บทที่ 84: คุณคือเทวดาผู้พิทักษ์ของฉันหรือไม่ ?
ทันทีที่ชายผมดำลอยผ่านเขาไป จู่ ๆ โรเอลก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวอันแสนจะคุ้นเคยคล้ายกับสมัยเด็กที่เขาพลาดรถโรงเรียนในอดีต
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักชายผมดำในชุดขุนนางสมัยเก่า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับโรเอลที่จะเดาว่าคนที่อุ้มนอร่าอยู่คนนั้นคือใคร
บุคคลนั้นคงไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากพอนเต้ บรรพบุรุษรุ่นก่อนของเขา ตามหลักแล้วพอนเต้ควรจะเป็นแสงแห่งความหวังของโรเอล แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจอมเวทจะเป็นเพียงแค่รถบัสรับส่งไปโรงเรียนที่ไม่มีที่นั่งว่างเหลือให้เขาเสียแล้ว
“นอร่า!”
โรเอลตะโกนออกมาดัง ๆ หวังจะดึงความสนใจของเด็กหญิงและทำให้เธอตื่นขึ้นมา นั่นก็เพราะเขาไม่อยากจะถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังที่นี่
อย่างไรก็ตาม เมื่อแหงนมองดูทั้งสองคนซึ่งกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างเปิดเผย โรเอลก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าแทน ไม่ว่าพอนเต้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่พวกเขาก็กำลังอยู่ท่ามกลางสนามรบ การบินเหนือแนวรบของศัตรูจะต้องดึงดูดสายตาของเหล่านักธนูเป็นแน่
ยกตัวอย่างเช่น ทหารที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ โรเอลในขณะนี้
“นั่นใครน่ะ?”
“ศัตรู! ยิงมันเลย! ยิงมันเลย!”
เหล่าทหารต่างไม่พอใจที่ศัตรูกำลังหลบหนีอย่างโจ่งแจ้งข้ามผ่านหัวพวกเขาราวกับว่ากำลังดูถูกพวกเขาอยู่ ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ลูกธนูกว่าร้อยดอกก็ถูกยิงพุ่งขึ้นไปบนฟ้า เล็งไปยังจอมเวทผู้กำลังหลบหนี
“ไม่ดีแล้ว นอร่า!”
โรเอลร้องเสียงหลง จิตใจของเขาว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์ เด็กชายได้เห็นพลังทำลายล้างอันน่าเหลือเชื่อของลูกธนูในโลกนี้แล้ว เขาจึงไม่กล้าจินตนาการเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนอร่าหากลูกธนูนั้นเข้าเป้า
แต่แทนที่โรเอลจะได้เห็นร่างของทั้งสองคนระเบิดเป็นเศษเนื้อ สถานการณ์กลับกลายเป็นภาพอันน่าเหลือเชื่อแทน
“คาถาเวทหกแฉก การบิดเบือน”
ก่อนที่ลูกธนูจะเข้าเป้า ชายผมดำก็เริ่มท่องอะไรบางอย่าง ราวกับคนขับรถแท็กซี่ผู้มีประสบการณ์ที่ได้พบกับตำรวจจราจร ทำให้ลูกธนูที่พุ่งมาหาเขากลับลำพุ่งถอยหลังกลับไป
ปรากฏการณ์ที่ท้าทายกฎฟิสิกส์นี้ทำให้โรเอลและทหารคนอื่น ๆ ต่างก็ต้องอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน
“เจ้านั่นคือผู้นำตระกูลแอสคาร์ด พอนเต้ แอสคาร์ด! ยิงต่อไป! อย่าได้หยุด! ใครก็ตามที่ฆ่าเขาได้จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง!”
เวตตะโกนด้วยความโกรธ
ทางด้านเฟลเดอร์ อัศวินผมทองชักดาบออกมาฟันเป็นวงกลม ปล่อยระเบิดพลังเวทเข้มข้นพุ่งไปยังพอนเต้พร้อมกับเสียงอันน่าสะพรึงกลัว พลังเวทดังกล่าวนั้นรุนแรงยิ่งใหญ่กว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 อย่างปีเตอร์มาก
โรเอลรู้สึกว่าการโจมตีเช่นนี้เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ปีเตอร์เสียชีวิตในทันที
ตามหลักแล้วพลังเวทที่ระเบิดรุนแรงระดับนี้จะต้องดึงดูดความสนใจของทุกคนในสนามรบ ทว่าพอนเต้ แอสคาร์ดกลับสงบนิ่ง และแทบจะไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เมื่อต้องเผชิญกับคาถาเวทของเฟลเดอร์เลย
“คาถาเวทหกแฉก การหลอมเหลวภายใน”
คาถาเวทระเบิดของเฟลเดอร์ที่พุ่งเข้ามาหาพอนเต้ ถูกระเบิดจากภายในอย่างกะทันหัน ทำให้การโจมตีอันทรงพลังที่สามารถฉีกเหล็กออกเป็นชิ้น ๆ กระจายออกไปรอบ ๆ ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการทำร้าย พอนเต้เท่านั้น แต่คลื่นกระแทกของการระเบิดยังช่วยให้จอมเวทมีแรงส่งมากขึ้นสำหรับการหลบหนีอีกด้วย
“ขอบคุณที่ช่วยข้าในการหลบหนี มาร์ควิสเฟลเดอร์!”
