บทที่ 69: การรับความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ผู้ชายเขาทำกัน
ปิดระบบงั้นเหรอ? ล้อกันเล่นใช่ไหม! นี่คิดจะหยุดงานประท้วงรึไง?
【ระบบจะยังคงใช้งานได้ในช่วงระยะเวลาที่ทางระบบกำหนดไว้ ทว่าหากผู้ใช้ไม่สามารถชำระหนี้เต็มจำนวนได้ภายใน 5 ปี ระบบจะปิดตัวลงโดยอัตโนมัติ】
“หาเงินให้ได้ 500,000 เหรียญทอง ภายใน 5 ปีงั้นเหรอ…”
โรเอลพึมพำพลางขมวดคิ้วแน่น
เด็กชายมองไปที่ซากกำแพงและกองศพรอบ ๆ ตัว เขาได้ยินเสียงแห่งความโกลาหลดังก้องมาจากไกล ๆ เห็นได้ชัดว่ามีคนจำนวนมากกำลังเดินทางมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ส่วนจุดประสงค์ที่ว่านั้นคืออะไร โรเอลก็พอจะเดาได้คร่าว ๆ
สงคราม
เพียงแค่มองไปรอบ ๆ ก็น่าจะเข้าใจได้แล้วว่า พวกเขาทั้งคู่กำลังเดินไปตามท้องถนนที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม อาวุธและซากศพที่เกลื่อนกลาดอยู่ทุกหนทุกแห่งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน
หากโรเอลไม่ได้รับการ ‘ฝึกฝน’ โดยการดูภาพยนตร์เลือดสาดอันน่าสยดสยองมามากมายในชาติที่แล้วละก็ เขาคงอาเจียนออกมานานแล้ว
โรเอลรู้ดีว่าตนเองกำลังอยู่ในเขตสงคราม แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสภาพที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ได้แต่เก็บการคาดเดาดังกล่าวเอาไว้ในใจ ไม่ได้พูดออกมาดัง ๆ เพราะลึก ๆ แล้วเด็กชายก็แอบคาดหวังว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น
เขามองไปยังนอร่าเพื่อตรวจสอบสภาพในปัจจุบันของเด็กสาว เธอนั่งยอง ๆ ลงหลังซากปรักหักพังเพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ มองหาสถานที่ปลอดภัยที่พวกเขาจะสามารถเข้าไปพักผ่อนได้
แม้ว่านอร่าจะพยายามเก็บอาการมากแค่ไหน แต่โรเอลก็ยังสังเกตเห็นได้จากท่าทางและการแสดงออกเพียงเล็กน้อยของเธอว่ากำลังทุกข์ทรมานจากสภาพร่างกายที่ผิดปกติไม่ต่างไปจากเขาเท่าไหร่นัก ตั้งแต่พวกเขาถูกส่งมาที่นี่ การเคลื่อนไหวของนอร่าก็ดูจะช้าลงไปเล็กน้อย
มันต้องเป็นผลจากแสงของพระสังฆราชจอห์นแน่ ๆ … แต่นั่นมันควรจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสียไม่ใช่เหรอ? มันเป็นไปไม่ได้ที่พลังสายเลือดของเธอกำลังจะตื่นขึ้นในตอนนี้เหมือนกันใช่ไหม?
โรเอลสงสัยพลางกำหมัดแน่น
พลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดในโลกนี้ล้วนต้องแลกมาด้วยราคา พลังสายเลือดเองก็เช่นกัน แม้ว่าพลังสายเลือดแห่งทูตสวรรค์จะปลอดภัยกว่าพลังสายเลือดอื่น ๆ มากในแง่ของราคาแลกเปลี่ยน ทว่าการปลุกพลังสายเลือดจากระดับทองแดงไปสู่ระดับเงินนั้นก็ยังคงอันตรายอยู่
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่นอร่าออกมายืนหยัดปกป้องเขาจากปีเตอร์อย่างกล้าหาญก่อนหน้านี้ โรเอล รู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างถูกปลุกเร้าขึ้นในใจของเขา มันถึงเวลาชำระหนี้แล้ว
หากโรเอลไม่มีหนทางในการช่วยเหลือเธอล่ะก็ มันก็คงช่วยไม่ได้ แต่ตอนนี้เขามีมันอยู่ ในเมื่อนอร่ากำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ มันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องก้าวขึ้นมาปกป้องเธอ
ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จคือ 70% สินะ ได้เลย เราจะลองเดิมพันกับมันดู!
ตกลง ฉันเลือกที่จะฟื้นฟูสายเลือดดั้งเดิมของฉัน!
