บทที่ 77: เลิกพูดแล้วดื่มมันซะ
การเผชิญหน้าครั้งแรก? หมายความว่ายังไงกัน?
ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างด้วยความตกใจ อาการง่วงนอนของโรเอลได้ถูกปัดทิ้งหายไปทันทีจากการแจ้งเตือนของระบบ เขาหวนนึกถึงความฝันก่อนหน้านี้ของตน ทำให้เหงื่อเย็น ๆ ไหลรินลงมาทั่วแผ่นหลัง
ค…คงไม่ได้หมายถึงฝันนั่นหรอกใช่ไหม? เหมือนจะเคยได้ยินว่าความฝันมักจะถูกใช้เป็นสื่อพยากรณ์ไม่ใช่เหรอ? หรือการทำนายด้วยฝันมันโบราณเกินไป ระบบเลยสรุปเป็นแบบนี้แทน?
โรเอลกำผ้าห่มแน่น แค่ความแข็งของเตียงในโบสถ์ก็ทำให้นอนหลับได้ยากอยู่แล้วแท้ ๆ เขายังต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้อีก แล้วเขาจะข่มตาให้หลับลงได้ยังไง?
เด็กชายจ้องไปที่ ‘ผลการคำนวณ…’ ของระบบ ด้วยความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัว หากพิจารณาถึงปัจจัยที่ระบบนี้ชอบพูดเกี่ยวกับเสรีภาพและเรื่องต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง
โรเอลก็น่าจะพอไว้ใจระบบนี้ได้ว่ามันคงจะไม่ดำเนินการสร้างเหตุการณ์อะไรขึ้นมาเองให้เขาต้องลำบาก ฉะนั้นความฝันก่อนหน้านี้น่าจะเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ตัวเขากำลังดำเนินอยู่เสียมากกว่า
ทว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เด็กชายสนใจเป็นพิเศษ
【การฟื้นฟูพลังสายเลือดดั้งเดิมดำเนินการไปแล้ว : 80%】
เวลาได้ผ่านล่วงเลยมาแล้วสองชั่วโมง นับตั้งแต่ที่โรเอลได้หลับไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่สายเลือดของเขาจะฟื้นฟูขึ้นถึงระดับนี้แล้ว ทว่ามันกลับมีปัญหาใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือตัวเลขนั้นไม่มีการขยับขึ้นอีกเลยนับจากนั้น และการฟื้นฟูสายเลือดก็ถูกหยุดลง
แต่โรเอลก็พอจะเดาได้ว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น
บางทีเราอาจจะต้องตอบคำถามนั้นของเขาก่อนสินะ
ขณะเดียวกันระบบก็ได้มีการปรับเปลี่ยนข้อมูล
【ติ๊ง!】
【ข้อมูลได้รับการปรับเปลี่ยน ผู้ใช้ได้รับสถานะพิเศษ】
【คำมั่นสัญญากับกรันด้า
ผู้ใช้ได้ทำสัญญากับจักรพรรดิ และนำมันกลับมาสู่ความเป็นจริง
ผลกระทบ: เพิ่มความแข็งแกร่งของผู้ใช้เป็นอย่างมาก มอบความอมตะคงกระพันให้ชั่วคราว (คงอยู่เป็นเวลา 30 วินาที)
จำนวนครั้งที่เหลืออยู่: 3】
“อมตะคงกระพัน?!”
เมื่อเห็นการแจ้งเตือนบนระบบ โรเอลก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าโครงกระดูกนั่นจะให้คาถาแก่เขาจริง ๆ
โอ้พระเจ้า! โครงกระดูกขนาดมหึมานั่นคืออะไรกันแน่? นี่มันจะโกงเกินไปแล้ว!
แต่แค่หวนนึกถึงคำถามที่โครงกระดูกถามโรเอล มันก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว
คนตายจะสามารถถ่ายทอดพลังของพวกเขาให้ผู้อื่นได้อย่างไร?
