุดในบรรดาอาณาจักรทั้งหมด
ที่นี่แทบไม่มีข่าวเกี่ยวกับพวกเขาเหล่านั้นเลย ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่แปลกอะไรที่ลัทธินอกรีตมักจะคิดว่าพวกนับถือลัทธินอกรีตในจักรวรรดิเซนต์เมซิทนั้นทั้งอ่อนแอและไร้ความสามารถ
แต่นั้นก็ไม่ได้ผิดพลาดไปจากความเป็นจริงเท่าไหร่
ภายใต้แรงกดดันของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ลัทธิที่มีขนาดเล็กกว่าจะต้องพบกับจุดจบอย่างรวดเร็ว นี่หมายความว่าลัทธิเหล่านั้นไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากจะต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องตนเอง บางคนก็เลือกที่จะออกจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทไปสร้างชื่อลัทธิของพวกเขาที่อื่น แต่ในทางกลับกันก็ยังมีบางลัทธิที่เป็นดั่งสัตว์ร้ายที่เลือกจะแฝงตัวอยู่ใต้เงาแห่งแสงอยู่เช่นกัน
สมาคมนักปราชญ์เองก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่เลือกอย่างหลัง
“ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไปก่อนเถอะ อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่เป็นขั้นบันไดของพวกเรา”
นักสะสมวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะช้า ๆ
ค่ำคืนนี้จะต้องเป็นค่ำคืนอันยาวนานอย่างแน่นอน
…
การจำแนกผู้แข็งแกร่งในทวีปเซียนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
แน่นอนว่าปัจจัยหลักที่มีบทบาทสำคัญสำหรับการชี้วัดความแข็งแกร่งในแต่ล่ะบุคคลก็คือระดับแก่นแท้ เปรียบเสมือนเครื่องกำเนิดพลังงานที่ใช้กำหนดว่าผู้ใช้จะสามารถใช้พลังได้มากเพียงใด
หากมีพลังมากเพียงพอ ผู้ใช้พลังเหนือธรรมชาติก็สามารถทำได้แทบจะทุกอย่าง ยิ่งระดับแก่นแท้สูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถใช้พลังเวทได้มากขึ้นเท่านั้น การสะสมพลังเวทจำนวนมากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพของคาถาเวท การร่ายคาถาด้วยปริมาณพลังเวทที่แตกต่างกันอาจนำมาซึ่งความแตกต่างกันอย่างมากในผลลัพธ์ ที่ไม่ได้จำกัดแค่ขนาดและพลัง
ปัจจัยต่อไปก็คือคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด มันเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดความสามารถของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเลยก็ว่าได้
ทว่านั่นก็แค่สำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่ ในความเป็นจริงแล้วยังมีกลุ่มผู้ที่ได้รับพรสวรรค์เหนือกว่านั้นอยู่นั่นก็คือ พลังสายเลือด
ผู้ครอบครองสายเลือดแต่ละคนจะได้รับพลังพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์มา บางคนได้รับความสามารถเดียว บางคนก็ได้รับความสามารถหลายอย่าง ความสามารถที่ได้รับจากสายเลือดมักจะแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว
ทว่าการใช้พลังสายเลือดนั้นก็มีค่าใช้จ่าย ซึ่งมักจะมีผลข้างเคียงรุนแรง อย่างไรก็ตาม พลังจากสายเลือดส่วนใหญ่นั้นแข็งแกร่งระดับที่สามารถก้าวข้ามกฎของโลกได้เช่นกัน
ยกตัวอย่าง นักแล่หนัง ปีเตอร์ เคเตอร์ เขาเป็นหนึ่งในผู้ครอบครองสายเลือดระดับเงินอันหายาก เงื่อนไขในการใช้พลังสายเลือดของเขานั้นก็ยากสุดขีด ราคาของมันสูงมากเสียจนเขาไม่สามารถจ่ายมันได้ด้วยตนเอง ทว่าหากใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม มันก็เป็นพลังอันยอดเยี่ยมหาใครทัดเทียมได้ยาก
ความสามารถทางสายเลือดของปีเตอร์ เคเตอร์เรียกว่า ห้องส่วนตัว เงื่อนไขในการใช้พลังก็คือจะต้องใช้ภายในอาคารเท่านั้น และมีระยะเวลาเว้นช่วงถึงสามปี ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องปลิดชีวิตผู้คนหลายร้อยคนเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการให้กับมัน ทว่าพลังจากสายเลือดของปีเตอร์กลับเรียบง่ายจนน่าตกใจ เขาสามารถแยกตัวเองและคนอื่น ๆ ที่อยู่กับเขาภายในพื้นที่ห้อง ออกไปในพื้นที่ซึ่งตัดขาดจากโลกได้เป็นเวลา 1 วัน
แน่นอนว่าปีเตอร์ไม่ได้จ่ายราคาแพงขนาดนั้นโดยเปล่าประโยชน์ เพราะภายในพื้นที่ของ ห้องส่วนตัว นั้นมีความสามารถลบล้างพลังของอุปกรณ์เวทมนตร์ทั้งหมดได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ป้องกันหรืออุปกรณ์สื่อสารก็ตาม มันเป็นพื้นที่มิติขนาดเล็กที่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
แม้พลังพิเศษจากสายเลือดของปีเตอร์จะไม่ได้เพิ่มความสามารถในการต่อสู้ และมีระยะเวลาเว้นช่วงนาน ทั้งไม่สะดวกและมีข้อบกพร่อง แต่มันก็เป็นพลังที่สมบูรณ์แบบสำหรับการลอบสังหารขุนนางระดับสูงที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ด้วยตัวเองได้
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ปีเตอร์ แม้จะมีระดับเพียงแค่ระดับแก่นแท้ 4 แต่ก็สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงในลัทธิวิหารแห่งมิธริล และเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตอันหรูหราได้
และวันนี้ ในฐานะตัวแทนของลัทธิวิหารแห่งมิธริล เขาได้ร่วมมือกับเหล่าผู้สมรู้ร่วมคิดเพื่อดำเนินแผนการลอบสังหารระดับสูงที่สุดที่ทวีปเซียไม่เคยได้เห็นมาก่อน…
หากเทียบกับขุนนางศักดินาผู้มีอำนาจ หรือกษัตริย์ของอาณาจักรอื่น ๆ ที่เขาเคยลอบสังหารในอดีต แล้วล่ะก็ เป้าหมายในครั้งนี้อย่างโรเอล แอสคาร์ดนั้นเด็กกว่ามาก อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กเหลือขออายุ 10 ขวบผู้ยังไม่ทันได้มีตำแหน่งอันสูงส่งอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ!
