บทที่ 75: รุ่นก่อน
“ฝ่าบาทขอรับ ถึงเวลาที่ท่านควรจะตื่นได้แล้ว”
อัศวินชุดเกราะผมสีทองเดินเข้ามาในห้องนอนของที่พักธรรมดา ๆ แห่งหนึ่ง เพื่อปลุกชายหนุ่มที่กำลังนอนกรนอย่างแผ่วเบาบนเตียงให้ตื่นขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเรียกชายหนุ่มก็ลืมตาและลุกขึ้นนั่งอย่างสงบ
เขามีผมสีทองเงางามและใบหน้าอันสง่างาม แต่สิ่งเหล่านี้กลับทำให้ดวงตาสีไพลินอันคมกริบเคร่งขรึมของเขาอ่อนลง ทันทีที่ชายหนุ่มสวมชุดเกราะเบา เขาก็เปล่งบรรยากาศแห่งความองอาจออกมา
เวต เซไซต์ ผู้สืบทอดบัลลังก์ลำดับแรกของจักรวรรดิเซนต์เมซิท อีกทั้งยังเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพฝ่ายปฏิวัติ
“เฟลเดอร์ ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“ 6 โมงเย็นแล้วขอรับ ฝ่าบาท”
“เข้าใจแล้ว… จะว่าไปแล้ว มันจำเป็นต้องให้คนระดับมาร์ควิสอย่างเจ้า มาปลุกข้าด้วยงั้นหรือ?”
เวตตอบขณะมองไปยังอัศวินหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
คนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องอาจจะคิดว่าอัศวินหนุ่มคนนี้เป็นเพียงทหารองครักษ์ทั่ว ๆ ไปที่ทำหน้าที่ดูแลองค์ชายเวต แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นถึงหนึ่งในผู้มีอำนาจของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ผู้ครอบครองกองกำลังทหารมหาศาล
อัศวินคนนี้คือ เฟลเดอร์ เอลริก ผู้นำของตระกูลมาร์ควิสเอลริก หนึ่งในห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงอันโด่งดัง แม้ว่าเฟลเดอร์จะมีอายุได้เพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้น แต่เขาก็เป็นถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 อันทรงพลัง อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาและเพื่อนสนิทที่สุดของเวตอีกด้วย
ไม่ว่าจะในอาณาจักรไหน ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่สามารถไปถึงระดับแก่นแท้ 3 ได้ ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพลังเวทชั้นยอด ช่องว่างระหว่างระดับแก่นแท้ 3 และแก่นแท้ระดับ 4 นั้นกว้างมาก ทำให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหลายหมื่นไม่สามารถเอาชนะขอบเขตดังกล่าวได้สำเร็จ
เฟลเดอร์เป็นอัจฉริยะที่สามารถบรรลุระดับแก่นแท้ 3 ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย พรสวรรค์ของเขาอยู่ในอันดับต้น ๆ ในหมู่แวดวงขุนนาง ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเอลริกยังเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงอีกด้วย ทำให้เฟลเดอร์เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในจักรวรรดิเซนต์เมซิท
ถึงกระนั้นเฟลเดอร์ก็ยังคงแสดงความเคารพต่อชายหนุ่มที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล อัศวินหนุ่มตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับไปพร้อมวางกำปั้นไว้บนหน้าอกแล้วโค้งคำนับ
“มันเป็นเกียรติของข้าที่ได้ทำหน้าที่นี้ขอรับ”
เฟลเดอร์พูดด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ
แม้ว่าอัศวินหนุ่มจะถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะจากคนรอบข้าง แต่เมื่อเทียบกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ความสำเร็จทั้งหมดที่ผ่านมาของเฟลเดอร์ก็กลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่อาจเทียบกันได้เลย
เวต เซไซต์ เป็นบุคคลที่มีความสามารถมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เขาได้สำเร็จวิชาศิลปะการต่อสู้จากหนึ่งในอัศวินของอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ นอกจากนี้ชื่อเสียงของเขายังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่นักปราชญ์ในอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลด้วยเช่นกัน เมื่ออายุของเวตมาถึงวัย 18 ปี เขาก็ได้ไปถึง ระดับแก่นแท้ 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชายคนนี้คู่ควรแก่การสวามิภักดิ์รับใช้ของเฟลเดอร์ นอกจากนี้เวตยังมีความทะเยอทะยานและความฝันเดียวกันกับเขาอีกด้วย
“เรื่องการตามหาตัววิกตอเรียเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังไม่มีความคืบหน้าในขณะนี้ขอรับ ตามที่คาดไว้ นางหนีออกไปซ่อนตัวกับพอนเต้ ข้าเชื่อว่านางไม่มีความตั้งใจอยากจะต่อสู้กับพวกเราอีกต่อไปแล้วขอรับ”
เวตรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นหลังจากที่ได้พักผ่อนไปสองชั่วโมง เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นบริเวณที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกห่างออกไปไม่ไกลนัก
นับตั้งแต่พอนเต้ร่ายคาถาเวทสร้างเขาวงกตแห่งหมอกนี้ขึ้นมา เวตและเฟลเดอร์ต่างก็ได้นอนเพียง 2 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น พวกเขาผลัดกันนำกองทัพเข้าไปในเขาวงกตเพื่อตรวจสอบพื้นที่ โดยเฟลเดอร์รับหน้าที่เป็นกะเช้า และเวตรับหน้าที่กะกลางคืน พวกเขาต่างผลักดันตัวเองให้ก้าวข้ามขอบเขตของตนจนหมดแรง แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการกับฐานที่ตั้งของศัตรูได้เสียที
“เวลาไม่ได้อยู่ข้างพวกเรา ข้าไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อออกไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว มันจะเกิดปัญหาขึ้นได้หากพระสังฆราชกลับมาได้ทัน เจ้ามีความคิดดี ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์นี้หรือไม่เฟลเดอร์?”
“ไม่ขอรับฝ่าบาท ข้าเองก็ยังคิดอะไรไม่ออก…”
“ฝ่าบาท มีรายงานฉุกเฉินจากกองทหารขอรับ!”
จู่ ๆ ก็มีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะคำพูดของเฟลเดอร์ ทว่าทั้งสองคนก็ไม่ได้อารมณ์เสียกับเรื่องนี้แต่อย่างใด มีเพียงรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าไม่มีศัตรูอยู่ในเขาวงกต ดังนั้นรายงานเหตุฉุกเฉินของทหาร จึงไม่น่าจะเกี่ยวกับการโจมตีได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ…
“ในส่วนลึกของถนนโล้ค พวกเราพบปฏิกิริยาพลังสายเลือดของราชวงศ์ขอรับ มันคือปฏิกิริยาขององค์หญิงวิกตอเรีย!”
…
“เกิดอะไรขึ้น? อุปกรณ์เวททำงานผิดปกติไปอย่างนั้นเหรอ?”
ในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ชายผมดำมองลงไปที่อุปกรณ์เวทตรวจจับบนโต๊ะพร้อมขมวดคิ้ว
อุปกรณ์เวทติดตามพลังสายเลือดราชวงศ์ชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์เวทอันล้ำค่า มีเพียงสามคนในโลกเท่านั้นที่มีมันในครอบครอง และชิ้นที่ชายคนนั้นถืออยู่ในมือก็เป็นอุปกรณ์เวทขององค์หญิงวิกตอเรีย เซไซต์
หรือก็คือ มันเป็นสมบัติที่ลูกศิษย์ของเขาครอบครอง
ชายผมดำคนนี้คือ พอนเต้ แอสคาร์ด ผู้นำของตระกูลแอสคาร์ด ผู้เลือกที่จะเข้าข้างลูกศิษย์ของตนในสงครามกลางเมืองครั้งนี้ ด้วยความช่วยเหลือของเขา พวกเขาจึงสามารถสร้างแนวป้องกันสุดท้าย และรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์เอาไว้ได้
น่าเสียดายที่อีกไม่นาน แนวตั้งรับนี้ของพวกเขาก็จะต้องพังทลายลงในที่สุด
ไม่มีอะไรที่พอนเต้สามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ องค์ชายเวตนั้นเป็นคู่ต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัว อีกทั้งเขายังได้รับการสนับสนุนจากผู้นำตระกูลเอลริก ซึ่งทำให้กองกำลังของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ว่าพอนเต้จะไปได้ถึงจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ 3 จนใกล้จะไปถึงระดับแก่นแท้ 2 แล้ว แต่พอนเต้ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่มีความสามารถเยี่ยมยอดจริง ๆ
ใช่แล้ว ช่างแตกต่างจากองค์หญิงนิสัยเสียที่มีบุคลิกน่ารังเกียจคนนี้มาก! พอนเต้โต้กลับในใจขณะที่เขากำลังแอบมองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างหลังตน
เธอเป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับทูตสวรรค์ รูปลักษณ์ที่สวยงาม และท่าทางอันสง่างามของหญิงสาวทำให้เธอกลายเป็นภาพเงาอันน่าจดจำในใจของใครหลายคน
ดวงตาของพอนเต้ มองตรวจสอบโฉมงามผู้หลับใหลตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ ออกมาแล้วเริ่มจดบันทึก
วิกตอเรียในปัจจุบันนั้นยังคงงดงามเหมือนนางฟ้าเช่นเคย เพียงแต่หน้าอกของเธอไม่มีการพัฒนาเลยในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ช่างน่าเสียดาย
หลังจากเขียนคำเหล่านั้นเสร็จสิ้นแล้ว พอนเต้ก็ปิดสมุดบันทึกแล้วถอนหายใจออกมา การกระทำของเขาอาจดูแปลก ๆ สำหรับคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ใช่ ‘บุรุษแห่งวัฒนธรรม’ ที่ชอบเขียนบันทึกโรคจิตแต่อย่างใด!
