บทที่ 72: บุตรศักดิ์สิทธิ์
โรเอลไม่เคยคิดที่จะแสร้งทำดีกับนอร่า อันที่จริงแล้ว เขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเธอเสียด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้นอร่าคิดว่ามันเป็นเพราะเธอมีเสน่ห์ไม่พอ ทว่าปัจจุบันเมื่อเธอได้รับการปกป้องจากเด็กชายในเขาวงกตแห่งความสิ้นหวังนี้ เด็กสาวก็นึกขึ้นได้ว่ามันอาจจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น
นอร่าสัมผัสได้ว่าโรเอลนั้นไม่ได้รังเกียจเธอแต่อย่างใด เขาก็แค่ไม่ชอบประจบประแจงเธอเหมือนคนอื่น ๆ
โรเอลเป็นคนที่ดื้อรั้นมาก ระดับที่มันอาจจะถูกต้องกว่าหากบอกว่าเขาเป็นคนหยิ่ง เพราะแม้แต่องค์หญิงผู้สูงส่งแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิทอย่างนอร่าก็ยังไม่อาจสั่งให้เขายอมจำนนได้
กระนั้นเมื่อถึงยามอันตรายมาเยือน เด็กชายคนนี้กลับเป็นคนที่มีคุณค่ามากพอที่จะพึ่งพาไว้ใจฝากให้ระวังหลัง
นอร่ารู้สึกว่าจริง ๆ แล้วตัวตนลึก ๆ ของเธอและโรเอลนั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก
พวกเขาทั้งเปี่ยมไปด้วยความชอบธรรม ใจดี และหยิ่งผยอง ไม่ยอมจำนนให้แก่ใครในทุกสถานการณ์ ความจริงแล้วโรเอลนั้นมีทางเลือกอื่นให้ตัดสินใจอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ห้องแสดงศิลปะส่วนตัวของปีเตอร์ เคเตอร์ ในเวลานั้นไม่ได้มีเพียงแค่เจตจำนงของนอร่าเท่านั้นที่ถูกทดสอบ
เมื่อต้องเผชิญกับมือสังหารที่แข็งแกร่งและมีพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวเกินกว่าความสามารถของพวกเขาไปมาก แม้แต่นอร่าผู้ทรงพลังก็แทบจะไม่สามารถควบคุมความกลัวในใจของเธอได้ นับประสาอะไรกับโรเอลที่อ่อนแอกว่ามาก ทว่าเด็กชายกลับเลือกที่จะยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริงของตนอย่างดื้อรั้น ทำให้นอร่าดีใจมากที่ได้รู้ว่าเธอไม่ได้เลือกผู้ชายผิดคน
ตอนนี้ความปรารถนาของนอร่าไม่ได้มีเพียงแค่การเหยียบย่ำโรเอลเพื่อเติมเต็มนิสัยซาดิสม์ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกของเด็กสาวที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นกำลังก้าวหน้าไปในทิศทางที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจ
มันเป็นความรู้สึกอันอบอุ่นที่บางครั้งบางคราวก็รู้สึกคัน ๆ เล็กน้อย จิตใจของนอร่าร้อนร้นขึ้นมาเป็นช่วง ๆ ทว่ามันไม่ได้เกิดจากอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด เด็กสาวตระหนักได้ว่าตนเองค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะครอบครองเขา แม้ว่าเธอจะยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน แต่นอร่าก็พบว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรกับความรู้สึกนี้ได้
ทว่านอร่าแอบมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในใจ ที่คอยบอกเธอว่าตราบใดที่พวกเขาสองคนยังอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็อาจจะสามารถเอาชนะวิกฤติการณ์ในปัจจุบันที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ได้
ด้วยความที่นอร่าเป็นคนที่มีเหตุผลอยู่เสมอ เด็กสาวจึงรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับความคิดที่เธออธิบายไม่ได้นี้ มันสามารถเอาชนะความคิดตามหลักเหตุผลของเธอไปได้อย่างง่ายดาย
เสียงฝีเท้าของโรเอลที่หยุดชะงักลงโดยกะทันหัน ดึงนอร่าหลุดออกมาจากห้วงความคิด เธอเงยหน้าขึ้นมามองทำให้ได้เห็นโครงสร้างอันพร่ามัวของอาคารที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
โบสถ์
มันเป็นโบสถ์ที่มีขนาดเล็กกระจ้อยร่อย โดยมีรูปแบบการออกแบบของสถาปัตยกรรมแบบเก่า ตัวโบสถ์ถูกสร้างขึ้นจากหินเป็นส่วนใหญ่
แม้ว่าโครงสร้างบางส่วนจะประกอบด้วยไม้ที่ไม่ทราบที่มา แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้มีราคาแพงมาก ที่ประตูหลักแขวนแผงไม้ที่มีตราสัญลักษณ์โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างเอาไว้ ตะเกียงน้ำมันตรงทางเข้าไม่ได้ถูกจุดไฟ และเมื่อลมพัดผ่านเข้ามาอาคารทั้งหลังก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด
นอร่ามองตรวจสอบอาคารดังกล่าวอย่างระมัดระวัง ขณะที่ใบหน้าของโรเอลนั้นขมวดคิ้วขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ตึกนี้มันอะไรกัน?”
ท่ามกลางเงามืดและม่านหมอกที่ปกคลุม อาคารอันน่าสะพรึงกลัวนี้เหมือนเป็นสิ่งที่ผุดขึ้นมาจากนรก บรรยากาศรอบ ๆ มันช่างหนาวเหน็บจนแทบจะหยุดฝีเท้าของมนุษย์ที่เดินเข้ามาใกล้มันไว้กับที่
โรเอลมองไปรอบ ๆ จนสังเกตเห็นป้ายบอกตำแหน่ง ถนนโล้ค 42
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นโบสถ์เล็ก ๆ นะ”
นอร่ากล่าวก่อนจะก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างโรเอล
ตรงกันข้ามกับโรเอลที่ขมวดคิ้วอยู่ ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มแห่งความปิติยินดี สำหรับเธอแล้วดูเหมือนว่าโบสถ์แห่งนี้จะไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นัก
ลัทธิโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างนั้นใหญ่โตจนแทบจะครอบคลุมมนุษยชาติทั้งหมดได้ โดยในแต่ละประเทศล้วนมีขนบธรรมเนียมที่แตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้การตีความหลักคำสอนของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างของแต่ละที่จึงแตกต่างกัน นอกเหนือจากหลักการดั้งเดิมของลัทธิแล้ว โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างนั้นค่อนข้างที่จะยืดหยุ่นในประเด็นอื่น ๆ
ทว่าโดยรวม ๆ แล้ว คณะสาวกของลัทธิโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างสามารถจำแนกออกได้เป็นสองประเภท
ประเภทแรกคือนักพรตผู้เลื่อมใสในโบสถ์ พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างสำรวมเต็มไปด้วยข้อจำกัด อุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขา ในการทำความเข้าใจหลักคำสอนของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและให้ความรู้แก่มวลชน
ประเภทที่สองคือนักบวช พวกเขาได้รับอนุญาตให้แต่งงานได้และแทบไม่มีข้อจำกัดในการกระทำของพวกเขา ทว่าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา พวกเขาจะต้องตอบรับการเรียกของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขา
โดยพื้นฐานแล้วนักบวชของลัทธิโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง สามารถเลือกที่จะอยู่อย่างอิสระ หรือจะกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่รับค่าจ้างก็ได้ อาคารที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาคือโบสถ์สำหรับนักพรต… ซึ่งก็คือ โรงเรียนสาธารณะ
มันมีขนาดเล็กและความรู้ที่พวกเขาสั่งสอนที่นี่ก็ค่อนข้างตื้นเขิน นักพรตและแม่ชีที่อาศัยอยู่ที่นี่ ทำหน้าที่คอยสั่งสอนผู้คนในละแวกนั้นในการดำรงชีวิต ค่าเล่าเรียนของโรงเรียนสาธารณะนั้นค่อนข้างถูก มันจึงเป็นมิตรกับคนหมู่มากและเป็นทางเลือกในการศึกษาที่ดีสำหรับชนชั้นล่าง
“การออกแบบสถาปัตยกรรมนี้ดูเหมือนจะมาจากยุคของจักรพรรดิพอลที่ 3 มันน่าจะมีอายุอย่างน้อย ๆ ก็ 300 ปี หากอ้างอิงจากช่วงเวลาปัจจุบันที่พวกเราอยู่ โบสถ์ขนาดเล็กที่สามารถอยู่รอดมานานถึงขนาดนี้นั้นหาได้ยากมาก”
แก้มของโรเอลกระตุกเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดรับรองของนอร่า ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ทูตสวรรค์ตัวน้อยผู้สูงศักดิ์ของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจะมีความประทับใจในเชิงบวกต่อโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและโบสถ์ในเครือเดียวกัน ต่างจากเขา
สำหรับเด็กชายแล้ว เมื่อมองไปที่อาคารอันเก่าแก่ทรุดโทรมแห่งนี้ เขามีแต่ความรู้สึกกลัวจนตัวสั่น เหงื่อเย็น ๆ ไหลไปตามกระดูกสันหลัง
“เธอคิดว่าพวกเราควรจะเข้าไปในโบสถ์แห่งนี้งั้นเหรอ?”
“อืม ข้าคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีเลยหากเราจะเข้ามาหลบที่นี่ ถึงตัวอาคารอาจจะดูเก่าแต่มันก็ยังมั่นคง อีกทั้งยังไม่มีร่องรอยของการสู้รบรอบ ๆ มันด้วย
ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีการปะทะกันครั้งใหญ่ในแถบพื้นที่นี้ ข้าคิดว่าที่นี่น่าจะปลอดภัย อีกทั้งโบสถ์เก่าแก่เช่นนี้มักจะทำการบริจาคของต่าง ๆ ให้ชุมชน ที่นี่น่าจะมีเสบียงและเสื้อผ้าที่พวกเราต้องการ”
การวิเคราะห์โดยละเอียดของนอร่าอธิบายเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงควรเข้าไปหลบในโบสถ์ ทำให้โรเอลสูญเสียคำพูดที่จะหักล้างเธอไปโดยปริยาย เด็กชายสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะรวบรวมความกล้าเพื่อก้าวไปข้างหน้า
“ตามฉันมา”
“ได้เลย”
โรเอลเดินเข้าไปใกล้โบสถ์อย่างระมัดระวัง เขาเดินผ่านตะเกียงน้ำมันที่แกว่งไปมาตามสายลม สำรวจบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด จากนั้นก็พยายามจะผลักประตูของโบสถ์ให้เปิดออก
“มันล็อคอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่ข้างใน”
“ไม่เป็นไร ข้าว่าพวกเขาไม่น่าจะเป็นทหาร ไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนเฝ้ายามอยู่ข้างนอก”
หลังจากการพูดคุยกันอย่างรวดเร็ว โรเอลและนอร่าสรุปได้ว่าคนที่อยู่ข้างในอาจเป็นนักพรตและแม่ชีที่อาศัยอยู่ในโบสถ์ ความเสี่ยงนั้นไม่ได้สูงเกินไป
นอร่าจึงก้าวไปข้างหน้าแล้ววางมือบนรอยแยกระหว่างประตูปล่อยแสงสว่างให้ไหลออกมาจากฝ่ามือของเธอ สร้างใบมีดแสงออกมาตัดสลักไม้ที่ล็อคประตูออก
ปัง!
ประตูถูกผลักเปิดเข้าไปด้านใน
“อา! จ..เจ้า…”
ไม่ทันที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในโบสถ์ เสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นจากด้านหลังประตู โรเอลหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะพบว่าเขาคนนั้นเป็นชายวัยกลางคนผมสีส้มดูผอมเพรียวอยู่ในชุดของนักพรต
“อ..อย่าฆ่าข้าเลย… อ่า? พวกเจ้าทั้งสองคน… ไม่ใช่ทหารหรอกเหรอ?”
นักพรตเคราส์ คุกเข่าลงบนพื้นขณะที่อ้อนวอนขอความเมตตา แต่หลังจากผ่านไปได้ครึ่งทาง เขาสังเกตเห็นว่าร่างทั้งสองที่เดินผ่านประตูนั้นสั้นและเล็กกว่าที่ตนคาดไว้ พวกเขาไม่ใช่ทหารแต่เป็นเด็ก!
แสงอันนุ่มนวลภายในห้องทำให้เสื้อผ้าหรูหราที่เด็กทั้งสองคนสวมใส่เด่นชัดขึ้นมา เด็กชายผมดำ ตาสีทองผู้ดูอ่อนโยนถือดาบสั้นสีเงินอยู่ในมือ และเด็กสาวผมสีทองที่มีดวงตาสีไพลินเปล่งบรรยากาศแห่งความสง่างามออกมาพร้อมกับแสงจาง ๆ รอบตัวเธอ
การปรากฏตัวของพวกเขาทำให้เคราส์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา
เดี๋ยวก่อนนะ ภาพนี้ดูคุ้น ๆ แปลก ๆ … นี่มันคล้ายกับตำนาน บุตรศักดิ์สิทธิ์ เลยนี่นา?!
เคราส์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดภาพของบุตรศักดิ์สิทธิ์ไว้ในโบสถ์
ภาพจิตรกรรมฝาผนังกล่าวถึงตำนานว่า ในช่วงเวลาที่โลกเต็มไปด้วยสงครามและความทุกข์ทรมาน เทพีเซียได้ส่งทูตสวรรค์สองคนมายังโลกมนุษย์ เพื่อรับฟังความยากลำบากของมนุษยชาติ ทูตสวรรค์ทั้งสองคนนั้นเป็นเด็กชายและเด็กหญิง ทั้งงดงาม ฉลาด และใจดี พวกเขาออกเดินทางเพื่อฟังความทุกข์ยากของมนุษย์ และเสนอทางรอดให้แก่พวกเขา
เคราส์จ้องไปที่เด็ก ๆ ทั้งสองคนเบื้องหน้าเขา ทันใดนั้นท่าทางอันตื่นเต้นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แสงสีเขียวเริ่มปรากฏขึ้นเหนือหัวของเขา …หรืออย่างน้อย ๆ นั่นก็คือสิ่งที่โรเอลเห็น
(แต้มความสนใจ +100!)
(แต้มความสนใจ +100!)
…
ยิ่งไปกว่านั้นจู่ ๆ เคราส์ ก็เริ่มสรรเสริญเทพีเซีย โดยพูดถึงความเมตตาของเทพีเซียที่ได้ส่ง บุตรศักดิ์สิทธิ์ ลงมาสู่โลก พร้อมกับเรื่องไร้สาระที่เข้าใจยากมากมาย
การกระทำที่ตีโพยตีพายของนักพรต ทำให้โรเอลและนอร่าตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“ไม่ ๆ เดี๋ยวก่อน…”
เด็กทั้งสองคนต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะสามารถหยุดอาการตื่นเต้นของเคราส์ และอธิบายชะตากรรมของพวกเขาให้อีกฝ่ายฟังได้
เคราส์พยักหน้าหลังจากที่ได้ยินคำอธิบาย เหมือนยอมรับในเรื่องราว แต่ความเคารพที่เขามีต่อทั้งสองคนก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง
เพราะว่าเคราส์นั้นมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเด็ก ๆ ทั้งสองคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา นั่นก็คือดาบสั้นที่เด็กชายถืออยู่!
แม้ว่าเด็กชายจะพยายามซ่อนมันเอาไว้เป็นอย่างดี แต่เคราส์ก็ดูออกว่าตัวตนที่แท้จริงของดาบสั้นนั้นคืออะไร ผ่านสายตาอันเฉียบคมของเขา
มันเป็นหนึ่งในอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รับเกียรติให้เข้าไปดูใกล้ ๆ เมื่อสิบปีที่แล้ว ในตอนที่โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจัดการเทศนาครั้งใหญ่สำหรับนักพรตทุกคนขึ้นในเมืองหลวงอันศักดิ์สิทธิ์
ส่วนทางด้านเด็กสาวนั้นน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่าเคราส์จะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นได้ถึงแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมตัวของเด็กสาว
ในตอนที่เธอตัดสลักประตูออกด้วยแสง การควบคุมพลังเวทอันเชี่ยวชาญเช่นนั้นสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ครอบครองคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด นั่นหมายความว่าเด็กสาวจะต้องมีระดับแก่นแท้ อย่างน้อย ๆ ก็ระดับแก่นแท้ 5
ยิ่งไปกว่านั้นความบริสุทธิ์ของแสงที่เปล่งออกมายังยิ่งใหญ่กว่าของอัครสาวกส่วนใหญ่ที่เขารู้จักเสียอีก
พลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้จะอยู่ในมือของเด็กอายุเพียงสิบปีได้อย่างไรกัน?
ทั้งอาวุธศักดิ์สิทธิ์และพลังเหนือธรรมชาติขั้นสูง แบบนี้พวกเขายังอ้างว่าเป็นเพียงเด็กจากตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์ธรรมดา ๆ ได้อีกเหรอ? ใช่ ใช่ อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ
(แต้มความสนใจ +100!)
เคราส์ผงกศีรษะอย่างเงียบ ๆ ต่อทุกสิ่งที่เด็กชายและเด็กหญิงตรงหน้าเขาพูดออกมา ขณะที่ภายในใจเขา มีเพียงแค่ความรู้สึกยินดีที่ได้เห็นการปลอมตัวของบุตรศักดิ์สิทธิ์
โอ้ เทพีเซียผู้ยิ่งใหญ่ แสงของพระองค์ได้สาดส่องลงมาที่ข้ากระผมแล้ว!