บทที่ 76: การเผชิญหน้าครั้งแรก
ในที่สุดก็เจอเงื่อนงำสำหรับการออกไปจากยุคนี้ซะที!
โรเอลมองไปที่การนับถอยหลังบนอินเทอร์เฟซของระบบพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของเขาและนอร่าจะเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ชั่วคราวเท่านั้น มันน่าจะคล้ายกับระบบ ‘ดันเจี้ยน’ ในเกมที่เขาเคยเล่นในอดีต
ส่วน ‘ดันเจี้ยน’ นี้มีไว้เพื่ออะไรนั้น…
【การฟื้นฟูพลังสายเลือดดั้งเดิม ดำเนินการไปแล้ว : 60%】
เด็กชายมีความรู้สึกว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ การประเมินที่เขียนไว้ในระบบอาจเป็นตัวกำหนดว่าเขาจะได้รับพลังเท่าไหร่จากการฟื้นฟูพลังทางสายเลือด เหมือนกับที่รางวัลในดันเจี้ยนมักจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการเล่นของผู้เล่นว่าทำได้ดีเพียงใด
“ระบบ การประเมินขึ้นอยู่กับอะไร?”
【การประเมินขึ้นอยู่กับการกระทำ การตัดสินใจ ความสำเร็จ และปัจจัยอื่น ๆ ของผู้ใช้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะระบุปัจจัยที่แน่นอนเกี่ยวกับการประเมินนี้】
“เข้าใจแล้ว ฉันน่าจะมีภารกิจบางอย่างที่ต้องทำเป็นพิเศษสินะ แล้วผู้แสวงหาราชาหมายถึงอะไร?”
【ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ผู้ใช้เลือก สิทธิ์ในการเลือกนั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ระบบจะไม่มีการบังคับให้ผู้ใช้ดำเนินการใด ๆ เพียงแต่แนะนำให้ผู้ใช้ปฏิบัติตามเจตจำนงของตระกูลแอสคาร์ด เนื่องจากมันจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูพลังสายเลือดดั้งเดิมของผู้ใช้】
“เจตจำนงของตระกูลแอสคาร์ด? มันคืออะไรล่ะ?”
โรเอลพึมพำอย่างครุ่นคิดกับคำพูดของระบบ
เด็กชายไม่มีเงื่อนงำเลยว่ามันคืออะไร มาร์ควิสคาร์เตอร์ไม่เคยพูดถึงเจตจำนงของตระกูลแอสคาร์ด การบรรยายตามปกติของเขามีเพียงเรื่องปกติทั่วไปเกี่ยวกับวิธีที่ขุนนางควรปฏิบัติตัวและเรื่องอื่น ๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลย….
“ปัญหานี้มันไม่ยากเกินไปหน่อยเหรอ? พอจะมีเบาะแสให้ฉันหน่อยไหม?”
【ไม่มีคำตอบที่แท้จริงสำหรับคำถามของหัวใจ นอกจากนี้ ระบบยังแนะนำให้ผู้ใช้พยายามปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง…】
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
โรเอลตอบพร้อมกับโบกมือราวกับจะกวาดล้างความซ้ำซากจำเจของระบบ
เด็กชายเอาพรมไปวางไว้บนโครงเตียงไม้ทำเป็นที่นอน แล้วลงไปนอนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีคำตอบใดผุดขึ้นมาในหัวเลย ท้ายที่สุดแล้วโรเอลจึงทำได้เพียงคว้าน้ำเหลว ตัดใจโยนคำถามดังกล่าวทิ้งไป
เด็กชายจ้องไปที่เลข 60% บนอินเทอร์เฟซของระบบ ก่อนจะลองคำนวณอย่างรวดเร็วว่าเหลือเวลาอีกนานแค่ไหนกว่าเวลาที่นับถอยหลังจะหมดลง
เมื่อพิจารณาว่าการมาถึงของพวกเขาเป็นช่วงเช้าตรู่ และหลังจากการสนทนากับเคราส์ที่นี่ก็เป็นเวลามืดค่ำจนดึกแล้ว มันจึงมีโอกาสที่การฟื้นฟูพลังสายเลือดของเขาจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อเขาลืมตาขึ้นในตอนเช้าวันพรุ่งนี้!