มันคือราคาที่เขาต้องจ่ายสำหรับคาถาเวท ในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติต้องจ่ายราคาสำหรับพลังเหนือธรรมชาติของพวกเขา ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายมักจะต้องคร่าชีวิตผู้อื่นเป็นค่าแลกเปลี่ยน ในขณะที่พวกลัทธินอกรีตต่างก็มีราคาที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละกรณี หากเทียบกันแล้วคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักสามประการที่เหมาะสมกับมนุษย์นั้นมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่ามาก
สำหรับพอนเต้ ค่าใช้จ่ายของเขาก็คือการบันทึก ‘ความจริง’ ลงในสมุด ทว่า ปัญหาก็คือ ‘ความจริง’ ที่เขาต้องบันทึกนั้นไม่ใช่เพียงแค่การบันทึกเหตุการณ์ธรรมดา ๆ แต่จะต้องเป็นความจริงในมุมมองความต้องการของผู้ชาย
“เจ้าเขียนเรื่องพวกนั้นอีกแล้วเหรอ?”
เสียงกระซิบที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ร่างกายของพอนเต้แข็งทื่อ องค์หญิงวิกตอเรียตื่นขึ้นแล้ว พร้อมมองมาที่เขาอย่างสนุกสนาน พลางใช้แขนยกศีรษะของตัวเองขึ้น
“การที่เจ้าสนใจในเรือนร่างของลูกศิษย์ ช่างเป็นอะไรที่โรคจิตเสียจริง สักวันหนึ่งข้าอยากที่จะได้ยินเนื้อหาในสมุดบันทึกนั่นจากปากของเจ้าเป็นการส่วนตัวจริง ๆ”
หญิงสาวผมทองกล่าวด้วยรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าของเธอ
พอนเต้สูดหายใจเข้าลึก ๆ แทนคำตอบ ลูกศิษย์ของเขาเป็นคนที่น่าทึ่งมากจริง ๆ เธอมีทั้งความสามารถและอุปนิสัยที่จะบรรลุเป็นผู้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ปัญหามีเพียงแค่ว่าเธอนั้นมีนิสัยซาดิสม์แปลก ๆ ที่ชอบเห็นเขาอยู่ในสภาพที่ทรมานหรือหนักใจในปัญหาต่าง ๆ
“หืม เป็นการแสดงออกที่ดีทีเดียว ข้าก็อยากจะหยอกล้อกับเจ้าต่อนะ แต่พอไว้แค่นี้ก่อนดีกว่า วันนี้ข้าจะระงับตัวเองไว้ชั่วคราวให้ก็ได้”
เมื่อเห็นว่าวิกตอเรียตัดสินใจที่จะหยุดการหยอกล้อของเธอ พอนเต้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมวางปากกาลงแล้วหันไปหาเธอ
“วิกตอเรีย มาดูนี่สิ อุปกรณ์เวทของเจ้าดูเหมือนจะตรวจเจออะไรบางอย่าง”
“อะไรนะ?”
วิกตอเรียลุกขึ้นไปดูอุปกรณ์เวทบนโต๊ะ คิ้วของเธอค่อย ๆ ขมวดลงเมื่อได้เห็นจุดสีแดงสองจุด
“ถนนโล้คงั้นเหรอ? นี่มันใครกันแน่?”
วิกตอเรียพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย