บทที่ 70: ฉันเป็นแค่เด็ก
หัวใจของโรเอลเต้นแรง ทว่าไม่ใช่เพราะการโจมตีของศัตรูหรือปัญหาทางร่างกายของเขาแต่อย่างใด มันเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติต่อความรู้สึกตกใจอย่างรุนแรง
เบาะแสที่เกลื่อนอยู่ทุกที่ทำให้เด็กชายมีความคิดคร่าว ๆ แบบเดียวกันกับนอร่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นสถานการณ์ที่ยากเกินจะเชื่อ
การย้อนเวลากลับไปสู่อดีต ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติระดับนี้ได้อย่างนั้นเหรอ?
อย่างน้อย ๆ โรเอลก็รู้ตัวดีว่าทั้งเขาและนอร่าไม่สามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติระดับนี้ได้แน่ ผู้มีพลังระดับแก่นแท้ 5 และ 6 เช่นพวกเขานั้นอ่อนแอเกินไป แม้แต่ระดับแก่นแท้ 4 อย่างปีเตอร์ เคเตอร์ก็สามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมีพลังที่สามารถควบคุมแทรกแซงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาได้ เนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขามีจำกัด
อีกอย่างโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่นี้ แม้แต่ประตูเคลื่อนย้ายข้ามมิติอันสะดวกสบายที่เห็นได้ทั่วไปในนิยายหรือหนังแฟนตาซีก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่ต้องมาลำบากกับการเดินทางด้วยรถม้าหรอก!
แน่นอนว่าอาจจะมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีความสามารถที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาหรือห้วงมิติ ทว่าส่วนใหญ่พลังของพวกเขาก็ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การเคลื่อนย้ายมวลสารในระยะสั้นเท่านั้น นอกจากนี้พวกเขายังต้องจ่ายราคาอันแสนแพงสำหรับมันทั้ง ๆ ที่มันเป็นเพียงความสามารถเกี่ยวกับห้วงมิติระดับพื้น ๆ ด้วยซ้ำ!
โรเอลไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีใครสามารถใช้ความสามารถหรือคาถาเวทที่เกี่ยวข้องกับเวลาได้ เห็นได้ชัดว่านอร่าเองก็เช่นกัน
“หรือว่าอาจจะเป็นฝีมือของท่านปู่ที่ส่งพวกเรามาที่นี่? แต่ข้าไม่เคยได้ยินเลยนะว่าใครในตระกูลมีความสามารถแบบนั้น…”
นอร่าพึมพำอย่างสับสน
ทันใดนั้นเด็กสาวก็หันไปทางโรเอลและประเมินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ้าไม่ใช่ฝีมือของฝ่ายเธอก็น่าจะเป็นฝีมือของฝ่ายเขา ทว่าโรเอลเองก็กำลังงุนงงไม่ต่างอะไรไปจากเธอ
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน ความหวาดกลัวต่อสิ่งแปลกปลอมค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในหัวใจของทั้งสอง ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเรือที่ไม่มีหางเสือกำลังมุ่งหน้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ทั้งสองคนต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่พวกเขาจะสงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด
“มันอาจจะเป็นเพราะอุปกรณ์เวทมนตร์ในคฤหาสน์เขาวงกตก็ได้ หรือไม่ฉันก็อาจจะมีความสามารถลึกลับบางอย่างที่ตัวฉันไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ … ดูเหมือนว่าพวกเราจะถูกส่งกลับมาในยุคของจักรพรรดินีวิกตอเรียจริง ๆ”
“เรื่องแบบนั้นมัน…” นอร่าพึมพำ
“แล้วศพนี่ล่ะ คิดว่าจะมีทหารคนไหนสวมเกราะโบราณจากเมื่อร้อยปีที่แล้วมาออกรบกัน? นอกจากนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าชุดเกราะนี้เป็นของใหม่ๅไม่ใช่ของเก่า”
โรเอลหยิบเกราะอกขึ้นมาดูพื้นผิวโลหะอันมันวาวปราศจากการกัดกร่อนของกาลเวลา เห็นได้ชัดว่ามันยังใหม่อย่างที่เขาว่าจริง ๆ ทำให้นอร่าไม่สามารถหาข้อโต้แย้งใด ๆ ได้
“จะว่าไปแล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าเกราะนี้มาจากในยุคของจักรพรรดินีวิกตอเรีย”
“ข้าได้รับการฝึกสอนในกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยังเด็ก เลยค่อนข้างมั่นใจเกี่ยวกับความรู้เรื่องยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์”
เมื่อถูกถามโดยโรเอล นอร่าก็ชี้ไปยังจุดตัดตรงไหล่ของเกราะ
“เกราะรุ่นใหม่ ๆ ของ จักรวรรดิเซนต์เมซิท ตรงพื้นที่ส่วนนี้มักจะเชื่อมด้วยเกราะโซ่ ต่างจากในช่วงยุคของจักรพรรดินีวิกตอเรียที่ใช้วัสดุคล้ายไหมทอเข้ากันหลาย ๆ ชั้นเพื่อเชื่อมส่วนนี้”
“อย่างนั้นหรอกเหรอ?”
โรเอลเอานิ้วแหย่ส่วนผ้าไหมสีขาวที่ใช้เป็นจุดเชื่อมเกราะไหล่กับเกราะอก มันเป็นส่วนที่เข้าถึงได้ยากจนน่าแปลกใจ แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าวัสดุส่วนนี้เกิดจากผ้าไหมแม้จะค่อนข้างแข็ง
“… มาลองหาเบาะแสอื่นกันเถอะ พวกเราต้องรู้ให้ได้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน” โรเอลกล่าว
เด็กชายยกเสื้อเกราะขึ้นมาทาบอกลองตรวจสอบดูความพอดี แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเสียดายที่มันใหญ่เกินไปสำหรับเขา คงจะดีมากถ้าหากโรเอลใส่มันได้
ประการแรกก็คือ มันช่วยเพิ่มความสามารถในด้านการป้องกัน และอีกประการก็คือ…
ทั้งโรเอลและนอร่าต่างก็แต่งตัวเรียบง่ายจนเกินไปด้วยชุดสูทและชุดเดรส ซึ่งไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมเอาซะเลย
นอกจากนี้ทั้งสองคนยังมีรูปลักษณ์ที่ดูดีกว่าคนทั่วไป ทำให้พวกเขาดูเหมือนนางแบบนายแบบวัยเด็กที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบ พวกเขาดูเด่นเกินไปและไม่สอดคล้องกันสถานการณ์ มันอาจจะดึงดูดความสนใจที่พึงประสงค์เข้ามาได้
เด็กจากตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์เป็นดั่งถุงเงินฟรี ๆ ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหล มันเป็นเรื่องปกติที่กองทัพปฏิวัติจะลักพาตัวเด็กจากตระกูลขุนนางมาเพื่อเรียกค่าไถ่จากตระกูลของพวกเขา ถ้าตระกูลของพวกเขาปฏิเสธที่จะจ่ายเงิน พวกเขาก็จะขายลูกขุนนางเหล่านั้นในฐานะทาส
“เกราะนี้ใหญ่เกินไปสำหรับพวกเรา เราต้องลองหาเสื้อผ้าธรรมดาจากแถว ๆ นี้ดู”
“ใช่ แต่ตอนนี้มันใกล้จะมืดแล้ว พวกเราต้องรีบกันหน่อย”
ทั้งสองรีบหารือแผนของตนอย่างรวดเร็วภายใต้ความร้อนระอุของดวงอาทิตย์ยามเย็น พวกเขาตัดสินใจที่จะเข้าไปในอาคารสามหลังที่ยังอยู่ในสภาพดีข้างหน้านี้
โดยมีนอร่าที่แข็งแกร่งกว่าเดินนำ และโรเอลที่อ่อนแอกว่าคอยสนับสนุนเธอด้วยดาบสั้น
การเดินทางของพวกเขาค่อนข้างราบรื่น เนื่องจากแสงยามเย็นไม่ได้สว่างมากนัก ประกอบกับร่างกายของเด็ก ๆ ทั้งสองนั้นเล็กกว่าตัวทหารสวมเกราะมาก มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะมีใครสังเกตเห็นพวกเขาจากระยะไกล
ทันทีที่ทั้งสองย่องเข้าไปในลานของอาคารหลังแรก สิ่งที่เห็นก็คือคราบเลือดและซากศพ นอร่ารีบค้นหาทางเดินที่ปลอดภัยที่สุดในการเข้าไปในตัวอาคาร ขณะที่โรเอลเหลือบมองไปยังเกราะที่ร่างไร้วิญญาณนั้นสวมใส่อยู่ โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเครื่องหมายบนพวกมัน
เสือ เสือ เสืออีกแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลเอลริกจะสูญเสียคนไปมากเลยทีเดียว
เมื่อรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู โรเอลจึงสามารถละทิ้งความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อเหล่าทหารที่เสียชีวิตที่นี่ได้ หลังจากตรวจพื้นที่สักพัก พวกเขาก็พบว่าที่นี่ไม่มีอะไรอันตราย
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในอาคารผ่านทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ วิธีนี้จะปลอดภัยกว่า เพราะมันช่วยให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงเสียงดังที่เกิดจากการเปิดประตูได้