“อืม ถ้ามันง่ายขนาดนั้นล่ะก็”
โรเอลถอนหายใจ
เด็กชายรู้ดีว่าการฟื้นฟูพลังสายเลือดไม่ใช่อะไรที่สามารถทำได้ง่าย ๆ เช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระบบคำนวณว่ามัน ‘อันตรายอย่างยิ่ง’ และมีอัตราที่จะสำเร็จเพียงแค่ 70% ข้อมูลสองอย่างนี้ทำให้อารมณ์ฮึกเหิมของโรเอลลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้ง ๆ ที่เขาได้ฟื้นฟูพลังสายเลือดมาแล้วครึ่งทาง แต่กลับยังสัมผัสไม่ได้ถึงพลังอะไรเลยสักอย่าง เด็กชายจึงไม่แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น หรืออันตรายยังมาไม่ถึงกันแน่ แต่ไม่ว่าจะในกรณีใด สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงเตรียมใจให้พร้อมยอมรับกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
ตอนนี้โรเอลได้ทุ่มทุกอย่างให้กับโชคแล้ว เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เกี่ยวกับการฟื้นฟูพลังสายเลือด ซึ่งเขาเองก็ได้เตรียมใจยอมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้วนับตั้งแต่ที่ตัดสินใจเลือกที่จะฟื้นฟูพลังสายเลือดของตัวเอง
ทว่าโรเอลก็ยังมีเวลาอีกตั้ง 73 ชั่วโมง ก่อนที่ ‘ดันเจี้ยน’ แห่งนี้จะสิ้นสุดลง มีอะไรที่เขาจำเป็นต้องทำรึเปล่า? แล้ว’ผู้เฝ้ามอง’ที่ระบบกล่าวถึงคืออะไรกันแน่?
โรเอลครุ่นคิดพลางจ้องมองไปยังตัวเลขบนอินเทอร์เฟซของระบบ ระหว่างที่เขากำลังใช้ความคิดอยู่นั้น สติของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไป จนกระทั่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
…
อีกด้านหนึ่ง ปีเตอร์ เคเตอร์กำลังกัดฟันกรอด เขาใช้สองมือจับดาบที่ปักอยู่ตรงต้นขาแล้วดึงมันออก นักฆ่าผมดำร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดขณะที่เลือดทะลักไปทั่วเสื้อผ้าของเขา
การถูกตัดหลอดเลือดแดงที่ต้นขานั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ การสูญเสียเลือดไปจำนวนมากอาจทำให้มนุษย์ทั่วไปเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ทว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นมีหลายวิธีที่จะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับผู้ที่มีความสามารถด้านการฟื้นฟู อาการบาดเจ็บเช่นนั้นไม่ได้เป็นภัยคุกคามสำหรับพวกเขา แต่สำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ไม่มีคาถาเวทหรือความสามารถดังกล่าว พวกเขาก็สามารถที่จะควบคุมร่างกายของตนเองเพื่อลดการสูญเสียเลือดลงได้
สำหรับผู้ที่มีพลังระดับแก่นแท้ 4 อย่างปีเตอร์แล้ว แน่นอนว่าเขาสามารถทำแบบนั้นได้สบาย ๆ
“โอ้ย! บ้าเอ๊ย! ไอ้พวกเด็กเวรสองคนนั่น!”
ปีเตอร์สบถสาปแช่งพร้อมจับต้นขาของตัวเองไว้แน่น
นักฆ่าส่งพลังเวทของตนให้กระจายออกไปด้านนอก จากนั้นภาพวาดสามภาพก็ปรากฏขึ้นรอบ ๆ ตัวเขา หนึ่งในนั้นคือภาพวาด ‘รอยยิ้มของมารดา’ ที่โรเอลและนอร่าเคยได้เห็นมาก่อน ภาพวาดที่สองเป็นภาพกลุ่มเด็กผู้หญิงที่กำลังอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำ และภาพสุดท้ายเป็นขุนนางหญิงสูงศักดิ์ที่กำลังลากสุนัขเลี้ยงของเธอด้วยสายจูง
ภาพวาดทั้งสามนี้ดูราวกับภาพที่หลุดออกมาจากส่วนลึกของขุมนรก ตัวละครทุกตัวในภาพวาดล้วนมีช่องกลวงขนาดใหญ่ที่ ตา จมูก หู และปากของพวกเขา
ในภาพวาดที่สอง แม่น้ำที่เหล่าหญิงสาวกำลังอาบน้ำอยู่ถูกแทนที่ด้วยเลือด ส่วนภาพวาดที่สาม สุนัขที่สวมสายจูงเต็มไปด้วยหนองนองเลือดบนใบหน้าของมัน และหญิงสูงศักดิ์ที่ถือสายจูงก็มีรูปร่างดูเหี่ยวแห้งเหมือนซากศพ
ดวงตาอันแดงก่ำของปีเตอร์ เคเตอร์มองไปมาอย่างสั่นไหวท่ามกลางภาพวาดทั้งสาม เขามองดูแผลลึกบนไหล่และต้นขาของตน แล้วจึงกัดฟันและร่ายคาถาเวทลงบนภาพวาดหญิงสาวที่กำลังอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำสีเลือด
【แพะรับบาป
ย้ายบาดแผลที่ได้รับไปยังผลงานศิลปะ】
นี่เป็นคาถาเวทฟื้นฟูที่ไม่เหมือนใครอื่นของปีเตอร์ เคเตอร์ แม้ว่าจะมีคาถาที่คล้าย ๆ กันอยู่มากมายในหมู่ผู้คลั่งไคล้ลัทธิชั่วร้ายด้วยกัน แต่คาถาเหล่านั้นก็ยังแตกต่างจากคาถาของเขา
ทันใดนั้นละอองเลือดก็พุ่งออกมาจากภาพวาดที่ปีเตอร์เลือกไว้ บาดแผลลึกปรากฏขึ้นที่ต้นขาของหญิงสาวผู้ที่กำลังอาบน้ำ เธอแผดเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดออกมาพร้อมกับสีของแม่น้ำที่แดงก่ำยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันอาการบาดเจ็บของปีเตอร์ก็เริ่มฟื้นตัว สักพักหนึ่งบาดแผลที่ต้นขาของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยมือจากต้นขาของตนช้า ๆ
แม้ว่าแพะรับบาปจะเป็นคาถาเวทพิเศษที่ทรงพลัง แต่มันก็มีข้อจำกัดเช่นกัน หลังจากถ่ายความเสียหายไปแล้ว เขาจะไม่สามารถใช้ภาพวาดดังกล่าวได้ถึงสัปดาห์หน้า ยิ่งไปกว่านั้นคาถานี้สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของเขาจึงยังคงอยู่
ปีเตอร์ เคเตอร์เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาประเมินดูสภาพของภาพวาดอีกสองภาพที่ลอยอยู่กลางอากาศ สีสันของภาพ ‘รอยยิ้มของมารดา’ ดูซีดกว่าเมื่อก่อนมาก และขุนนางหญิงสูงศักดิ์ที่จูงสุนัขก็ดูบิดเบี้ยวไปมากเช่นกัน การต่อสู้ครั้งก่อนสร้างความเสียหายรุนแรงไม่เพียงแค่กับตัวของปีเตอร์เท่านั้น แต่รวมถึงภาพวาดของเขาด้วย
“ข้าต้องหาผิวหนังของหญิงสาวมาเพิ่ม ไม่อย่างนั้นละก็…”
ปีเตอร์พึมพำกับตัวเอง
ความแข็งแกร่งของปีเตอร์มีรากฐานมาจากงานศิลปะของเขา ทว่างานศิลปะเหล่านี้ไม่ได้ไร้เทียมทาน พวกมันเปราะบางราวกับงานศิลปะทั่วไป เพื่อที่จะรักษาพวกมันเอาไว้ ปีเตอร์จะต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตที่คล้าย ๆ กับตัวละครในภาพวาดของเขา ใช้หนังของเหยื่อมารักษาสภาพของพวกมัน
นี่เป็นที่มาของฉายา นักแล่หนัง ของปีเตอร์
นักฆ่าผมดำไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน รู้เพียงแค่ว่าบริเวณนี้กำลังอยู่ในช่วงสงคราม มีกองทหารจำนวนมากคอยลาดตระเวนทั่วทุกพื้นที่ และผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายเช่นเขา ย่อมไม่สามารถเปิดเผยตัวตนให้ใครเจอได้ ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่เขาพบใครสักคน การต่อสู้ก็จะเกิดขึ้น
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือบริเวณนี้ไม่มีผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว นั่นหมายความว่าปีเตอร์ไม่สามารถซ่อมแซมภาพวาดของเขาได้ สิ่งนี้ทำให้ปีเตอร์กังวลเป็นอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่นักฆ่ารู้สึกเสียใจที่รับภารกิจมา ทว่าเขาโกรธเด็กชายที่ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มากกว่าหลายเท่า
“ไอ้เด็กสารเลวนั่น! ถ้าไม่ใช่เพราะมันละก็… บัดซบ ข้าขอสาบานเลยว่า ข้าจะถลกหนังมันทั้งเป็นและเอาเลือดของมันมาเติมภาพวาดของข้า!”
แค่นึกถึงโรเอลก็เกินพอแล้วที่จะทำให้ปีเตอร์ขยี้ผมอย่างบ้าคลั่ง ความบ้าคลั่งอันรุนแรงของนักฆ่าทำให้เกิดความหวาดกลัวแก่ผู้พบเห็น แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็สงบสติอารมณ์ลงได้อีกครั้ง
“ใช่แล้ว ข้าต้องหาพวกมันให้เจอ ข้าจะฆ่าเด็กเหลือขอพวกนั้นเพื่อระงับความโกรธแค้นของข้า ตระกูลแอสคาร์ดมีสายเลือดและประวัติอันยาวนาน ถ้าข้าใช้เขาสร้างภาพวาด ข้าก็น่าจะไปถึงระดับแก่นแท้ 3 ได้ไม่ยาก จากนั้นทหารพวกนั้นก็จะไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวก!”
ปีเตอร์กัดฟันแน่นพลางพึมพำกับตัวเอง ขณะเดินผ่านม่านหมอกไป เขาหันไปหารูปขุนนางสาวสูงศักดิ์ที่ถือสายจูงสุนัขแล้วออกคำสั่ง
“อีวา ตามหาพวกมันด้วยสุนัขของเจ้าซะ!”
ด้วยเสียงคำรามดังกึกก้อง ขุนนางสาวร่างผอมที่ถือสายจูงสุนัขก็เดินออกมาจากภาพวาด สุนัขล่าเนื้ออันน่าสะพรึงกลัวเริ่มดมกลิ่นไปทั่วเขาวงกต ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งโดยมีปีเตอร์ที่กุมบาดแผลที่ไหล่ของตนเดินตามไปอย่างรวดเร็วหายตัวเข้าไปในม่านหมอก
…
ขณะเดียวกันนั้นเอง โรเอลก็กำลังฝันร้าย
ในความฝัน เด็กชายกำลังเดินอยู่บนพื้นดินสีแดงสด ไม่มีน้ำหรือต้นไม้ใด ๆ ทิวทัศน์ทุกอย่างล้วนเป็นสีแดงก่ำ พื้นดินแห้งราวกับเต็มไปด้วยทรายกรวด แต่กลับไม่มีก้อนกรวดใด ๆ เคลื่อนไหวไปมาเมื่อสายลมพัดผ่านเขา
ช่างเป็นสถานที่ที่แปลกเหลือเกิน โรเอลคิดกับตัวเองในความฝัน
สมองของโรเอลแทบจะไม่สามารถรวบรวมความคิดใด ๆ ขึ้นมาได้ เขาได้แต่มองดูพื้นดินสีแดงสด ฟังเสียงหวีดหวิวของสายลม ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายราวกับว่าเขาเป็นผีดิบไร้ชีวิตที่ถูกขับเคลื่อนโดยสัญชาตญาณ
โรเอลไม่รู้สึกถึงอะไรอีกเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเขาไม่รู้จักความเหนื่อยล้า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน หรือเป้าหมายของเขาคืออะไร แต่เด็กชายก็ยังคงเดินหน้าต่อไป
ราวกับว่าการเดินทางของโรเอลไม่มีที่สิ้นสุด ดวงตะวันบนท้องฟ้าไม่มีขึ้นหรือตกดิน ดั่งเวลาได้หยุดลงโดยสมบูรณ์ในโลกแห่งนี้ เขาเดินไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันหยุดพัก จนในที่สุดเด็กชายก็เดินมาถึงปลายทาง
มันเป็นเขตแดนที่สิ้นสุดของโลกสีแดงนี้ แสดงจุดจบของสนามรบที่จบสิ้นไปนานแล้ว มีศีรษะขนาดใหญ่มหึมาถูกฝังไว้ครึ่งหนึ่งในหมู่ก้อนกรวดจำนวนนับไม่ถ้วน ดาบขึ้นสนิมสูงเทียบเท่าหอคอยถูกปักลงบนดิน บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝูงอีกาสังหารบินวนไปรอบ ๆ จ้องมองมาที่โรเอล
ณ ใจกลางของความยุ่งเหยิง มีโครงกระดูกขนาดใหญ่สูงตระหง่านเหมือนภูเขา ร่างนั้นนั่งอยู่บนพื้น โดยมีดาบแทงทะลุที่หน้าอก และถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าคลุมที่ขาดวิ่น มงกุฎที่อยู่บนศีรษะนั้นไร้ความแวววาว ทว่าโครงกระดูกดังกล่าวก็ยังคงให้ความรู้สึกอันสง่างาม ศักดิ์สิทธิ์ราวกับเทพเจ้า
ทันทีที่โรเอลมองไปที่โครงกระดูกนั้น ความเจ็บปวดอย่างที่สุดเกินกว่าจะบรรยายได้ก็แล่นเข้ามาบีบคั้นประสาทสัมผัสของเขา กระตุ้นจิตใจอันเฉื่อยชาของเด็กชายด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ทำให้เขากลับมารู้สึกตัวได้อีกครั้งด้วยความงุนงง
จังหวะนั้นเอง เบ้าตาของโครงกระดูกขนาดมหึมาก็ส่องแสงสว่างขึ้นจาง ๆ
“เจ้าเป็นใครกัน?”
เสียงอันทุ้มลึกดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
สายตาของโครงกระดูกเลื่อนลงมาและสบเข้ากับสายตาของโรเอลที่กำลังตกตะลึง เมื่อสายตาของพวกเขาประสานกัน ทันใดนั้นโรเอลก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในดวงตาของตนอีกครั้ง แสงสว่างจาง ๆ ก่อตัวขึ้นบนพื้นผิวดวงตาของเด็กชายครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะปิดตาลงพร้อมกับส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“อ๊ากกกกกก!!”
“เป็นเจ้าอีกแล้วสินะ”
โครงกระดูกขนาดมหึมาดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างเมื่อสังเกตเด็กชายที่กำลังยืนกรีดร้องอยู่เบื้องหน้า น้ำเสียงของเขาฟังดูผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะมีร่องรอยของความคาดหวังแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน
“หืม? คราวนี้เด็กชายงั้นเหรอ?”
โครงกระดูกประเมินรูปร่างหน้าตาของโรเอลด้วยความประหลาดใจ ทว่าอารมณ์นั้นแสดงออกมาน้อยมากเสียจนไม่อาจสังเกตเห็นได้
“ดีมาก เจ้าเด็กน้อย จงตอบคำถามของข้า”
“อ…อะไร”
“คนตายจะสามารถถ่ายทอดพลังของพวกเขาให้ผู้อื่นได้อย่างไร?”
เสียงทุ้มลึกนั้นดังก้องอยู่ในหูของโรเอล แต่เด็กชายผู้กำลังทุกข์ทรมานนั้นยังคงปิดตาทั้งสองข้างของเขาอยู่ แม้จะไม่เข้าใจคำถาม แต่โรเอลก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นว่าโครงกระดูกขนาดมหึมาได้ละสายตาไปจากเขาเสียแล้ว มันหันสายตาไปยังทิศทางที่ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน
“เจ้าไม่จำเป็นจะต้องตอบคำถามของข้าทันทีก็ได้ จงใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียก่อน”
น้ำเสียงของโครงกระดูกทั้งนิ่งและสงบ ราวกับว่าเขาไม่ได้คาดหวังกับคำตอบของโรเอล แต่ในครู่ต่อมา เขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังประสบปัญหาบางอย่าง ตอนนี้เจ้าจงกลับไปก่อน แต่อย่าได้ลืมนึกคำตอบมาให้ข้าในครั้งต่อไปที่เจ้ามาที่นี่”
หลังจากที่โครงกระดูกพูดจบ ทุกอย่างในทัศนวิสัยของโรเอลก็จางหายไปเป็นสีดำอีกครั้ง
…
“เฮือก!”
ทันใดนั้น โรเอลที่หลับใหลก็ตื่นขึ้นมาหอบหายใจอย่างสิ้นหวังในห้องพักของนักพรตที่โบสถ์เก่า ๆ เขากำผ้าห่มในมือแน่น ศีรษะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ดวงตาของเด็กชายดูหวั่นไหว ตื่นตระหนก เหมือนกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย
และนั่นก็คือสิ่งที่โรเอลคิดเช่นกัน
“เฮ้อ! มันเป็นแค่ความฝันสินะ กลัวแทบแย่”
ทว่าระหว่างที่โรเอลกำลังจะเอนตัวลงนอนพักผ่อน เด็กชายก็สังเกตเห็นการแจ้งเตือนจากระบบ มันทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปทันทีพร้อมอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
【 ‘การเผชิญหน้าครั้งแรก’ เสร็จสมบูรณ์】
【กำลังคำนวณผลลัพธ์…】