โรเอลไม่รู้จริง ๆ ว่ามันหมายความว่าอะไร ในโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยมนตร์คาถา แนวคิดเรื่อง ‘ความตาย’ ดูแตกต่างออกไปจากโลกในชาติก่อนของเขามาก
ยกตัวอย่างเช่นโครงกระดูกในฝันของโรเอล ดูจากดาบที่แทงทะลุอก เขาน่าจะเสียชีวิตในสนามรบเมื่อนานมาแล้ว แต่โครงกระดูกขนาดมหึมานั่นจะสามารถเรียกว่า ‘ตายไปแล้ว’ ได้อย่างเต็มปากรึเปล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขายังสามารถพูดและเคลื่อนไหวได้อยู่?
มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
นอกจากนี้ ‘พลัง’ ที่เขากล่าวถึงมันหมายถึงอะไรกันแน่? คาถาเวท? พลังสายเลือด? ความรู้?
โรเอลเกาหัว คำถามนั้นดูเหมือนจะซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ เขาไม่สามารถให้คำตอบสั้น ๆ กับคำถามนี้ได้ ทันใดนั้นอีกเรื่องหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
โครงกระดูกได้บอกโรเอลว่าเขากำลังจะมีปัญหา
ใบหน้าของเด็กชายกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง ดูเหมือนว่าโรเอลนั้นจะได้รับลางบอกเหตุมา ทว่าก่อนที่เขาจะได้ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้จริง ๆ จัง ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากข้างนอกพร้อม ๆ กับเคราส์ที่รีบวิ่งเข้ามาเปิดประตูอย่างกังวลใจ
“แย่แล้วขอรับ โฮ ท่านโรเอล! ท่านหญิงนอร่ากำลังป่วย!”
“ข้า ข้าเห็นท่านหญิงล้มลงไปข้าง ๆ โต๊ะตอนที่ข้ากำลังจะไปห้องน้ำ มีถ้วยวางอยู่ข้าง ๆ เธอ ดูเหมือนว่าท่านหญิงกำลังจะดื่มน้ำ แต่ก็หมดสติลงไปก่อน ข้าพยายามเรียกเธอแล้ว แต่ก็ไม่มีการตอบสนองอะไรกลับมาเลย พอข้าแตะหน้าผากของท่านหญิง ข้าเลยรู้ว่ามันร้อนจนแทบจะไหม้เลยขอรับ! ข้าก็เลยรีบพาเธอมาที่นี่”
เคราส์ร้องไห้ด้วยความตื่นตระหนก
“เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป”
“ข…ขอรับ!”
เคราส์หายใจเข้าลึก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถขจัดความกระวนกระวายในใจออกไปได้อย่างสมบูรณ์
หรือว่ามันจะเป็นเพราะเราป้อนอาหารที่ขโมยมาให้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เลยทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้กัน?
ความคิดแปลก ๆ ดังกล่าวทำให้เคราส์กระวนกระวายใจ เขาวางนอร่าลงบนเตียงของโรเอล ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องสวดมนต์ เพื่อสวดอ้อนวอนให้แก่เธอ
ขณะเดียวกัน โรเอลวางผ้าขนหนูเปียกไว้บนศีรษะของนอร่า เด็กชายอดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองที่ปล่อยปะละเลยเธอ เขารู้ว่านอร่ารู้สึกไม่สบายมาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ลืมที่จะคิดถึงเรื่องนี้
เห็นได้ชัดว่านอร่ามีท่าทีแปลกไปก่อนที่เธอจะแยกไปนอน ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เด็กสาวคงจะอดทนกับความรู้สึกไม่สบายนั้นมาตลอด เธอไม่เคยโอดครวญหรือปริปากบ่นใด ๆ กับโรเอลเลย เขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
โรเอลค่อนข้างมั่นใจว่าพลังสายเลือดของนอร่ากำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ทว่าเด็กชายไม่สามารถชื่นชมยินดีกับสถานการณ์นี้ได้ เพราะตอนนี้มันยังอันตรายเกินไป
การปลุกพลังสายเลือดของตระกูลเซไซต์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของผู้อาวุโส ซึ่งจะคอยชี้แนะและสนับสนุนพวกเขาตลอดกระบวนการ อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนั้นในตอนนี้ ลืมคำชี้แนะของผู้อาวุโสไปได้เลย ด้วยสภาพในตอนนี้ แม้แต่คนที่จะมาปกป้องพวกเขาก็ยังไม่มี!
โรเอลไม่รู้จริง ๆ ว่าพระสังฆราชจอห์น กำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมเขาถึงได้ส่งพวกเขาทั้งสองคนมาที่นี่? แม้ว่ามันจะช่วยให้พวกเขาหนีรอดมาจากความสามารถของปีเตอร์ เคเตอร์ได้ก็จริง แต่สถานการณ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมเท่าไหร่นัก ชีวิตของพวกเขายังคงตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลาไม่เปลี่ยนแปลง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง 60 ชั่วโมง กว่าพวกเขาจะได้ออกไปจากยุคนี้
“สถานการณ์ตอนนี้มันช่างเลวร้ายจริง ๆ ฉันควรทำยังไงกับเรื่องนี้ดี…”
โรเอลพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด
เขาไม่ใช่หมอ จึงไม่รู้ว่าตนเองสามารถทำอะไร เพื่อช่วยนอร่าได้บ้าง ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของโรเอลดวงตาของนอร่าก็เปิดขึ้นเล็กน้อย
“คนเดียวที่สามารถชี้ทางให้ข้าก้าวข้ามการตื่นของพลังสายเลือดได้ มีเพียงท่านปู่ของข้าเท่านั้น…”
“ตื่นแล้วเหรอ? รู้สึกยังไงบ้าง?” โรเอลถามอย่างเป็นกังวล
“…ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าป่วยรึเปล่านะ? ข้าไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย”
นอร่าผู้สังเกตเห็นสภาพร่างกายของตัวเองที่อ่อนแอลง ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ในฐานะองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท ตามปกติแล้วเด็กสาวจะมีแพทย์ส่วนตัวคอยดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้สายเลือดแห่งทูตสวรรค์ยังมอบสภาพร่างกายอันดีเยี่ยมให้กับเธอ ทำให้นอร่าไม่เคยล้มป่วยมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต
เมื่อจู่ ๆ ร่างกายของเธอรู้สึกหนักอึ้ง ร้อน ๆ หนาว ๆ พร้อมกับสติที่ดูเหมือนจะล่องลอยเข้าออก เป็นประสบการณ์ที่นอร่าไม่เคยได้เจอมาก่อน มันจึงทำให้เด็กสาวรู้สึกหวาดกลัว ความอ่อนแอทางร่างกายของเธอนั้น ส่งผลให้เจตจำนงอ่อนแอลงเช่นกัน
นอร่าจ้องไปที่เพดานอันมืดมิดปราศจากการตกแต่งด้านบน นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวนึกกลัวขึ้นมาว่าเธอจะรอดออกไปจากที่นี่ได้จริง ๆ รึเปล่า
“ร่างกายของข้าอยู่ในสภาพนี้มาหนึ่งคืนแล้ว แม้ว่าข้าจะพยายามใช้คาถาเพื่อลดความเจ็บปวดลงและทำให้เจตจำนงแน่วแน่ขึ้น แต่ดูเหมือนว่าข้าคงทำได้เพียงแค่ชะลอสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น ถ้าข้ารู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น อย่างน้อย ๆ ข้าน่าจะเรียนรู้คาถาฟื้นฟูมาบ้าง…”
นอร่ากล่าวอย่างขมขื่น
เนื่องจากบุคลิกสง่างามองอาจของเธอ ทำให้เด็กสาวชื่นชอบคาถาโจมตีที่ทรงพลังเป็นพิเศษ และขาดความสนใจที่จะเรียนรู้คาถาฟื้นฟู ซึ่งกลับกลายมาเป็นผลเสียในวันนี้