พูดตามตรง ปีเตอร์ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงต้องยอมใช้พลังความสามารถอันล้ำค่าของเขาไปกับเป้าหมายระดับนี้ แต่ปีเตอร์ก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งผู้นำของเขาอยู่ดี
“ข้าจะพาเจ้าเข้าไปในห้องที่พวกเขาอยู่ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าตอนนั้นโรเอล แอสคาร์ดอาจอยู่คนเดียว หรืออาจจะอยู่กับองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท แต่เจ้ามั่นใจได้เลยว่าข้างในนั้นจะมีคนอยู่ไม่เกินสามคนแน่ จำเอาไว้ด้วยว่า เจ้าฆ่าได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะทันทีที่มีคนตาย เจ้าจะถูกส่งกลับไปยังตำแหน่งเดิมของเจ้า”
“แล้วทำไมพวกเราต้องลงมือภายในสองวันนี้ด้วยล่ะ? ทำไมไม่ลงมือวันอื่น ๆ ที่องค์หญิงไม่อยู่ที่นี่ ทหารองครักษ์จะได้น้อยลง”
ปีเตอร์ผู้มีใบหน้าอันซีดเซียวและผมสีดำ มองไปยังชายร่างสูงที่ถือขวานอยู่ในมือและตั้งข้อสงสัยขึ้นมา ชายหน้าคนนั้นมองกลับมาที่เขาโดยไม่พูดอะไร แต่ปีเตอร์ก็เข้าใจถึงความหมายนั้นแล้วเดาะลิ้นของตนด้วยความรำคาญ
พลังจากสายเลือดนั้นมาพร้อมกับข้อจำกัดและผลข้างเคียงโดยไม่มีข้อยกเว้น ชายผู้นี้คงจะมีข้อจำกัดที่เข้มงวดยิ่งกว่าเขา มากพอที่จะสามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดรอบ ๆ คฤหาสน์และ ‘พา’ เขาเข้าไปในห้องเดียวกันกับเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
เงื่อนไขคือวันปีใหม่งั้นเหรอ? หรือว่าเป็นการเรียงตัวกันของดวงดาว? ปีเตอร์สงสัย
แต่ก่อนที่ปีเตอร์จะได้พูดอะไรออกมาอีก ชายร่างสูงคนนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว เขายกแขนเสื้อขึ้นเพื่อเผยให้เห็นรอยแผลเป็นของตน ก่อนที่จะยกขวานฟาดฟันลงไปตรงนั้น
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ปีเตอร์มองดูแขนของชายคนนั้นร่วงลงไปกับพื้น แต่ที่น่าตกใจที่สุดก็คือ สิ่งที่ไหลออกมาจากบาดแผลของเขาไม่ใช่เลือดแต่อย่างใด มันเป็นพลังเวทสีแดงเข้มอันแปลกประหลาดที่เข้ามาปกคลุมร่างของปีเตอร์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายไปพร้อม ๆ กันกับเขา
…
“จดหมายนี้มาจากที่ไหนกัน?”
ณ สำนักงานใหญ่ของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง พระสังฆราชจอห์น เซไซต์ที่เพิ่งเสร็จสิ้นธุระจากการเข้าพบปะกษัตริย์จากอาณาจักรต่าง ๆ มองไปที่บาทหลวงตรงหน้าเขาและถามออกมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้ยื่นซองจดหมายพร้อมขนนกสามเส้นให้กับจอห์นด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเคารพ
ซองจดหมายและขนนกสีขาวสามเส้น เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการยอมจำนน ซึ่งถูกริเริ่มโดยอาณาจักรที่ถูกรุกรานโดยจักรวรรดิออสทีนโบราณในช่วงยุคที่สอง ทำให้ประเพณีนี้ได้ถูกแพร่กระจายไปทั่วทุกอาณาจักรและยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ทูตคนใดก็ตามที่ถือซองสีขาวมาพร้อมกับขนนกสามเส้น จะต้องไม่ถูกหยุดยั้งหรือทำร้าย
โดยทั่วไปแล้ว ซองจดหมายเช่นนี้จะปรากฏขึ้นในระหว่างการทำสงครามของอาณาจักรเท่านั้น สถานการณ์จึงค่อนข้างแปลกสำหรับจักรวรรดิเซนต์เมซิท เพราะจักรวรรดิเซนต์เมซิทนั้นไม่ได้ทำสงครามกับอาณาจักรใด ๆ มานานแล้ว
