บทที่ 67: เส้นทางแห่งความยุติธรรม
เสียงของคาลัสก้องกังวานไปทั่วห้องโถงขนาดใหญ่ ทว่าสิ่งที่รอเขาอยู่กลับไม่ใช่คำรับรองที่เขาคาดหวัง
มีเพียงความเงียบงันอันยาวนาน แม้ว่าคาลัสจะไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ว่าโดยชัดเจน แต่พระสังฆราชจอห์นก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวถึง
ภายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน ไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนไหนสามารถหลุดรอดจากสายตาของจอห์นหรือขัดขืนเจตจำนงของเขาได้ เขารู้แจ้งตระหนักดีถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมคาร์เตอร์กล้าที่จะทิ้งโรเอลไว้ตามลำพังในเมืองหลวง
แน่นอนว่าวิหารแห่งมิธริลเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน นี่คือเหตุผลที่พวกเขามาเจรจากับจอห์น พวกเขาหวังว่าจะได้รับการอนุมัติจากจอห์น โดยการเสนอผลประโยชน์ที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
“พวกเราจะไม่ทำร้ายลูกหลานของตระกูลเซไซต์ พวกเรามิบังอาจทำเช่นนั้น ข้าขอรับประกัน พวกเราเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันของจักรวรรดิเซนต์เมซิทดี
ดังนั้นทางเราจึงได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้เป็นอย่างดี การตายของโรเอล แอสคาร์ดจะไม่ถือว่า เกิดขึ้นในลอเรน ทุกอย่างเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ ตระกูลแอสคาร์ดจะไม่สามารถสืบหาหลักฐานใด ๆ มากล่าวหาราชวงศ์ได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง”
“นอกจากนี้ หากท่านยังกังวลอยู่ ทางเราสามารถช่วยท่านยับยั้งตระกูลเอลริกได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อย ๆ พวกเราก็สามารถซื้อเวลากว่าสิบปีให้กับทางราชวงศ์ได้”
“เป้าหมายของเราไม่ใช่ตระกูลแอสคาร์ด แต่เป็นบุตรชายผู้ไร้ความสามารถของคาร์เตอร์ แอสคาร์ด ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลแอสคาร์ดยังคงอยู่ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของเขา และยังมีความสามารถในการสืบทอดสายเลือดอยู่ ตระกูลแอสคาร์ดจะไม่ประสบปัญหาเรื่องการขาดผู้สืบทอด ความโกลาหลและความไม่สมดุลจะไม่เกิดขึ้นท่ามกลางห้าตระกูลขุนนางชั้นสูง”
น้ำเสียงอันเคารพนบนอบของคาลัสดังก้องกังวานไปทั่วห้องโถงอีกครั้ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทางวิหารแห่งมิธริลได้เตรียมการเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเรียบร้อยแล้ว วิธีการเก็บกวาดหลักฐานที่พวกเขาเสนอนั้นเกือบจะสมบูรณ์แบบ อิทธิพลเชิงลบใด ๆ ต่อจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะถูกลดลงให้เหลือน้อยที่สุด กลับกันแล้วจักรวรรดิเซนต์เมซิทและราชวงศ์จะได้ผลประโยชน์มากมายจากการยอมรับข้อตกลงนี้
หากชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในข้อเสนอนี้ คนที่มีเหตุผลย่อมรู้ดีว่าเขาควรจะเลือกอะไร โดยเฉพาะตระกูลขุนนางชั้นสูงอย่างตระกูลเซไซต์ นี่ทำให้คาลัสมั่นใจในเงื่อนไขที่วิหารแห่งมิธริลเสนอให้กับจอห์น
ถึงจอห์น เซไซต์ จะเป็นพระสังฆราช แต่เขาก็เป็นผู้นำตระกูลเซไซต์ด้วยเช่นกัน
ผู้นำของตระกูลขุนนางชนชั้นสูงไม่ใช่ใครที่จะสามารถปล่อยให้การตัดสินใจของตัวเองแล่นไปตามอารมณ์ได้ มีเพียงความสงบสุขุมและเหตุผลเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาสามารถฝ่าฟันผ่านตัวเลือกยาก ๆ และเลือกทางที่ตระกูลจะได้รับประโยชน์สูงสุดได้ ทั้งนี้ก็เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แม้ว่าทางเลือกนั้นจะมีราคาเป็นความแตกแยกทางเครือญาติหรือการตัดขาดมิตรภาพก็ตาม
ถ้าคิดว่าการเป็นผู้นำตระกูลขุนนางนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ เหมือนการเล่นพ่อแม่ลูกล่ะก็ผิดมหันต์
ความรับผิดชอบของผู้นำตระกูลมีเพียงการพัฒนาและเพิ่มพูนอิทธิพลของตระกูล ผู้นำตระกูลคนใดที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตระกูลก่อนเป็นอันดับแรก ย่อมถือว่าล้มเหลวในฐานะผู้นำ
ทว่า หากตระกูลเซไซต์ยอมรับข้อตกลงที่วิหารแห่งมิธริลเสนอมา ก็หมายความว่าพวกเขาได้เสียสละผู้สืบทอดของตระกูลขุนนางอื่น แลกกับความมั่นคงเป็นเวลาสิบปีในจักรวรรดิเซนต์เมซิท แม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจได้เลยว่านี่เป็นข้อตกลงที่มีประโยชน์ต่อตระกูลเซไซต์แค่ไหน!
นอกจากนี้ตระกูลเซไซต์นั้นมีอำนาจเหนือกว่าในข้อตกลงครั้งนี้ เพราะสิ่งที่รอคอยวิหารแห่งมิธริล หากพวกเขากล้าที่จะผิดคำสัญญา ก็คือการแก้แค้นจองล้างจองผลาญอย่างไม่หยุดยั้ง
แม้แต่ลัทธินอกรีตที่ชั่วร้ายที่สุดก็ยังไม่กล้าหลอกพระสังฆราช เพราะกำไรกับความเสี่ยงที่แลกมานั้นไม่คุ้มกัน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้คาลัสต้องประหลาดใจ ทั้ง ๆ ที่ทางวิหารแห่งมิธริลได้แสดงความจริงใจและเสนอเหตุผลที่ยอมรับได้ออกมาแล้วแท้ ๆ ทว่าพระสังฆราชจอห์นกลับไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเท่าไหร่นัก เขาเพียงแค่เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ชวนให้นึกถึงชายชราธรรมดาคนหนึ่งที่งีบหลับใต้แสงอาทิตย์สาดส่องยามบ่าย
จอห์น เซไซต์กำลังคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนได้พบปะกับโรเอลก่อนหน้านี้ เขาเป็นเด็กที่แปลกประหลาด แม้ว่าอายุจะยังน้อย แต่ก็มีดวงตาที่เหมือนมองเห็นโลกมามากแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังมีความไร้เดียงสา ทัศนคติของโรเอลที่มีต่อจอห์นไม่ได้เป็นการประจบประแจงหรือหยิ่งผยอง เขาสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์และความชอบธรรมในใจของเด็กคนนี้
“แคลร์โลไลน์ แอสคาร์ด วินสเตอร์ แอสคาร์ด และ โร แอสคาร์ด ข้าว่าเจ้าน่าจะคุ้นเคยกับชื่อเหล่านี้ดีนะ”