เมื่อได้ฟังคำพูดของนอร่า โรเอลก็รู้ได้ในทันทีว่าอาการป่วยของเธอไม่ใช่สิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปจะรักษาได้ เด็กสาวต้องการความช่วยเหลือจากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในการรักษาเธอ แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน… โรเอลทำได้เพียงแค่กำหมัดแน่นเท่านั้น
เด็กชายหยิบสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ในโบสถ์แห่งนี้ออกมา
“ดื่มยาขวดนี้ซะ อย่างน้อย ๆ มันก็น่าจะช่วยได้บ้าง”
“… ข้า…อ่อนแอ…เกินกว่าจะลุกขึ้นได้”
ทันใดนั้นโรเอลก็ก้าวออกไปข้างหน้า พยุงนอร่าขึ้นมาอย่างระมัดระวังก่อนที่จะเอนตัวเธอพิงเข้าที่หน้าอกของเขา เปิดขวดยาแล้วนำมันมาจ่อที่ริมฝีปากของเด็กสาว
“ดื่มมันซะสิ”
“…” เธอรู้สึกประหม่ากับท่าทีเช่นนี้ของโรเอลอย่างมาก
“หืม? นอร่า?”
โรเอลรู้สึกประหลาดใจที่ไม่มีการตอบรับจากผู้ป่วยของเขา เนื่องจากเด็กชายอยู่ข้างหลังเธอ เขาจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าแดงก่ำ เต็มไปด้วยความลังเลใจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กสาวได้
“มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ? ฉันทำให้เธอเจ็บรึเปล่า?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“หืม? แล้วทำไมล่ะ?”
“… ข้ารู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย หากเทียบกับการโดนป้อนอาหารแล้ว ข้าชอบเป็นคนป้อนให้มากกว่า”
นอร่าตอบอย่างไม่เต็มใจ
คำตอบนั้นทำให้โรเอลกัดฟันด้วยความโกรธ
ยัยบ้านี่! อะไรมันสำคัญกว่ากันระหว่างชีวิตกับนิสัยซาดิสม์ของเธอ หา?
“ควบคุมตัวเองหน่อยไม่ได้รึไง?” เขากัดฟันพูด
“ข้าบอกแล้ว ว่าข้าจะไม่ดื่มมัน”
“เลิกพูดมากแล้วดื่ม ๆ เข้าไปซะที!”
“อืม อื้อ!”
โรเอลที่กำลังหงุดหงิดยัดขวดยาเข้าไปในปากของนอร่า เพิกเฉยต่อการต่อต้านของเธอโดยสิ้นเชิง ทำให้เด็กสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลืนยาที่อยู่ในขวดทั้งหมดลงไป
“จ…เจ้าคนทรยศ! กล้าดียังไงมาทำกับข้าแบบนี้!”
ทูตสวรรค์ตัวน้อยกล่าวด้วยความโกรธเคือง พร้อมวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่กดขี่ข่มเหงของโรเอลอย่างฉุนเฉียว กลับกันแล้วเด็กชายกลับยิ้มอย่างสนุกสนานก่อนจะตอบกลับไป
“ฝ่าบาท ลืมไปแล้วรึไงว่าตัวเองยังไม่ได้สวมมงกุฎ?”
“แล้วมันยังไง? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าในอนาคตหรอกเหรอ?”
“เฮอะ ถ้าเธอทำแบบนั้น ฉันก็จะก่อจลาจล”
ขณะที่กำลังทะเลาะกับนอร่า โรเอลก็ผละออกจากเธอเล็กน้อย เพื่อให้นอร่าได้เอนหลังนอนลงบนเตียง ทว่านอร่าก็จับตัวเขาเอาไว้เบา ๆ หยุดโรเอลเอาไว้โดยที่เขาไม่คาดคิด
“ม… ไม่เป็นไร แบบนี้ดีแล้ว อย่าขยับ”
“หืม?”
“เตียงมันแข็งเกินไป”
เด็กสาวผมทองพูดขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ
โรเอลเหลือบมองไปที่เตียงแข็ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
เด็ก ๆ ในตระกูลขุนนางชนชั้นสูงต่างก็เติบโตมาในเตียงอันนุ่มสบาย มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ชินกับเตียงแข็ง ๆ เช่นนี้ ไม่ใช่แค่เพียงนอร่าเท่านั้น แม้แต่โรเอลเองก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายเวลานอนลงบนเตียงที่นี่
ดังนั้นโรเอลจึงหยุดแล้วยอมปล่อยให้นอร่านอนพิงอกของเขาเงียบ ๆ ทั้งสองฟังเสียงลมหายใจและเสียงเต้นของหัวใจกันและกันขณะรอให้ยาออกฤทธิ์
นอร่ามองไปรอบ ๆ ตัวเธอ การปรับปรุงต่อเติมตัวโบสถ์นั้นใช้วิธีการโบราณ และเนื่องด้วยตัวอาคารสร้างขึ้นมาจากหิน โบสถ์แห่งนี้จึงเย็นลงเรื่อย ๆ ในตอนกลางคืน
แหล่งกำเนิดแสงสว่างเพียงแห่งเดียวของที่นี่คือแสงเทียนบนโต๊ะ ถึงกระนั้นมันก็ถูกความมืดในยามค่ำคืนกลืนกินไปอย่างช้า ๆ
ทิวทัศน์นี้แตกต่างไปจากพระราชวังอันฟุ่มเฟือยที่นอร่าคุ้นเคยเป็นอย่างมาก มันทำให้เธอรู้สึกมึนงงราวกับว่าอยู่ในความฝัน
นอร่าจ้องไปยังห้องอันมืดมิดอยู่ครู่หนึ่ง เพลิดเพลินกับความอบอุ่นด้านหลังของตน
“เจ้าดูไม่ได้เกลียดข้าเหมือนเมื่อก่อนเท่าไหร่นะ” ในที่สุดเธอก็เอ่ยออกมา
“ฉันไม่เคยเกลียดเธอซะหน่อย”
“โกหก”
“เรื่องจริงต่างหาก”
โรเอลตอบ
เด็กชายนึกถึงสิ่งที่เด็กสาวทำในห้องศิลปะส่วนตัวของปีเตอร์ก่อนหน้านี้ จิตวิญญาณอันแน่วแน่ที่ยึดมั่นในเจตจำนงของนอร่าได้กระตุ้นโรเอลขึ้นมา มันเปลี่ยนความคิดบางอย่างในใจของเขา
“ก่อนหน้านี้ฉันก็แค่… ช่างเถอะ ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว”
“… พูดตามตรง ข้าคิดว่าต่อให้เจ้าจะเกลียดข้า มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่อะไร”
“อะไรนะ?”
โรเอลขมวดคิ้วกับคำพูดของนอร่า ทว่าเขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับเธอ
แต่นอร่าไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป เธอเพียงแค่จ้องมองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ไม่นานหลังจากนั้นเด็กสาวก็เอียงศีรษะหันไปทางโรเอลเล็กน้อยแล้วพูดออกมา
“เจ้าควรออกเดินทางไปจากที่นี่พรุ่งนี้ ตอนรุ่งสาง”
“ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ฉันจะอุ้มเธอไปเอง”
“ไม่ ที่ข้ากำลังจะบอกก็คือ เจ้าควรจะหนีไปคนเดียว แล้วทิ้งข้าไว้ที่นี่”
นอร่าพูดอย่างใจเย็นขณะที่มองไปที่ใบหน้าของโรเอล
“เจ้าหนีออกจากที่นี่ไม่ได้แน่ถ้าพาข้าไปด้วย”