บทที่ 8: เสียใจด้วยแต่คำว่านักเวทมันเก่าไปแล้ว
“ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย!? ฉันต้องการกองทหารโครงกระดูก ไม่ใช่ทีมนักเต้นโครงกระดูกมืออาชีพซะหน่อย!?”
ในลานฝึกซ้อมเด็กชายผมสีดำผู้ผิดหวังอย่างหนักจ้องเขม็งไปยังเหล่าโครงกระดูกทั้งหกที่กำลังเต้นรำแบกโลงศพขณะเดินไปที่เสาไม้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอกขายสินค้า
2,500 แต้มความสนใจ เจ้าพวกนี้มีราคา 2,500 เลยนะ! นี่เราจ่ายแต้มไปตั้งเยอะ เพื่อซื้อเจ้าพวกนี้จริง ๆ เหรอ? พวกมันมีประโยชน์อะไรล่ะเนี่ย? ไว้ใช้เป็นขบวนแห่ศพของเรารึไง?
โรเอลเอามือวางบนอกด้วยความเจ็บใจ เด็กน้อยรู้สึกผิดหวังจนจุกอกราวกับหัวใจจะล้มเหลว แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้และหันไปทางพวกมันอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อนนะ พวกแกหยุดซะ!”
…
สิบนาทีต่อมา
โรเอลนอนเอนตัวลงบนทุ่งหญ้า จ้องมองไปยังท้องฟ้าและหมู่เมฆสีขาวเบื้องบน ด้วยดวงตาแห่งความสิ้นหวัง ส่วนโครงกระดูกทั้งหกนั้นยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ โลงศพสีดำ รอเวลาที่จะอุ้มมันออกไป
หลังจากที่ได้ทำการทดลองผ่านข้อผิดพลาดหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดโรเอลก็เข้าใจ…ว่าเขาไม่สามารถใช้โครงกระดูกเหล่านี้ในการต่อสู้ได้เลย!
แม้ว่าเขาจะสามารถเรียกโครงกระดูกเหล่านี้ออกมาได้ในสภาพที่แยกออกจากโลงศพ แต่มันก็จะปราศจากการเคลื่อนไหวอันมีชีวิตชีวาในทันทีที่พวกมันอยู่ห่างจากโลงศพเกิน 2 เมตร
พวกมันในสภาพที่ปราศจากโลงศพนั้นอ่อนแอราวกับลูกเจี๊ยบแรกเกิด แม้แต่โรเอลที่มีความแข็งแกร่งระดับ F- ก็ยังสามารถต่อสู้กับพวกมันได้สบาย ๆ!
หากอิงจากเกณฑ์นี้ โรเอลนั้นเป็นเพียงเด็กชายอายุ 9 ขวบ ผู้มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ต่ำกว่านักเวทฝึกหัดในรุ่นราวคราวเดียวกัน
การที่โครงกระดูกแต่ละตัวมีพลังเทียบเท่ากับโรเอลในแง่ของความแข็งแกร่ง จึงหมายความว่าความสามารถในการต่อสู้โดยรวมของกองทัพโครงกระดูกผู้หาบหีบศพนั้นน่าสมเพช ไม่ต่างอะไรไปจากการมีโรเอลเด็กเพิ่มขึ้นมาอีก 6 คน!
พูดง่าย ๆ ก็คือพวกมันไร้ประโยชน์นั่นเอง
แม้ว่าโลกนี้จะมีสุภาษิตว่า ไม่มีอาชีพใดที่ไร้ประโยชน์ แต่มันก็ยังมีช่องว่างระหว่างพรสวรรค์และความสามารถของแต่ล่ะบุคคล
ตามมาตรฐานแล้ว ผู้ชายวัยผู้ใหญ่ที่ไม่มีทักษะพิเศษใด ๆ จะแข็งแกร่งเท่ากับระดับ F จอมเวทผู้ผ่านการฝึกอบรมจากกองทัพเท่ากับระดับ E ส่วนอัศวินหรือนักรบนั้นจะมีความแข็งแกร่งอยู่เทียบเท่า ระดับ D
เมื่ออยู่ห่างจากโลงศพ 2 เมตรขึ้นไป โครงกระดูกเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงขยะที่มีความสามารถในการต่อสู้เพียง F- และเมื่ออยู่ในระยะของโลงศพก็จะเพิ่มกลายเป็นเพียงระดับ F + นั่นหมายความว่าแม้แต่ทหาร ระดับ E ก็สามารถกำจัดพวกมันทั้งหมดได้ด้วยมือเดียว!
โรเอลได้แอบดูข้างในโลงศพที่พวกมันแบกอยู่ แต่ก็พบว่ามันว่างเปล่า อย่างไรก็ตามวัสดุที่ใช้ทำโลงศพนั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว
‘สิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญมาโดย ลัทธิแห่งนักล่าสมบัติสุสาน เกิดมาจากความตายเพื่อนำความสุขมาสู่คนเป็น’
เมื่อนึกถึงการเต้นรำของเหล่าโครงกระดูกผู้แบกโลงศพ ใบหน้าของโรเอลก็แสดงสีหน้าแห่งการรู้แจ้ง ในที่สุดเด็กชายก็เข้าใจว่าคำอธิบายเกี่ยวกับรายการนั้นหมายความว่าอย่างไร
ฝากไว้ก่อนเถอะ ลัทธิแห่งนักล่าสมบัติสุสาน!
ฉันจะไม่ซื้อของอะไรมาจากพวกแกอีกแล้ว! ให้ฉันยอมเป็นหมาซะยังจะดีกว่าที่จะซื้ออะไรจากพวกแกอีก!
โรเอลสบถพลางขบฟันกราม ก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ แม้ผลลัพธ์ต่าง ๆ จะทำให้เขาผิดหวัง แต่อย่างน้อย ๆ การทดลองซื้อสินค้าจากร้านค้าแลกเปลี่ยนแต้มความสนใจก็ประสบความสำเร็จ และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตอนนี้
ถึงมันจะน่าเสียดายที่เด็กชายต้องเสียแต้มความสนใจไปถึง 2,500 แต้ม แต่จำนวนนี้ก็ไม่ได้มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับจำนวนแต้มที่เขาจะได้รับในอนาคต ตราบใดที่โรเอลยังมีร้านค้าทั้งสองแบบนี้ในระบบคอยสนับสนุนอยู่ เขาก็มั่นใจได้เลยว่าสักวันหนึ่ง มันจะต้องสามารถช่วยให้เขากางปีกออกไปมุ่งสู่ความรุ่งโรจน์ได้!
เพียงแค่คิดถึงเรื่องในอนาคต มันก็ทำให้เด็กน้อยสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
หลังจากลดความคาดหวังของตัวเองลงแล้ว โรเอล ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับกองทัพโครงกระดูกผู้หาบหีบศพอีกต่อไป อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้รับรู้บทเรียนอันแสนสำคัญ ว่าจากนี้ไปไม่ควรตัดสินอะไรจากรูปลักษณ์ภายนอกของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในร้านค้าทั้งสองแบบของระบบ
ไม่ว่าชื่อของมันจะฟังดูน่าเกรงขาม และคำอธิบายจะฟังดูลึกลับแค่ไหน เขาจะไม่ยอมถูกหลอกอีกแน่!
“เราควรจะใช้มันเพื่อหารายได้ดีรึเปล่านะ? แต่เราจะทำแบบนั้นได้ยังไงนี่สิ…”
โรเอลเท้าคางของเขาขณะมองไปยังเหล่าโครงกระดูกอย่างครุ่นคิด ตามที่ระบบบอกไว้ สินค้าในร้านค้าแลกเปลี่ยนแต้มความสนใจ ควรจะเป็นของที่เอาไว้ใช้สำหรับการหารายได้
มันเป็นไปได้ไหมที่โรเอลจะนำโครงกระดูกเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์? แค่รูปร่างของพวกมันก็น่าจะก่อให้เกิดปัญหาแล้ว ไหนจะวิธีการเต้นของพวกมันที่แตกต่างจากพิธีศพในประเพณีของจักรวรรดิเซนต์เมซิทอีก
ผู้คนบนโลกนี้จะยอมรับประเพณีการเต้นรำส่งคนตายให้ไปยังภพหน้าอย่างมีความสุขได้รึเปล่า?
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กชายก็ยังไม่แน่ใจว่าผู้คนบนโลกนี้มีมุมมองต่อพวกอันเดธ [1] (**สิ่งมีชีวิตที่ฟื้นขึ้นมาจากความตายเช่น ผีดิบ โครงกระดูก) แบบไหนกัน รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้มีการกล่าวถึงในเกม แต่แค่การที่ชื่อของจักรวรรดินี้คือ จักรวรรดิเซนต์เมซิท เขาก็มีความรู้สึกว่าผู้คนที่นี่อาจจะไม่ได้ชอบพวกอันเดธมากเท่าไหร่นัก
โรเอลครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขารู้สึกว่าตนเองจำเป็นจะต้องหาข้อมูลมาเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้เสียก่อน เด็กชายพอจะจำได้ว่ามีหนังสือขั้นพื้นฐานราว ๆ สองสามเล่มในห้องของเขา ที่สามารถเอามาพลิกอ่านศึกษาได้ทุกเมื่อหากเขาต้องการ
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว โรเอลก็เริ่มคิดเกี่ยวกับสถานที่ที่เขาจะใช้ซ่อนเหล่าโครงกระดูกทั้งหกและโลงศพจากสายตาผู้คน
ด้วยที่ว่าทุกสิ่งที่เขาซื้อจากระบบมาแล้วจะไม่สามารถนำเก็บกลับไปในคลังลึกลับของระบบได้ ดังนั้น เขาจึงต้องหาสถานที่ปลอดภัยสำหรับซ่อนพวกมัน
เด็กชายออกคำสั่งให้เหล่าโครงกระดูกทั้งหกไปซ่อนตัวอยู่ในที่ห้องพักผ่อนข้างในลานฝึกซ้อม แม้ว่าโรเอลจะต้องใช้ความพยายามมากพอสมควร แต่ในที่สุดพวกมันก็สามารถบีบตัวเองและดันโลงศพผ่านทางเข้าประตูไปได้
โรเอลพยักหน้ากับตัวเองอย่างพึงพอใจ เขาเป็นคนเดียวที่ใช้ลานฝึกซ้อมนี้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ห้องพักผ่อนจะร้างและปราศจากผู้คน นอกจากนี้ห้องพักผ่อนยังเพิ่งได้รับการทำความสะอาดในวันนี้ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเปิดไปเจอเหล่าโครงกระดูกทั้งหกที่ซ่อนอยู่
หลังจากตัดสินใจเสร็จสิ้นทุกอย่างเรียบร้อย โรเอลก็เดินจากไปอย่างสบายใจ เพื่อเริ่มต้นเส้นทางการศึกษาหาความรู้ของเขา
———————————–
ณ ห้องสมุดของคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด
“หืม? ดูเหมือนว่าโลกนี้จะมีความแตกต่างระหว่างนักเวทและจอมเวท?”
ในห้องสมุดของคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด โรเอล กำลังพลิกดูหนังสือชื่อ ต้นกำเนิดแห่งจอมเวท ซึ่งมีความหนาพอ ๆ กับก้อนอิฐ เด็กชายรู้สึกราวกับว่าความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับโลกใบนี้กำลังได้รับการปรับปรุงใหม่อย่างรวดเร็ว
ไม่แปลกเลยที่โรเอลในวัย 9 ขวบจะถูกเรียกว่าคนไม่เอาไหน แม้ว่าเด็กชายจะมีบิดาเป็นจอมเวทผู้ได้รับการยอมรับอย่างสูงส่ง แต่ด้วยความโง่เขลาไร้การศึกษาของเขา มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่หัตถ์เร้นลับของโรเอลจะทำได้เพียงแค่ชี้นิ้วกลางมาที่เขา
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมโรเอลถึงได้พยายามกวาดความรู้เข้าหัวอย่างเมามันส์ในตอนนี้ หนังสือในห้องสมุดเหล่านี้ ทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงวิถีของโลกใบนี้ ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์นั้นคือ ‘หายนะเสียงเพรียกแห่งวิญญาณ’
แม้ว่าโรเอลจะรู้ประวัติศาสตร์บางส่วนของโลกใบนี้ผ่านการเล่นเกมอาย ออฟ โครนิเคิล แต่ความรู้เหล่านั้นก็ยังไม่ได้สมบูรณ์ หรือละเอียดเทียบเท่ากับบันทึกทางประวัติศาสตร์ในหนังสือ
ประการแรก นักเวทเดิมทีคือ จอมเวทที่อยู่ในสมัยก่อนยุคที่สาม ซึ่งปัจจุบันนี้โรเอลนั้นอยู่ในปีที่ 1003 ของยุคที่สาม ซึ่งเป็นยุคแห่งการทำสงคราม จุดเริ่มต้นของยุคที่สามถูกกำหนดขึ้นโดยเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า หายนะเสียงเพรียกแห่งวิญญาณ
ยุคก่อนยุคที่สามเป็นยุคที่จักรวรรดิต่าง ๆ ในปัจจุบันยังไม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้น และมนุษยชาติยังไม่ได้อพยพไปทางตะวันตก ในยุคนั้น เหตุการณ์อันน่าพิศวงก็ได้เกิดขึ้น ณ เมืองหลวงโบราณในตำนาน โดยนักประวัติศาสตร์ได้อธิบายเอาไว้ว่า:
“วิญญาณจำนวนมากมายมหาศาลจนนับไม่ถ้วนต่างร้องโหยหวนออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ความมืดมิดกระจายออกไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ราวกับว่าห้วงราตรีทมิฬต้องการจะสื่อสารกับพวกเรา”
เหตุการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ หายนะเสียงเพรียกแห่งวิญญาณ คำอธิบายต่าง ๆ ในหนังสือเกี่ยวกับมันดูจะเหนือธรรมชาติจนเกินไป แม้ว่าจะมีทฤษฎีหลายเหตุผลอ้างถึงสาเหตุของเหตุการณ์นี้ แต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยปัจจัยใดก็ตาม ทั่วทั้งโลกก็ได้เปลี่ยนไปนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือการล่มสลายของ พลังเวท
หลังจากเหตุการณ์หายนะเสียงเพรียกแห่งวิญญาณ เมื่อใดก็ตามที่นักเวทหรืออัศวินดูดซับพลังเวทจากชั้นบรรยากาศเพื่อใช้พลังเหนือธรรมชาติ พวกเขาก็อาจจะต้องติดสถานะผิดปกติบางอย่างกลับมา คนที่โชคดีอาจจะเจอเพียงแค่อาการบาดเจ็บทางร่างกาย แต่คนที่โชคร้ายนั้นก็อาจถึงขั้นสูญเสียสติสัมปัชชัญญะ
ไม่มีสิ่งใดจะนำมาสู่การล่มสลายของอาณาจักรได้เทียบเท่ากับการล่มสลายของวิถีชีวิต
จักรวรรดิออสทีนโบราณ เต็มไปด้วยเสียงเพรียกโหยหวนของเหล่าวิญญาณเร่ร่อน ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าขนลุก เหล่าอัศวินได้ละทิ้งความภาคภูมิใจและหันหลังให้กับผู้คนที่พวกเขาสาบานว่าจะปกป้องด้วยชีวิต เหล่านักเวทผู้ชาญฉลาดกลายเป็นสัตว์ป่าเถื่อนที่กลืนกินอวัยวะของพวกพ้อง ผู้คนหลายร้อยชีวิตต่างหนีออกจากเมืองหลวงไม่เว้นวัน
แต่ทว่าความบ้าคลั่งนั้นก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งอาณาจักรเสียแล้ว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหายนะดังกล่าว จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิออสทีนโบราณ จึงได้ประกาศทำการอพยพประชากรจำนวนมากไปทางทิศตะวันตก โดยอ้างว่าจักรวรรดิได้ถูกสาปแช่งโดย ‘ชายผู้ไม่ควรได้รับการกล่าวนาม’
หลายทศวรรษต่อมาหลังจากได้ฝ่าอันตราย เดินทางข้ามผ่านพื้นที่ขนาดใหญ่แห่งเมฆหมอก และดินแดนอันไหม้เกรียม เหล่าผู้คนของจักรวรรดิก็มาถึงที่ดินแห่งนี้ในที่สุด
หลังจากนั้นหนึ่งพันปีต่อมา มนุษยชาติก็ได้พัฒนาทฤษฎีใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อช่วยในการปรับตัวเข้ากับพลังเวทที่เป็นพิษในชั้นบรรยากาศ และใช้ความสามารถของมันอีกครั้ง
โดยเหล่าอัศวินนั้นเลือกที่จะคงชื่อดั้งเดิมของพวกเขาเอาไว้ ในขณะที่นักเวทในอดีตต่างเลือกที่จะเรียกตัวเองว่า จอมเวท แทน
จอมเวทในยุคปัจจุบันได้สูญเสียความสามารถในการร่ายเวทอย่างไม่มีเงื่อนไขของนักเวทในอดีตไป โดยแลกเปลี่ยนกับความหลากหลายและพลังที่มีมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า
ยกตัวอย่างเช่น ในหนังสือ ต้นกำเนิดแห่งจอมเวท ‘หัตถ์เร้นลับ’ ในอดีตคือคาถาเวท ‘เงื้อมมือแห่งความตาย’ ของนักเวท โดยนักเวทจะสามารถขยี้คอคนได้ด้วยคาถา เงื้อมมือแห่งความตายนี้
ในขณะที่จอมเวท สามารถระเบิดหัวคนได้ด้วย หัตถ์เร้นลับ แม้ว่าจอมเวทจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมากกว่า เช่นมือของเขาอาจจะเกิดรอยไหม้ หรือไม่ก็อาการชา
หลังจากได้ทำความเข้าใจโดยคร่าว ๆ เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างจอมเวทในอดีต กับจอมเวทในปัจจุบัน โรเอลก็เปิดอ่านพระคัมภีร์ของ จักรวรรดิเซนต์เมซิท และถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ด้วยที่เขาค้นพบว่าศาสนาของที่นี่ ไม่ได้มีความเกลียดชังต่ออันเดธ เพราะพวกอันเดธเองก็ถือว่าเป็นผลจากการสรรสร้างของ เทพีเซีย
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนในจักรวรรดิเซนต์เมซิททุกคนจะยอมรับพวกอันเดธ และ โรเอลเองก็ไม่คิดว่าจะมีใครบนโลกนี้ที่จะชื่นชอบพวกโครงกระดูกทั้งหกตัวนั้น
สิ่งนี้ทำให้เด็กชายกลับมาสู่คำถามเดิม เขาไม่ต้องการให้สินค้าชิ้นแรกที่ซื้อจากระบบกลายเป็นของสิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์
แต่ด้วยรูปลักษณ์ของพวกมันแล้ว โรเอลจะนำพวกมันไปสร้างผลกำไรอะไรให้กับตัวเขาได้กัน?
สับพวกมันแล้วป้อนให้หมางั้นเหรอ?
เด็กชายผมดำเกาศีรษะพลางมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างกระวนกระวาย แต่ไม่นานต่อมาดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา
นี่ไงล่ะ ความคิดนี้อาจจะได้ผลก็ได้!