พระสังฆราชจอห์นกล่าวขึ้น
ชื่อเหล่านี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นนามที่สร้างความหวั่นเกรงให้แก่ผู้อื่น แต่พวกเขาเหล่านี้ต่างก็ได้หายสาบสูญไปในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ที่ผ่านไปนานแล้ว คาลัสอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของจอห์นที่กำลังเผยให้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า
“เจ้ากลัวพวกเขา กลัวสายเลือดและจิตวิญญาณของพวกเขา เจ้ากลัวว่าพวกเขาจะรื้อฟื้นบางสิ่งในประวัติศาสตร์ที่พวกเจ้าไม่ต้องการจะเห็นขึ้นมาอีก เพราะแบบนั้นพวกเจ้าเลยไม่คิดจะปล่อยให้เด็กที่แสดงสัญญาณของคำทำนายให้รอดไปได้”
“… นั่นก็อาจจะใช่ แต่การรักษาตระกูลแอสคาร์ดให้อยู่ภายใต้การควบคุมเองก็เป็นประโยชน์ต่อตระกูลเซไซต์ไม่ใช่เหรอ? ข้าเชื่อว่าผลประโยชน์ของพวกเราสอดคล้องกันนะครับ”
คำพูดของคาลัสทำให้จอห์น เซไซต์เงียบไปครู่หนึ่ง ชายชรามองไปไกล ๆ ราวกับกำลังมองผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลา ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่สัญญาโบราณถูกสร้างขึ้นเมื่อพันปีก่อน
“ตระกูลเซไซต์จะปกป้องตระกูลแอสคาร์ด นี่เป็นคำสัญญาระหว่างทั้งสองตระกูลที่ถูกสร้างไว้เมื่อครั้งเริ่มยุคที่สาม ตลอดพันปีที่ผ่านมาตระกูลแอสคาร์ดได้ผ่านจุดรุ่งเรืองและจุดตกต่ำมาหลายครั้ง แต่ตระกูลเซไซต์ก็ไม่เคยทำผิดสัญญานั้น แล้วทำไมข้าถึงจะต้องมาละทิ้งมันในตอนนี้ด้วยล่ะ”
“เพราะเวลามีการเปลี่ยนแปลง โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในโลกนี้ไม่มีคำสัญญาใด ๆ ที่เป็นนิรันดร์ คนที่ฉลาดอย่างท่านน่าจะรู้ดีว่าคำสัญญาส่วนตัวไม่ได้มีความหมายอะไรเมื่อเทียบกับอนาคตของทั้งจักรวรรดิ”
“…ใช่ที่เจ้าพูดมันก็ถูก จากมุมมองของผู้นำแล้ว ความสนใจหรือผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ควรนำหน้าผลประโยชน์ของอาณาจักร”
จอห์นพยักหน้าเล็กน้อย ทำให้รอยยิ้มกลับมาสู่ใบหน้าของชายที่อยู่อีกฟาก ทว่ารอยยิ้มนี้กลับอยู่ได้เพียงไม่นาน
“แต่ข้าขอปฏิเสธข้อเสนอของเจ้า”
คำพูดเหล่านั้นหยุดรอยยิ้มบนใบหน้าของคาลัสลงทันที
“วิหารแห่งมิธริล ทำไมเจ้าถึงคิดว่าตระกูลแอสคาร์ดมาที่จักรวรรดิเซนต์เมซิทเพื่อขอความคุ้มครองจากพวกเราในตอนนั้นกัน”
“อะไร… ท่านกำลังหมายถึงอะไร?”
“ความกล้าหาญ ความยุติธรรม และความเท่าเทียม แสวงหาอนาคตเพื่อความอยู่รอดสำหรับคนเป็นและชดใช้ความคับข้องใจสำหรับคนตาย นี่เป็นสิ่งที่สายเลือดของพวกเขาได้เลือกเอาไว้ กาลเวลาอาจทำให้อิทธิพลพลังอำนาจของพวกเขาลดลง แต่พวกเขายังไม่ลดละที่จะปฏิบัติภารกิจของพวกเขา แล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่าตระกูลเช่นนี้ถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซไซต์กันละ?”