หมายความว่าซองจดหมายนี้มีที่มาจากแหล่งเดียวเท่านั้น คือ ลัทธิชั่วร้าย
บางครั้งเมื่อลัทธิชั่วร้ายหรือกองกำลังของศัตรูไม่สามารถทนต่อแรงกดดันจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้ พวกเขาก็จะส่งซองจดหมายดังกล่าวมา เพื่อเป็นการแสดงการยอมจำนน โดยปกติแล้วพวกเขาจะเสนอข่าวกรองหรือจ่ายค่าเสียหายชดเชยให้กับจักรวรรดิเซนต์เมซิท เพื่อแลกกับการเนรเทศอย่างสันติไปยังที่ห่างไกล หรืออาจจะได้สิทธิ์อพยพไปยังจักรวรรดิหรืออาณาจักรอื่น ๆ ที่เป็นศัตรูกับจักรวรรดิเซนต์เมซิทเพื่อสร้างปัญหา
จักรวรรดิเซนต์เมซิทมักจะใช้วิธีการอย่างสันติเมื่อได้รับการยอมจำนน
จอหน์ เซไซต์รู้ดีว่าอาณาจักรนั้นจำเป็นต้องมีการเจรจาต่อรองอันยืดหยุ่นเพื่อที่จะได้เติบโต การทำลายล้างความชั่วร้ายทั้งหมดเป็นเพียงแค่อุดมคติอันเลื่อนลอยเท่านั้น การยืนหยัดอย่างแน่วแน่สุดโต่งต่อลัทธิชั่วร้ายอาจส่งผลย้อนกลับต่อจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้
“พวกเด็ก ๆ พบมันในกล่องขอพรที่จัตุรัสเมื่อเช้าวันนี้ ท่านจะอ่านมันรึเปล่าขอรับ?”
“อืม ข้าจะอ่าน เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“ขอรับ ท่านพระสังฆราช”
จอห์นรับซองจดหมายมาก่อนจะสั่งทุกคนในห้องเดินออกไป เขาเติมพลังเวทลงไปในซองจดหมาย จากนั้นขนนกสีขาวทั้งสามก็ลอยขึ้นไปในอากาศต่อกันเป็นทรงสามเหลี่ยม นี่เป็นวิธีการพิเศษสำหรับอ่านเนื้อหาในซองจดหมาย
มันคล้ายกับกล้องโปรแกรมสำหรับการประชุมทางวิดีโอในยุคปัจจุบัน เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เป็นช่องทางพิเศษสำหรับผู้มีอำนาจที่เอาไว้ใช้สื่อสารกับฝั่งศัตรู เพียงแต่ว่ามันต้องใช้พลังเวทจำนวนมหาศาล และจะสามารถใช้งานได้ก็ต่อเมื่อฝั่งผู้รับต้องการเท่านั้น
“สวัสดี ท่านสังฆราชแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท ข้าคือรองหัวหน้าจากลัทธิวิหารแห่งมิธริล คาลัส ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้สื่อสารกับท่าน”
จดหมายจากสุภาพบุรุษที่มีท่าทางเหมือนขุนนางวางกำปั้นไว้บนหน้าอกและโค้งคำนับให้กับ จอห์น เซไซต์ อย่างจริงใจ จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มสนทนากัน
…
ขณะเดียวกัน ในคฤหาสน์เขาวงกต นอร่าและโรเอลกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าสับสนเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือกันอยู่ จู่ ๆ พลังเวทอันลึกลับก็ได้เปลี่ยนสภาพแวดล้อมโดยรอบของพวกเขาไป
นี่ทำให้นอร่ารู้สึกได้ว่าพลังสายเลือดของเธอกำลังกระตุกอย่างรุนแรง ราวกับว่าเด็กสาวนั้นกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู กลับกันแล้ว โรเอลเองก็เริ่มปวดหัวเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้น? ทิวทัศน์นี้มันอะไรกัน… ให้ตายสิ ปวดหัวชะมัด!
การเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันทำให้โรเอลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทนกับความเจ็บปวดอันแสนสาหัสนี้และสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวเขา
เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสองมีชายผมดำกำลังจ้องมองมาอย่างจริงจัง ออร่าสีแดงอ่อนกระจายออกมาจากร่างของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยกลิ่นคาวเลือด
นักแล่หนัง ปีเตอร์ เคเตอร์