บทที่ 80: ด้วยศรัทธาของพวกเขา
เวต เซไซต์ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เฝ้ารอให้แสงแดดยามเช้าสาดแสงลงมาอีกครั้ง
ทุก ๆ วันในรุ่งเช้าและค่ำ นี่เป็นช่วงเวลาพักที่ถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนของเขาวงกตขนาดใหญ่ที่แบ่งถนนออกเป็นหลาย ๆ สิบส่วน เวลาหนึ่งชั่วโมงในระหว่างสองช่วงเวลานี้ ม่านหมอกอันหนาทึบจะจางลงชั่วคราวทำให้พวกเขาสามารถเดินทางผ่านเขาวงกตได้โดยไม่ต้องลำบากจากทัศนวิสัยอันขุ่นมัว
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หมอกก็จะค่อย ๆ กระจายเข้ามาอีกครั้งพร้อมรูปแบบใหม่ของเขาวงกต ทำให้ข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมาในช่วงครึ่งวันก่อนไร้ประโยชน์ไปในทันที นี่เป็นสาเหตุที่กองทัพปฏิวัติของเวตไม่สามารถตามหาตัววิกตอเรียและพอนเต้เจอได้เสียที ไม่ว่าพวกเขาจะปูพรมตามหาทั่วพื้นที่ไปมากเท่าไหร่ก็ตาม
วิธีเดียวที่จะไปถึงตัววิกตอเรียและพอนเต้ได้ คงจะมีแต่การรวบรวมทหารนับแสนมาเดินตรวจตรากันให้เต็มถนนทุกสายเท่านั้น นอกจากนี้ ด้วยทัศนวิสัยที่ขุ่นมัวจากหมอก กองทัพของเวตจึงต้องเคลื่อนพลไปอย่างช้า ๆ ทำให้ประสิทธิภาพในการค้นหาของพวกเขาต่ำลงไปมาก
ทว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา เวตก็ได้พบแสงแห่งความหวัง เขาไม่จำเป็นที่จะต้องค้นหาสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไป เพราะเขาตรวจพบการสั่นพ้องทางสายเลือดของราชวงศ์บนถนนโล้ค
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสัญญาณสั่นพ้องทางสายเลือดของราชวงศ์นี้จะต้องเป็นของวิกตอเรียอย่างแน่นอน แม้ว่าเวตจะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ปิดการใช้งานอุปกรณ์เวทที่ระงับพลังสายเลือดของตนเองลง แต่สำหรับเวตแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีในการบุกโจมตีอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันทีที่หมอกจางลงในช่วงรุ่งสาง เวตจะนำกองทัพของตนมุ่งไปยังจุดที่การสั่นพ้องเกิดขึ้นในทันที
“ฝ่าบาท พวกเรายังไม่รู้ว่าวิกตอเรียและพอนเต้กำลังวางแผนอะไรเอาไว้อยู่ การที่พวกเขากล้าเปิดเผยที่ตั้งของตนเองเช่นนี้ย่อมหมายความว่าพวกเขาน่าจะมีกับดักเตรียมเอาไว้รอรับมือพวกเราอยู่ที่นั่น โปรดอยู่รอที่นี่แล้วอนุญาตให้ข้านำทัพออกไปแทนด้วยเถอะ”
จากด้านหลังขององค์ชายเวตผู้กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง เฟลเดอร์ เอลริกตบกำปั้นของตนลงที่อกพร้อมกล่าวออกมาอย่างจริงจัง เขาคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าหากให้เขาเป็นคนนำทัพออกไปแทน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ทว่าเวตนั้นไม่ได้ตอบสนองใด ๆ เขายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบ ๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินคำขอของเฟลเดอร์
“เฟลเดอร์ เจ้าคิดว่ามารดาข้าเสียชีวิตด้วยเหตุใดกัน?”
“หืม? เป็นเพราะความฉ้อฉลทางการเมืองของเหล่าขุนนางและนักบวช…”
เฟลเดอร์ประหลาดใจกับคำถามโดยกะทันหันของเวต เขากะพริบตาด้วยความสับสนพร้อมกล่าวมุมมองของตนเกี่ยวกับเรื่องนั้นออกไป แต่เวตกลับส่ายหัวให้กับคำตอบของเขา
“ไม่ ไม่ใช่เพราะเหตุนั้นหรอก นั่นมันเป็นเพียงแค่สาเหตุผิวเผิน เหตุผลที่แท้จริงคือความแตกต่างต่างหากล่ะ”
“ความแตกต่าง?”
“ใช่”
เวตหันไปหาเฟลเดอร์ แล้วจึงเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น
“ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ ความแตกต่างของเชื้อชาติ ความแตกต่างด้านสัญชาติ ความแตกต่างเรื่องศรัทธา ความแตกต่างทั้งหมดที่พวกเรามีต่อกันทำให้เกิดความกลัว กลายเป็นรั้วแบ่งแยกพวกเราออกจากกัน พวกเรามองทุกสิ่งที่อยู่นอกรั้วด้วยความตกใจกลัวว่าคนอื่นจะเข้ามาละเมิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และคุกคามการดำรงอยู่ของพวกเรา”
“โดยไม่ได้คำนึงถึงตัวตนและความดีใด ๆ เมื่อมีคนแสดงความแตกต่างออกมาจากคนส่วนใหญ่ เขาก็จะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปทันที ไม่ว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติอันละเอียดอ่อน ไปจนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นี่คือสาเหตุที่แท้จริงเบื้องหลังการตายของท่านแม่”
“สงครามในครั้งนี้ถือว่าข้าได้ล้างแค้นให้กับนางรึยัง? แม้หลายคนอาจจะคิดว่าข้าได้บรรลุเป้าหมายไปแล้วเพราะการตายของบรรดาขุนนางที่กีดกันและกดดันท่านแม่ แต่นั่นมันไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของข้า มันยังไม่จบ การแก้แค้นที่ข้าแสวงหามันไกลไปยิ่งกว่านั้น!”
“ท่านแม่เสียชีวิตจากโรคระบาดและการดูหมิ่นของขุนนาง แต่ยิ่งไปกว่านั้น นางเสียชีวิตเนื่องจากการเลือกปฏิบัติและการกดขี่ข่มเหงที่เกิดจากความแตกต่างในอุดมคติ นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการจะทำลาย การล้างแค้นของข้าก็คือการทลายรั้วอันสูงส่งนั่นแล้วลากคนที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังออกมา ยังมีคนอีกมากที่ข้าต้องกำจัด …”
“ต่อจากนี้มันจะเป็นการเดินทางอันยากลำบาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ข้าอยากจะรวบรวมทวีปให้เป็นหนึ่งเดียว เช่นเดียวกับจักรวรรดิออสทีนโบราณในยุคที่สอง…”
เวตมองไปทางเฟลเดอร์ผู้กำลังตกตะลึง ผ่านแววตาอันเร่าร้อนไปด้วยความทะเยอทะยาน
“เจ้าเคยถามข้าใช่ไหมว่าความฝันของข้าคืออะไร ข้าจะขอตอบมันที่นี่ตอนนี้ นี่แหละคือความฝันของข้า ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะตระหนักถึงมัน แผนการนี้จะมีปัญหามารุมเร้าพวกเราในทุก ๆ ย่างก้าว ความแข็งแกร่งของเจ้าไม่มีสิ่งใดจะมาแทนที่ได้เพื่อการบรรลุเป้าหมายนี้ … นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าห้ามไม่ให้เจ้ามองว่าตัวเองเป็นตัวตายตัวแทนสำหรับข้า”
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเวต ในขณะที่เขาปฏิเสธคำขอของเฟลเดอร์ แต่เฟลเดอร์กลับตกใจเกินกว่าที่จะตอบโต้กลับไป
แม้ว่าเฟลเดอร์จะรู้ดีว่าผู้บังคับบัญชาที่เขารับใช้อยู่เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีความฝันอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เวต เซไซต์คือชายที่ต้องการจะสร้างอาณาจักรอันเป็นหนึ่งเดียวกันสำหรับมนุษย์ทุกคน
… ถ้าด้วยพรสวรรค์ของเวตและพลังของจักรวรรดิเซนต์เมซิทละก็ บางทีความฝันนั้นอาจจะเป็นไปได้!
ทันใดนั้นเฟลเดอร์ก็รู้สึกว่าเวตดูยิ่งใหญ่และสง่างาม สูงส่งกว่าเมื่อก่อนมาก มาร์ควิสเฟลเดอร์เหยียดหลังของตนให้ตรงอีกครั้งก่อนจะโค้งคำนับอย่างจริงจัง
“ข้ารู้สึกขอบคุณสำหรับมุมมองอันสูงส่งที่ฝ่าบาทมีต่อข้า ข้ายินดีที่จะอุทิศชีวิตเพื่อเติมเต็มความฝันของท่าน! ทว่าฝ่าบาท ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านเดินเข้าไปในถนนโล้คด้วยตัวเองได้ ถ้ามันเป็นกับดักขึ้นมาล่ะพวกเราจะทำเช่นไร? หากข้าไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญกับอันตรายเล็กน้อยเช่นนี้ข้าก็ไม่คู่ควรที่จะยืนเคียงข้าง เพื่อเติมเต็มความฝันของท่านได้หรอกขอรับ”
คำพูดเหล่านั้นทำให้มุมปากของเวตสูงขึ้นไปอีก แม้ว่าจะไม่มีมงกุฎอยู่บนศีรษะของเขา แต่บรรยากาศรอบตัวของเวตก็เทียบได้กับบรรยากาศของจักรพรรดิผู้พิชิต
“พวกเราจะออกเดินทัพในเวลากลางวัน”
…
“ข้ามั่นใจว่าเวตจะต้องไปที่นั่นอย่างแน่นอน”
ณ คฤหาสน์เขาวงกต วิกตอเรีย เซไซต์ชี้ไปยังจุดสีแดงที่กะพริบอยู่บนถนนโล้ค 42 พลางมองไปทางชายผมดำที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
พอนเต้ แอสคาร์ด ผู้ถือสมุดบันทึกเอาไว้ในมือ ครุ่นคิดเป็นเวลานานก่อนจะตอบกลับไป
“วิกตอเรีย อุปกรณ์เวทของเจ้าทำงานตามปกติจริง ๆ เหรอ? มันเสียแล้วรึเปล่า? ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็…”
“มันยังทำงานได้ดี”
คำตอบอันเฉียบขาดของวิกตอเรียทำให้พอนเต้พูดไม่ออก ถึงแม้ว่าในฐานะอาจารย์ เขารู้ดีว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะถามเรื่องส่วนตัวของลูกศิษย์อย่างลึกซึ้งจนเกินไป แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทางเลือกอื่น
“เกี่ยวกับเรื่องนี้… วิกตอเรีย ตระกูลของเจ้ามีญาติห่าง ๆ ที่คนทั้งโลกไม่รู้จัก อะไรทำนองนั้นอยู่บ้างไหม?…”
“ข้าไม่มีอะไรแบบนั้น”
“แน่นอนว่าพระสังฆราชไรอันไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนในตอนนี้แน่ แบบนั้นแล้วเจ้าคิดว่าจุดสีแดงนี้หมายความว่าอย่างไรกันล่ะ?”
“น่าจะเป็นลูกนอกสมรส”
วิกตอเรียขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย สิ่งเลวร้ายที่สุดท่ามกลางภัยพิบัติก็คือวิกฤตครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นการปรากฏตัวของพี่น้องต่างมารดาในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมทำให้ใครก็ตามรู้สึกไม่พอใจ
แม้ว่าในฐานะสมาชิกของตระกูลเซไซต์ วิกตอเรียจะไม่สามารถพูดจาเสียหายเกี่ยวกับพระสังฆราชไรอัน ผู้เป็นบิดาของเธอได้ แต่เรื่องนี้ก็ยังทำให้อารมณ์ของเธอแย่ลงอยู่ดี
“อา แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราควรจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี? พวกเราจะเข้าไปช่วยคน ๆ นั้นงั้นเหรอ?”
พอนเต้เหลือบมองลูกศิษย์ที่กำลังหงุดหงิดของตนอย่างสุขุมพร้อมถามอย่างระมัดระวัง วิกตอเรียถอนหายใจเล็กน้อยเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันเป็นความจริงที่ว่าตระกูลเซไซต์ของพวกเรามีลูกหลานอยู่ไม่มาก นอกจากนี้การที่เด็กคนนี้เดินเตร่อยู่ตามท้องถนน แสดงให้เห็นว่าพระสังฆราชไม่ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขาหรือเธอ เขาดูจะเป็นผู้บริสุทธิ์ในความขัดแย้งนี้ ดังนั้นข้าไม่สามารถยอมปล่อยให้เขาตายด้วยมือของเวตได้”
หลังจากพูดจบ วิกตอเรียก็เงยหน้าขึ้นเพื่อมองเข้าไปในดวงตาของพอนเต้
“โปรดช่วยข้าด้วยเถอะท่านอาจารย์ ข้าต้องการช่วยเด็กคนนั้นให้มาที่นี่”
พอนเต้เงียบไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินคำขอของวิกตอเรีย ทว่าใบหน้าของเขาไม่ได้มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อย มันมีเพียงแค่ความเคร่งขรึม
“วิกตอเรีย ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี แต่เจ้าควรเข้าใจด้วยว่าการกระทำทุกอย่างของเจ้ามีผลลัพธ์ตามมาเสมอ เราอาจจะต้องต่อสู้กับเวตก็ได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่อันตรายมาก”
“ข้าเข้าใจดีท่านอาจารย์ แต่ข้าไม่สามารถละทิ้งญาติของข้าได้… นอกจากนี้ เพื่อที่แผนของเวตจะบรรลุผล เขาจะต้องมีอำนาจเหนือตระกูลเซไซต์โดยไม่สั่นคลอน เขาไม่มีทางปล่อยให้ลูกนอกสมรสรอดไปพบท่านพ่อได้แน่”
ดวงตาของวิกตอเรียฉายแววโศกเศร้า เธอเกลียดที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับน้องชายฝาแฝดล่วงเลยมาถึงจุดนี้ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องหยุดเวตลงให้ได้
ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่างพวกเขา กลับกันแล้ว เป็นเพราะเธอรู้ถึงแผนการของเวตดี วิกตอเรียจึงอยากที่จะหยุดเขาเอาไว้
ความทะเยอทะยานของเวตนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ระดับที่จักรวรรดิเซนต์เมซิทไม่อาจจะสามารถแบกรับความฝันของเขาได้ มันจะกลายเป็นหายนะสำหรับโลกถ้าหากเวตได้ขึ้นครองบัลลังก์ พลเรือนจำนวนนับไม่ถ้วนจะต้องเสียชีวิต ครอบครัวนับไม่ถ้วนจะต้องแตกระแหง
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าก็จะไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ พวกเราจะเผชิญหน้ากับเด็กเหลือขอสองคนนั้น ทั้งเจ้าเวตและเฟลเดอร์”
พอนเต้ถอนหายใจยาวในใจก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบใจนักเรียนของตน
จอมเวทเริ่มวิเคราะห์แผนการที่เป็นไปได้ขึ้นมา เขาเปิดดูแผนที่ของถนนโล้ค 42 และอธิษฐานว่าสภาพแวดล้อมที่นั่นจะเหมาะสำหรับพลังของเขา
ขณะเดียวกันวิกตอเรียก็ละทิ้งความเศร้าโศกไป แล้วเริ่มเตรียมกำลังพลที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจุดกะพริบสีแดงบนถนนโล้ค 42 จะกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่ายหลังจากความสงบที่ดำเนินมานานหลายวัน
โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว เมฆแห่งลางร้ายก็เริ่มเข้ามารวมตัวกัน ชักนำความรู้สึกอันหนักอึ้งเข้ามาสู่สนามรบ