ก่อนหน้านี้ชายชราเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย แต่ตอนนี้เขากลับค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นมาช้า ๆ บรรยากาศอันเคร่งขรึมและสง่างามแผ่ออกมาจากตัวเขา
“นั่นเป็นเพราะพวกเขาคิดว่าเราเหมือนกัน พวกเขายอมรับค่านิยมที่เรายึดมั่นและมีความเชื่อว่าตระกูลของพวกเราจะยืนหยัดอย่างมั่นคงเมื่อต้องเผชิญกับการล่อลวง พวกเขาเชื่อว่าคำมั่นสัญญาที่ทำไว้กับผู้สืบสายเลือดแห่งทูตสวรรค์จะคงอยู่ไปตลอดกัลปาวสาน”
“ผลประโยชน์ส่วนตัวนั้นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอาณาจักร แต่เจ้าคิดว่าจุดประสงค์เบื้องหลังการดำรงอยู่ของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างคืออะไรกัน? มีผู้คนมากมายที่หันไปสู่ความชั่วเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ชายและหญิงผู้ไร้ศีลธรรมต่างเฝ้าค้นหาความเป็นอมตะ และอำนาจกดขี่ข่มเหง
เมื่อเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจะต้องทำหน้าที่เป็นดั่งแสงแห่งความหวังสำหรับผู้อ่อนแอ นับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งศาสนจักรแห่งเทพีผู้สร้าง พวกเราก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ละทิ้งจุดประสงค์นี้แลกกับผลประโยชน์ใด ๆ”
เสียงอันเรียบสงบของจอห์น เซไซต์ ค่อย ๆ ดังขึ้น เร่าร้อนมากขึ้น ชายชราผู้ใจดีได้กลายร่างกลายเป็นราชสีห์ที่ดุร้าย
“ในฐานะผู้ปกครอง ข้าอาจจะจำเป็นต้องยอมรับข้อตกลงที่เจ้าเสนอ ในฐานะผู้นำของตระกูลเซไซต์ ข้าควรจะจัดลำดับความสำคัญเรื่องผลประโยชน์ของตระกูลไว้เหนือสิ่งอื่นใด ทว่าที่สำคัญที่สุดก็คือข้าเป็นพระสังฆราช ผู้นำของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง! คุณค่าของการดำรงอยู่ของข้า คือความเมตตาและความเป็นกลาง วิหารแห่งมิธริลเอ๋ย การกระทำของเจ้าถือเป็นการดูหมิ่นโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและความยุติธรรมที่ข้ารักอยู่ในหัวใจ!”
ก่อนที่จอห์น เซไซต์จะพูดจบ ใบหน้าของคาลัสก็ซีดเผือดลงด้วยความกลัว แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจถึงความยุติธรรมที่จอห์นยึดมั่น แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่มองไม่เห็น เต้นเป็นจังหวะไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน
ในสถานที่ที่เขามองไม่เห็น เหล่าอัครสาวกผู้อุทิศชีวิตเพื่อต่อสู้กับลัทธิชั่วร้ายที่กำลังอยู่ระหว่างการสวดมนต์ก็ได้ลืมตาขึ้นและหยิบอาวุธขึ้นมา
“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้วจะอยู่ต่อไปก็ได้ไม่มีปัญหา”
จอห์น เซไซต์ประกาศอย่างสง่างาม หันไปทางอื่นและจ้องมองออกไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ก่อนที่ดวงตาของเขาจะหยุดลงที่ห้องภายในคฤหาสน์เขาวงกต
“ต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ ที่ทำให้ข้าได้ยินในสิ่งที่ข้าอยากจะได้ยิน”
จอห์นเสริมด้วยเสียงหัวเราะอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
ร่างกายของเขาเปล่งแสงออกมาด้วยความสามารถทางสายเลือด เดินทางข้ามมิติไปสู่เด็กสาวผมสีทองภายในห้องนั้น
“จงใช้พลังของเจ้าเพื่อปกป้องสหายซะ… แสดงให้พวกมันได้เห็น!”
คำพูดของเขาก้องอยู่ในหูของนอร่าและโรเอล
หลังจากนั้น แสงสว่างอันทรงพลังก็ระเบิดขึ้นภายในห้องมิติแยก ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดที่ซุ่มอยู่รอบห้องส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
“ท่านปู่ นี่มัน…”
นอร่างุนงงในตอนแรก แต่ในไม่ช้าเธอก็ตระหนักได้ว่า แสงนั้นไม่ได้โอบกอดเพียงแค่เธอแต่ยังรวมถึงตัวของโรเอลด้วย
ดวงตาของโรเอลเปิดกว้าง อาการปวดหัวรุนแรงได้แล่นเข้ามาทำร้ายเขาอีกครั้ง ภายในห้องลับของคฤหาสน์เขาวงกต อัญมณีหลากสีสันเปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมา กวาดล้างความสามารถทางสายเลือดของปีเตอร์ เคเตอร์ด้วยการระเบิดพลังเวทอันทรงพลัง
ในที่สุดคฤหาสน์เขาวงกตก็ได้ถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง