บทที่ 71: ‘คนทรยศ’
ปีเตอร์ เคเตอร์จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่มีใครเรียกเขาอย่างสนิทสนมเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเรียกที่มาจากเด็ก
ชายผมดำนั้นเกลียดเด็กมาก นั่นก็เพราะเด็ก ๆ มักจะล้อเลียนหรือเยาะเย้ยศิลปะของเขาด้วยความไม่เข้าใจและขาดประสบการณ์ พวกเขาจึงไม่สามารถทำความเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งเบื้องหลังผลงานชิ้นเอกของปีเตอร์ได้ … ถึงแม้ว่าผู้ใหญ่ส่วนมากเองก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกันก็เถอะ
ทว่าในวันนี้ความนิยมของปีเตอร์ในหมู่เด็ก ๆ กลับเพิ่มสูงขึ้นเสียอย่างนั้น จู่ ๆ นักฆ่าผมดำผู้เกลียดเด็กก็ถูกเรียกอย่างสนิทสนมว่า ‘ลุงปีเตอร์’ อย่างไม่น่าเชื่อ
ซึ่งมันก็แลกมากับปัญหาที่หนักหนาสาหัสเช่นกัน
คำว่า ‘ตกหลุมพรางของพวกเรา’ ที่โรเอลกล่าวออกมา ทำให้เหล่าทหารที่จะล้อมจับกุมโรเอลและนอร่าหยุดนิ่งลงทันที
ผู้บัญชาการกองทหารเบนสายตามองไปที่ปีเตอร์ พร้อมตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่
ชายที่ถูกเรียกว่า ‘ลุงปีเตอร์’ คนนี้มีใบหน้าอันซีดเซียวและโชกไปด้วยเลือด ทว่าเขากลับมีเพียงบาดแผลเลือดออกที่ไหล่ หรือก็คือคราบเลือดบนร่างกายของชายคนนี้ไม่ได้เป็นของเขา!
นอกจากนี้ คนธรรมดาที่ไหนจะกล้ามาเดินเตร่ในบริเวณนี้โดยไม่สวมชุดเกราะใด ๆ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้บัญชาการกองทหารสรุปได้ว่า ชายคนนี้เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงไม่ผิดแน่!
“เตรียมรับมือศัตรู!!!”
ผู้บัญชาการกองทหารตะโกนออกมาดัง ๆ ด้วยความหวาดระแวง ทำให้ปีเตอร์ เคเตอร์มองไปยังเหล่าทหารที่กำลังตื่นตระหนก และนึกขึ้นมาได้ในที่สุดว่าโรเอลได้ใช้เขาเป็นตัวล่อซะแล้ว
“เจ้าเด็กโง่ ทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะ…”
“ตั้งขบวนรบ! ป้องกันแนวหน้าเอาไว้!”
เหล่าทหารต่างตระหนักได้ว่าปีเตอร์นั้นน่าจะเป็นจอมเวท ผู้บัญชาการกองทหารจึงยกดาบขึ้นชี้ไปทางเขา โดยมีทหารอีกสิบนายติดตามมาอย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะป้องกันเขาหากมีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากต่อสู้ในสนามรบมาเป็นเวลานาน ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของพวกเขาเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่เป็นจอมเวทก็ทำงานในทันที พวกเขาต่างเบนเป้าหมายไปที่ปีเตอร์ ส่งเสียงโห่ร้องอันฮึกเหิมเกรี้ยวกราดกลบคำอธิบายของอีกฝ่าย
“เดี๋ยวก่อนสิ ข้า… ไม่ ไม่ใช่ข้าสิ… เจ้าพวกบ้า!”
ลูกธนูจำนวนมากลอยขึ้นเหนือฟ้าเป็นสัญญาณการโจมตี ทหารหลายสิบนายได้เข้าปะทะกับปีเตอร์ ทำให้การต่อสู้ครั้งใหญ่ปะทุขึ้นมาโดยห่างจากโรเอลและนอร่าไปเพียงแค่สิบเมตรเท่านั้น
ในแง่ของความแข็งแกร่ง ทหารที่เคยผ่านสถานการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันนั้นแตกต่างจากทหารทั่วไปคนละโลก แม้ทหารกลุ่มนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งนัก ขนาดที่ว่าผู้บัญชาการสามคนของกองทหารนี้ล้วนยังอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 5 เท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ นั้นยังเป็นระดับแก่นแท้ 6 ที่โรเอลสามารถจัดการได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว
ทว่าความสามารถและประสบการณ์ในการต่อสู้ของพวกเขาเหนือกว่าของโรเอลและนอร่ารวมกันหลายขุม ทหารแนวหน้ายืนห้อมล้อมปีเตอร์ ในขณะที่นักธนูยิงธนูออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของปีเตอร์เอาไว้
ผู้บัญชาการทั้งสามคนที่มีระดับแก่นแท้ 5 ต่างบัญชาการกองทหารของตนอย่างชาญฉลาด ควบคุมพื้นที่ในสนามรบ ปล่อยระลอกการโจมตีอันเฉียบคมในทุก ๆ ครั้งที่ปีเตอร์ไม่ทันได้ระวังตัวหรือพลาดพลั้ง
การประสานงานอย่างเป็นระบบทำให้พวกเขาสามารถต่อสู้กับปีเตอร์ผู้ทรงพลังได้แม้ว่าพวกเขาจะอ่อนแอกว่ามากก็ตาม เพียงแค่ชั่วครู่ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับบาดแผล ผลงาน ‘รอยยิ้มของมารดา’ อันภาคภูมิใจของปีเตอร์ ส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมที่จะเข้าไปกัดคอใครก็ตามที่อยู่ในระยะการโจมตี
ทว่าการสูญเสียกำลังรบไม่ได้เป็นอุปสรรคใด ๆ ต่อกองทหารกองนี้เลยสักนิด มันมีแต่จะกระตุ้นความกระหายเลือดและความโกรธของพวกเขาให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
ทันใดนั้นในจังหวะที่ปีเตอร์ประมาทเพียงเสี้ยววินาที เขาก็ถูกผู้บัญชาการคนหนึ่งแทงเข้าที่ต้นขา
“อ๊าก!!! เจ้าพวกโง่ พวกแกหาเรื่องใส่ตัวเองนะ!”
ปีเตอร์คำรามด้วยความโกรธ
โรเอลและนอร่าจึงตัดสินใจว่ามันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะหลบหนีออกไปจากที่นี่ ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่ามันเสี่ยงเกิดไปที่จะเฝ้าดูอยู่เฉย ๆ และพวกเขาก็ไม่ควรจะมาเสียเวลาดูการต่อสู้ในครั้งนี้
เด็กทั้งสองจับมือกันแน่นแล้ววิ่งหนีออกจากพื้นต่อสู้จนหายใจหอบ พวกเขาวิ่งไปทางอาคารหลังที่สอง แต่หลังจากเดินทางไปได้สักพักทั้งคู่ก็ต้องพบกับปัญหาใหม่
“มีบางอย่างผิดปกติ จากระยะทางพวกเราน่าจะเดินมาถึงมันแล้วนี่นา”
“นี่ต้องเป็นผลของหมอกเวทในเหตุการณ์การเดินขบวนแห่งความวุ่นวายไม่ผิดแน่…ตอนนี้พวกเราอยู่ในพื้นที่ของคฤหาสน์เขาวงกตแล้ว มันคงจะแปลกถ้าพวกเราเดินไปถึงจุดหมายได้”
“แล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี? ตระกูลแอสคาร์ดของเจ้ามีบันทึกเกี่ยวกับคฤหาสน์เขาวงกตรึเปล่า?”
“บันทึก? หมายถึงบันทึกรายชื่อคนหายงั้นเหรอ?” โรเอลโต้กลับอย่างหงุดหงิด
เด็กชายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“มันไม่มีทางที่พวกเราจะถอดรหัสของคฤหาสน์เขาวงกตได้ นี่คือจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมัน และเป็นเหตุผลที่ทำให้มันกลายเป็นตำนาน จากในบันทึก องค์ชายเวตให้องครักษ์ส่วนตัวของเขาบุกเข้าไปในคฤหาสน์เขาวงกต แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าไปถึงภายในตัวคฤหาสน์ได้ คนเดียวที่เดินทางไปมาภายในเขาวงกตแห่งนี้ได้อย่างแท้จริง มีเพียงผู้ครอบครองมรดกตกทอดของตระกูลแอสคาร์ดเท่านั้น”
“เจ้ากำลังพูดถึงอุปกรณ์เวทที่อยู่ภายในคฤหาสน์เขาวงกตงั้นเหรอ? มันอยู่กับเจ้ารึเปล่า ?”
“แน่นอนว่าไม่ ตามเส้นแกนเวลาที่พวกเราอยู่ในปัจจุบัน อุปกรณ์เวทนั้นจะต้องอยู่ในมือของพวกเขาอย่างแน่นอน”
โรเอลตอบขณะมองเข้าไปในส่วนลึกของหมอก
ราวกับว่ากำลังมองผ่านหมอกเข้าไปหาคู่หูที่กลายมาเป็นสหายกันหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ และได้สานสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างตระกูลแอสคาร์ดกับตระกูลเซไซต์ไปสู่ศักราชใหม่
“… ท่านพอนเต้ และจักรพรรดินีวิกตอเรีย”
นอร่าพึมพำขณะกล่าวคำตอบในใจออกมา
เด็กสาวรู้สึกมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของตนเอง เนื่องจากจักรพรรดินีวิกตอเรียเป็นบรรพบุรุษของเธอ และเป็นหนึ่งในจักรพรรดินีเพียงไม่กี่คนของจักรวรรดิเซนต์เมซิท นอร่าจึงชื่นชมจักรพรรดินีวิกตอเรียอยู่เสมอ แค่คิดถึงความเป็นไปได้ที่จะได้พบกับจักรพรรดินีวิกตอเรียด้วยตัวเองก็ทำให้เด็กสาวรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว
ทว่าทางด้านโรเอล กลับรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่เกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้
นี่เรากำลังจะไปเจอตาเฒ่าโรคจิตนั่นงั้นเหรอ?
หากโรเอลไม่เคยได้อ่านบันทึกของพอนเต้ เขาอาจจะรู้สึกดีที่ได้พบกับพอนเต้ แอสคาร์ดตัวเป็น ๆ แต่ตอนนี้เด็กชายได้แต่สวดอ้อนวอนให้อย่างน้อย ๆ บรรพบุรุษของเขาก็ยังดูดีที่เปลือกนอก…
ไม่แปลกใจเลยที่มีคำกล่าวว่าผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ พอนเต้ แอสคาร์ดเติมแต่งเนื้อหาไปแค่ไหนกันเพื่อให้ผู้คนมองตัวเองว่าเขาเป็นวีรบุรุษ?
เมื่อโรเอลคิดมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เด็กชายก็นึกขึ้นได้ว่าบางทีเขาอาจจะรู้สึกผิดหวังกับพอนเต้ เพราะตัวเขาคาดหวังเกี่ยวกับอีกฝ่ายสูงเกินไป
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสมบูรณ์แบบบนโลกนี้ แม้แต่วีรบุรุษเองก็เช่นกัน ทุกคนล้วนมีความปรารถนาและ ‘ด้านมืด’ เป็นของตัวเอง และด้านมืดของพอนเต้ก็ดูเหมือนจะถูกควบคุมเอาไว้เป็นอย่างดี
โรเอลไม่ได้คิดลึกลงไปถึงเรื่องนี้ เนื่องจากมันไม่ใช่เวลาอันเหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับอาการของนอร่า
มือของเธอกำลังลุกไหม้!
ต่อให้มีไข้สูงแค่ไหน มนุษย์ก็ไม่สามารถทำให้อุณหภูมิร่างกายของตัวเองสูงจนลุกไหม้ได้ แม้แต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ได้รับการเสริมพลัง ก็ไม่อาจทนต่ออุณหภูมิร่างกายระดับนั้น
นอร่ากำลังประสบปัญหาจากพลังทางสายเลือดอย่างนั้นเหรอ? ด้วยสภาพร่างกายของเธอในตอนนี้แล้ว…
“พวกเราวนเวียนอยู่ในหมอกนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ถึงคฤหาสน์เขาวงกตจะฟังดูน่ากลัว แต่มันก็โจมตีอะไรพวกเราไม่ได้ ตอนนี้พวกเราควรจะหาที่ซ่อนกันก่อน ไม่อย่างนั้นเราอาจจะไปปะทะเข้ากับคนอื่น ๆ อีก คราวนี้ฉันจะนำทางเอง”
เมื่อโรเอลพูดจบเขาก็ก้าวไปข้างหน้าของนอร่าที่กำลังอ่อนแอ แล้วส่องดูเส้นทางข้างหน้าด้วยดาบสั้นในมือ ทำให้เด็กสาวตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ เธอจ้องมองไปที่เด็กชายผมดำผู้กำลังเดินนำทางให้กับเธอ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากของนอร่าก็ผุดยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ดูเหมือนว่าข้าจะปกปิดมันเอาไว้ไม่ได้แล้วสินะ
จากนั้นเด็กสาวก็ปล่อยให้โรเอลนำทางเธอไป
โดยทั่วไปแล้ว นอร่าผู้ภาคภูมิจะไม่มีวันละทิ้งความเป็นผู้นำในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ และพร้อมที่จะมอบชีวิตของตนเพื่อปกป้องบุคคลอื่น เด็กสาวนั้นเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ เจตจำนงของเธอคือคำสั่งของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถชี้นำเธอได้ และไม่มีใครกล้าที่จะทำแบบนั้นด้วยเช่นกัน เพราะมันถือเป็นการต่อต้านและเป็นการไม่เคารพต่อตัวเธอ
อาจารย์สอนกลยุทธ์ของนอร่าเคยเตือนเอาไว้ว่าให้ป้องกันตัวเองจากใครก็ตามที่พยายามโน้มน้าวเจตจำนงของเธอ เพราะมันเป็นไปได้ว่าบุคคลนั้นมีความคิดที่จะทรยศ ซึ่งนอร่าก็เก็บคำพูดของเขาไว้ในใจ
ทว่าวันนี้ เมื่อโรเอลแสดงท่าที ‘ความคิดทรยศ’ ออกมา แล้วจับมือของนอร่านำทางเธอเดินไปรอบ ๆ ทำให้เด็กสาวรู้สึกว่าบางทีอาจารย์ของเธอก็ไม่ได้ถูกต้องไปทั้งหมด แม้ว่าความรู้สึกร้อนรนจะปกคลุมไปทั่วร่างกาย แต่รอยยิ้มก็ยังคงก่อตัวขึ้นบนริมฝีปากของเธอ
ช่างเป็นคนที่โง่อะไรอย่างนี้ ทั้งที่อ่อนแอมากแท้ ๆ แต่ก็ทำตัวเป็นวีรบุรุษ
ถึงแม้ค่ำคืนอันน่าสยดสยองนี้จะยังไม่สิ้นสุด แต่ความคิดของนอร่าที่มีต่อโรเอลก็ได้เปลี่ยนไปหลังจากได้เห็นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหมดที่เขาทำในวันนี้
ก่อนหน้านี้ นอร่าก็แค่สนใจโรเอลและอยากจะจับตาดูเขาที่ล่วงรู้ความลับของเธอ ประกอบกับเธอมีความสุขที่ได้มองเห็นใบหน้าอันหนักใจของโรเอลอย่างลับ ๆ แต่ตอนนี้ความตั้งใจของเธอนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้นอร่าอยากเก็บเขาเอาไว้ข้างกาย ตราบนานเท่านานเท่าที่จะทำได้