พวกเขาหยุดอยู่ริมหน้าต่างครู่หนึ่ง เพื่อควบคุมการหายใจก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
มีศพมากมายในอาคารแห่งนี้ และยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่ามีใครอยู่ที่นี่อีกหรือไม่ ดังนั้นโรเอลและนอร่าจึงต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ทั้งคู่ใช้เวลากว่าสิบนาทีในการสำรวจอาคารหลังนี้ทั้งสองชั้น
ด้านในมีผู้เสียชีวิตอยู่สองศพ หนึ่งในนั้นคือทหารที่ประจำการอยู่ริมหน้าต่างบนชั้นสอง ดูเหมือนว่าใบหน้าของเขาจะถูกทำลายด้วยคาถาเวทที่ทรงพลัง ส่วนอีกคนเป็นชายชราที่ถูกฆ่าในห้องนั่งเล่น
โรเอลคาดว่าชายชราคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของอาคารแห่งนี้ เมื่อพิจารณาจากเสื้อผ้าอันหรูหรา นาฬิกาพกสีเงิน และซองจดหมายที่หน้าอก
「ถึงท่านโรดส์ ผู้เมตตา
ข้าได้ปฏิบัติตามคำขอของท่านแล้ว การต่อสู้ในเมืองเลวร้ายลงทุกวันจนข้าเกรงว่ามันจะลามมาถึงที่นี่ เพราะฉะนั้นได้โปรดจัดการทรัพย์สิน และช่วยส่งสมาชิกในครอบครัวของข้าออกไปจากเมืองล่วงหน้าด้วย
ข้าหวังว่าท่านจะสามารถหาทางช่วยพวกข้าผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
ด้วยความเคารพ เอ็ดเวิร์ด พอตต์
ปี 828 13 มีนาคม」
นอร่าเงียบไปหลังจากที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ส่วนโรเอลก็ถอนหายใจยาวออกมาเช่นกัน
13 มีนาคม ปี 828 เป็นวันสำคัญที่ทิ้งรอยประทับเอาไว้ในประวัติศาสตร์ การต่อสู้ของฝาแฝดแห่งราชวงศ์เซไซต์ หรือเหตุการณ์ ‘การเดินขบวนแห่งความวุ่นวาย’ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท สงครามที่กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนของอาณาจักร เป็นเหตุการณ์ที่ได้รับการศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยเหล่านักประวัติศาสตร์
ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้มาเป็นพยานในเหตุการณ์สำคัญนี้
“เอาล่ะ หยุดคิดเรื่องนี้กันดีกว่า ที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือความอยู่รอดของพวกเรา เราต้องหาที่ปลอดภัย น้ำและอาหาร มาสำรวจพื้นที่นี้กันเถอะ”
โรเอลพูดพร้อมกับหันไปหานอร่า
นี่ทำให้นอร่าตั้งสติคิดได้ถึงจุดประสงค์เดิมของพวกเขาที่เข้ามายังอาคารแห่งนี้ เธอพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็เริ่มรื้อค้นจุดต่าง ๆ ทั้งในห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องน้ำ หรือแม้แต่ห้องนอนบนชั้นสอง ทว่าพวกเขากลับไม่พบอาหารหรือน้ำดื่มแม้แต่หยดเดียว
เป็นไปได้ว่าทหารได้รื้อค้นอาคารแห่งนี้ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“ชิ พวกมันค้นหากันละเอียดเกินไปไหมเนี่ย? เราคงต้องออกไปหาเสบียงกันตอนกลางคืน เพราะถ้าคอยถึงตอนเช้าพวกเราอาจจะถูกจับตัวได้ ที่แย่กว่าก็คือที่นี่ไม่มีเสื้อผ้าขนาดเหมาะ ๆ เหลืออยู่เลย เสื้อผ้าทั้งหมดที่นี่ล้วนถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปหมด” โรเอลบ่น
“ทางที่ข้าไปสำรวจเองก็เหมือนกัน ไปจากที่นี่กันเถอะ”
การทำงานประสานกันเป็นทีมของโรเอลและนอร่าค่อย ๆ พัฒนาขึ้น พวกเขารีบออกจากอาคารหลังแรกอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังอาคารหลังที่สอง ทว่าคราวนี้พวกเขากลับพบเข้ากับสถานการณ์อันไม่คาดคิด
“เดี๋ยวก่อนนะ หมอกพวกนี้มาจากที่ไหนกัน ?”
“แปลกจริง ก่อนหน้านี้แถบนี้ไม่มีหมอกเลยนี่นา!”
“ไม่ดีแล้ว มันต้องเป็นผลจากคฤหาสน์เขาวงกตแน่ ๆ!”
หมอกที่เข้าปกคลุมพื้นที่อย่างกะทันหันทำให้ทั้งสองคนตื่นตระหนก มันเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงสิบวินาทีในการเปลี่ยนวิสัยทัศน์ทั้งหมดของพวกเขาจนพร่ามัว
ทว่าโชคร้ายไม่ได้จบลงแค่นั้น ระหว่างที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังอาคารหลังที่สอง ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายดังมาจากทางซ้าย
ที่น่าแปลกก็คือเสียงฝีเท้าเหล่านั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นทีละน้อย มันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดังขึ้นใหม่ๅ ราวกับว่าจู่ ๆ พวกเขาก็ปรากฏตัวออกมาจากอากาศ!
แน่นอนว่าทั้งโรเอลและนอร่าต่างก็ตั้งตัวไม่ทัน ทำให้พวกเขาเจอเข้ากับทหารกลุ่มนี้ในทันที ซึ่งจังหวะนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหน้าทางขวาของพวกเขา พร้อมกับเงาร่างอันพร่ามัวที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้
เหล่าทหารหุ้มเกราะเองต่างก็ตกตะลึงกับการเผชิญหน้าโดยกะทันหันนี้เช่นเดียวกันกับโรเอลและนอร่า เมื่อผู้บัญชาการกองทหารสังเกตเสื้อผ้าชั้นดีของเด็ก ๆ ทั้งสอง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย พร้อมออกคำสั่งให้ทหารจับตัวเด็ก ๆ ในทันที
“พวกมันเป็นบุคคลน่าสงสัย! จับพวกมันมาซะ!”
“จับมือข้าไว้โรเอล พวกเราต้องวิ่งกันแล้ว!”
เหล่าทหารต่างปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บัญชาการ พวกเขาดึงอาวุธออกมาหันเข้าหาโรเอลและนอร่า เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายมาก นอร่าจึงรีบคว้ามือของโรเอล เตรียมที่จะพาเขาหนีเข้าไปยังส่วนลึกของหมอก
ทว่าโรเอลกลับกลายเป็นฝ่ายที่จับข้อมือก่อนและหยุดเธอไว้
“โรเอล?”
นอร่ามองไปที่โรเอลด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วเธอก็สังเกตได้ว่าดวงตาของเด็กชายไม่ได้มองไปที่เหล่าทหารที่กำลังเข้ามาใกล้แต่อย่างใด เขามองไปยังร่างปริศนาคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาจากข้างหน้าด้านขวา ร่างนั้นเดินเข้ามาในระยะสายตาของพวกเขาแล้ว โดยที่ไม่มีใครสนใจ
เขาเป็นชายผมดำใบหน้าซีดเซียว ร่างอาบไปด้วยเลือด โดยกำลังกุมแผลที่มีเลือดไหลออกมาตรงไหล่ซ้ายเอาไว้ด้วยมือขวา ชายคนนี้ดูจะอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ใช่แล้ว เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจาก ปีเตอร์ เคเตอร์
การปรากฏตัวโดยกะทันหันของปีเตอร์ได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าทหารไปอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนที่เหล่าทหารจะได้ถามถึงตัวตนของอีกฝ่าย โรเอลก็ได้ตะโกนคำตอบออกไป
มันเป็นการแสดงอันยอดเยี่ยมที่ก้าวข้ามขอบเขตของความเป็นจริงและนิยาย เด็กชายแสดงรายละเอียดอันชัดเจนออกมาเพื่อดึงดูดผู้ชมให้เข้าสู่สถานการณ์ที่ตนสร้างขึ้น ด้วยดวงตาอันเปล่งประกายและน้ำตาแห่งความปั่นป่วน โรเอลมองไปที่ปีเตอร์อย่างตะลึงงันราวกับว่าเขาเป็นญาติห่าง ๆ ที่เพิ่งจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
“ตอนนี้แหละ! ลุงปีเตอร์ พวกเขาตกหลุมพรางของพวกเราแล้ว!”
โรเอลตะโกน