【กำลังเปิดใช้งานระบบสนับสนุนการฟื้นฟูสายเลือดดั้งเดิม…】
【เปิดใช้งานระบบระงับความเจ็บปวด】
【เปิดใช้งานแล้วระบบดัดแปลง】
【ความคืบหน้าการฟื้นฟูสายเลือดดั้งเดิม : 8%】
ชุดการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นจากระบบ โรเอลรู้สึกราวกับว่าสเตียรอยด์จำนวนมากถูกฉีดเข้าไปในร่างกายของเขาในคราวเดียว
อาการปวดหัวหายไปในทันทีพร้อมกับพลังเวทในร่างของโรเอลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงแตกเบา ๆ สะท้อนอยู่ภายในร่างกายของเขา ในขณะที่กระดูกและกล้ามเนื้อเริ่มปรับให้เข้ากับโครงสร้างที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เข้ากับความสามารถที่พัฒนาขึ้น
หลายวินาทีต่อมา โรเอลก็กลับมาลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ ดวงตาสีทองกลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง การเคลื่อนไหวกลับมาเฉียบคมและว่องไว การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้นอร่าผู้กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจสอบพื้นที่ต้องตกใจ
“โรเอล เจ้าสบายดีรึเปล่า?”
“ก็ประมาณนั้น เธอเจออะไรบ้างรึเปล่า?”
“ยังเลย ดูเหมือนว่าจะมีการสู้รบเกิดขึ้นในบริเวณนี้ ไม่มีอาคารไหนเลยในระแวกนี้ที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ ที่ซ่อนดี ๆ เองก็ไม่มีเช่นกัน ข้าคิดว่าตำแหน่งปัจจุบันของพวกเราในตอนนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก”
นอร่ามองไปยังกองซากศพที่ล้อมรอบพวกเขาด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
เนื่องจากเด็กสาวได้รับการฝึกจากกองอัศวินมาตั้งแต่เด็ก เธอจึงรู้เกี่ยวกับหลักการต่าง ๆ ที่ทหารใช้ในช่วงสงคราม
ประการแรก ทุกกองทัพจะต้องกวาดล้างสนามรบให้เรียบร้อย เพื่อกำจัดและจับศัตรูที่เหลืออยู่ เพื่อรับเสบียงหรือทรัพย์สินต่าง ๆ ที่มีประโยชน์จากผู้ตาย
โดยเฉพาะการสู้รบในพื้นที่ตัวเมือง การกำจัดศพออกไปอย่างรวดเร็วนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง มิฉะนั้น หากซากศพเน่าเปื่อย อาจนำไปสู่การปนเปื้อนของแหล่งน้ำ ทำให้กลายเป็นน้ำเสียจนเป็นแหล่งเกิดกาฬโรคได้
เคยมีบางกรณีในประวัติศาสตร์ที่ประชากรทั้งเมืองต้องมาเสียชีวิตด้วยเหตุนี้
นี่เป็นหลักการตามมาตรฐานของกองทัพ ผู้ที่เคยผ่านการฝึกฝนอย่างเป็นทางการทุกคนย่อมรู้ถึงเรื่องนี้ มันจึงเป็นเรื่องแปลกที่กองศพเหล่านี้ถูกทิ้งเอาไว้ให้เน่าเปื่อยอยู่กับที่
นอร่าคิดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาได้สามรูปแบบ
“ประการแรก กองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับความสูญเสียทางกำลังรบอย่างรุนแรง พวกเขาจึงไม่มีกำลังคนเพียงพอที่จะทำความสะอาดสนามรบ
ประการที่สอง มีผู้ใช้พลังเหนือธรรมชาติจาก ลัทธิโครงกระดูก ร่ายสนามป้องกันพลังเวทเอาไว้รอบ ๆ พื้นที่นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาด ส่วนความเป็นไปได้สุดท้ายก็คือ…”
นอร่ากลืนน้ำลายลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อย
“… สถานการณ์ยังอยู่ในระหว่างการสู้รบ และพวกเรากำลังยืนอยู่ที่ใจกลางของมัน”
โรเอลมองไปทางนอร่าด้วยหนังตาที่กระตุกขึ้นเล็กน้อย ความเงียบงันเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาครู่หนึ่งก่อนที่โรเอลจะสงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด
“ที่พวกเราต้องทำในตอนนี้ก็คือรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นให้ได้ก่อน วันเวลาปัจจุบัน ที่ตั้งของพวกเรา และตัวตนของกองกำลังทั้งสองฝ่ายที่กำลังทำสงครามกันอยู่ ยิ่งพวกเรามีข้อมูลมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะรอดพ้นผ่านมันไปได้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”
“นอกจากตระกูลแอสคาร์ดของฉันแล้ว คงมีไม่กี่องค์กรหรอกที่จะกล้าท้าทายตระกูลเซไซต์ หากพวกเราปฏิบัติตามสุภาษิต ‘ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร’ อย่างน้อย ๆ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่กำลังต่อสู้อยู่ที่นี่ จะต้องยอมรับพวกเราเข้าไปแน่”
“ใช่ ข้าเห็นด้วยกับเจ้า แล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรกันดีล่ะ?”
“มันเสี่ยงเกินไปที่พวกเราจะเข้าไปจับทหารที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อหาข้อมูลทั้งที่พวกเรายังไม่ได้เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับสงครามนี้ ดังนั้นเราควรสำรวจข้อมูลเท่าที่จะทำได้จากศพคนตายที่นี่ก่อน”
ระหว่างที่โรเอลพูด ดวงตาของเขาก็เลื่อนไปยังศพที่นอนกองอยู่บนพื้น ร่างนี้ถูกลูกธนูหลายดอกแทงเข้าไปในผิวเนื้อด้านหลังของเขาราวกับเม่น เพียงแค่ดูผิวเผินก็สรุปได้ง่าย ๆ แล้วว่าเจ้าของร่างนั้นได้ตายไปแล้วอย่างแน่นอน
ศพทหารนั้นมีข้อมูลสำคัญมากมาย ที่น่าจะช่วยให้โรเอลได้รู้ว่าเขาควรจะระวังอะไร
โรเอลหยิบไม้คราดที่บังเอิญวางอยู่ใกล้ ๆ ขึ้นมา ก่อนจะตรวจสอบหาจุดซุ่มลอบโจมตีของศัตรู
โอ้ ลืมไปเลย ที่โลกนี้ไม่มีอาวุธปืนนี่นา
หลังจากแน่ใจว่าทำเลนี่ปลอดภัย โรเอลก็ใช้ไม้คราดเกี่ยวศพเข้ามา ดูเหมือนว่าไม้คราดนี้จะมาจากสวนในคฤหาสน์ของตระกูลชนชั้นสูงสักหลัง เขาเคยเห็นคนรับใช้ในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดใช้ไม้คราดรูปแบบเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันยาวและแข็งกว่าอันที่เขาถืออยู่ในปัจจุบัน
สวนในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดนั้นใหญ่กว่ามาก มันจึงสมเหตุสมผลแล้วที่คนรับใช้ของพวกเขาจะใช้เครื่องมือที่ดีกว่านี้ โรเอลคิดหาความบันเทิงให้กับตัวเองเล็กน้อยขณะค่อย ๆ เกี่ยวศพเข้ามา
แม้จะต้องใช้เวลาหลายนาที แต่ในที่สุดโรเอลก็สามารถดึงศพมาใกล้ ๆ ได้ เมื่องานเสร็จสิ้น โรเอลก็โยนไม้คราดทิ้งไป ก่อนที่จะพลิกศพมาด้านหน้าเพื่อตรวจสอบร่างของเขา
“เป็นยังไงบ้าง? พอจะรู้อะไรบ้างไหม?”
“เขาเป็นชายหนุ่มผมสีบลอนด์ รูปร่างดี ค่อนข้างหนุ่ม อาจอยู่ในวัยประมาณสามสิบ ฉันไม่สามารถระบุที่มาของชุดเกราะและอาวุธของเขาได้ แต่คุณภาพของพวกมันดูเหมือนจะดีพอสมควรเลย โอ้ เดี๋ยวก่อนนะ นี่มัน…”
โรเอลตรวจสอบศพตั้งแต่ศีรษะลงมา จนกระทั่งเขาสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ที่สลักอยู่ตรงเกราะอกของศพ มันเป็นตราประจำตระกูลรูปเสืออันน่าเกรงขามและดุดัน
“นี่มัน ตราสัญลักษณ์ของตระกูลเอลริกไม่ใช่เหรอ?”
“ว่าไงนะ?”
นอร่าผู้กำลังตรวจตราเฝ้าระวังศัตรูอยู่อุทานด้วยความประหลาดใจ เธอรีบเข้ามานั่งยอง ๆ ข้างศพเพื่อตรวจสอบตราสัญลักษณ์ด้วยกันกับโรเอล
“เจ้าพูดถูก… ไม่สิ มีบางอย่างแปลก ๆ เกราะนี่มัน…”
ดวงตาของนอร่าเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“มีอะไรผิดปกติรึ? เธอสังเกตเห็นอะไร?”
โรเอลเข้ามานั่งใกล้ ๆ นอร่าในทันทีพร้อมถามอย่างกังวลใจ ทว่าเขากลับยังไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายต้องรออีกราว ๆ สองนาทีก่อนที่เด็กสาวผมทองจะเริ่มถอดชุดเกราะของทหารออก
เกิดอะไรขึ้น? เธอกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?
โลกนี้ไม่มีวัฒนธรรมการเคารพผู้ตายงั้นเหรอ? พวกเราจะเปลื้องผ้าเขาจริง ๆ เหรอ?
“เธอกำลังทำอะไรน่ะนอร่า?”
“ไม่จริง นี่มันเป็นไปไม่ได้ แต่…”
เมื่อสังเกตเห็นว่าโรเอลกำลังมองมาที่เธอ นอร่าจึงพยายามตั้งสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ทว่าใบหน้าของเธอก็ยังมีความสับสนหลงเหลืออยู่ เรียกได้ว่าเป็นสีหน้าท่าทางที่ไม่มีใครเคยได้เห็นนอร่าเป็นแบบนี้มาก่อน
โรเอลย่อตัวลงมามองหน้านอร่า โดยหวังว่าเขาจะทำให้เธอสงบลงได้สักนิด นอร่าจ้องมองกลับไปที่ดวงตาสีทองของโรเอลเป็นเวลานานก่อนจะเริ่มพูด
“มีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับทหารคนนี้ สิ่งของทั้งหมดที่เขาสวมใส่… มันมาจากยุคของจักรพรรดินีวิกตอเรีย!”