คำพูดเหล่านั้นทำให้เฟลเดอร์โกรธจัดจนเกือบจะพ่นคำหยาบคายออกไป หากไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรีของเขาในฐานะผู้สูงศักดิ์
ด้วยเหตุนี้พอนเต้จึงสามารถข้ามสนามรบไปได้สำเร็จ จอมเวทลอยลงมาทางฝั่งองค์หญิงวิกตอเรีย ทันใดนั้นอัศวินที่อยู่ด้านล่างก็พุ่งออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยโล่ขนาดใหญ่เพื่อช่วยปกป้องเขา
“ผู้บัญชาการกำลังลอยลงมาแล้ว!”
“ตั้งขบวนโล่เร็ว!”
“โจมตีโต้กลับไป!”
กองทหารของพอนเต้รวมตัวกันเป็นวงกลมรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว ประจวบเหมาะกับจังหวะที่องค์หญิงวิกตอเรียออกคำสั่งให้เหล่าทหารยิงธนูสวนกลับไป ส่งห่าฝนธนูพุ่งไปยังอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าพอนเต้สามารถบินข้ามสนามรบไปได้อย่างง่ายดาย นี่ทำให้โรเอลตั้งตารอการพัฒนาในอนาคตของเขาในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างตื่นเต้น แม้เด็กชายจะรู้ดีว่าบรรพบุรุษของตระกูลแอสคาร์ดนั้นเป็นที่รู้จักเลื่องลือในด้านคาถาเวท แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับพลังของพอนเต้
เมื่อไหร่เราจะแข็งแกร่งได้แบบนั้นบ้าง
โรเอลมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างโหยหา เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายในใจเขาขึ้นจริง ๆ ก่อนหน้านี้เด็กชายแทบจะไม่เข้าใจเลยว่าพลังของผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นเป็นเช่นไรกันแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจินตนาการถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ แต่เมื่อโรเอลได้เห็นสิ่งนี้กับตาของตนเอง แรงจูงใจที่จะแข็งแกร่งของเขาจึงได้ลุกโชนขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่กว่าที่เคย
เมื่อหลุดจากความฝัน โรเอลก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้เขากำลังมีปัญหาที่เร่งด่วน
เดี๋ยวนะ ถ้านอร่าได้รับการช่วยเหลือเรียบร้อย และพอนเต้กลับไปถึงฝั่งขององค์หญิงวิกตอเรียแล้ว… แล้วเราล่ะ?!?!
โรเอลมองดูสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ของตนเองอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าห่าฝนธนูที่หยุดลงเพื่อเปิดช่องให้พอนเต้บินข้ามสนามรบไปนั้นได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ากองทัพขององค์หญิงวิกตอเรียไม่ได้สนใจการดำรงอยู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย
เหล่าทหารที่อยู่ข้าง ๆ โรเอลต่างยกโล่ขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง ปล่อยให้เด็กชายเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีโล่กำบัง โรเอลจ้องมองสถานการณ์นี้ด้วยสีหน้างุนงงก่อนที่จะสาปแช่งอย่างโกรธเกรี้ยว
“บ้าที่สุด! ไอ้พวกเห็นแก่ตัว! สุดท้ายแล้วเราก็ต้องพึ่งตัวเองสินะ!”
โรเอลวิ่งไปที่ด้านข้างของถนน คว้าโล่มาจากศพของทหาร ก่อนจะกระโดดลงไปในท่อระบายน้ำ
เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนมักจะมีฝนตกชุก และมีน้ำท่วมบ่อยครั้งช่วงฤดูร้อนในไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นทันทีที่พระสังฆราชไรอันขึ้นสู่อำนาจ เขาจึงได้สั่งให้สร้างเมืองขึ้นใหม่
หลังจากพยายามอย่างหนัก ปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขด้วยระบบท่อระบายน้ำในลอเรนที่กว้างและลึก มันอาจจะแคบเกินไปสำหรับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กแล้ว พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกในท่อน้ำดังกล่าว
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่าการสร้างระบบระบายน้ำของพระสังฆราชไรอันได้ช่วยชีวิตของโรเอลเอาไว้ มันทรงพลังพอ ๆ กับโล่พลังเวทที่สร้างขึ้นจากจี้สีม่วงของโรเอล แต่เขาไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาสามารถรอดไปได้ด้วยการยืนนิ่ง ๆ จนกว่าการต่อสู้จะจบลง แต่เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของฝั่งองค์ชายเวตอีกครั้ง
เวตจะต้องโกรธมากแน่ หลังจากที่นอร่าถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตา เขาคงจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อสอบปากคำโรเอล และเมื่อเขาพบว่าโรเอลเป็นคนในตระกูลแอสคาร์ดล่ะก็ เขาคงจะไม่ได้ตายดีแน่ ๆ!
เมื่อรู้ว่าตนเองต้องยืนหยัดให้ได้ในตอนนี้ โรเอลจึงรีดเร้นพลังเวทและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลือออกมา ถือโล่พุ่งลงไปในท่อระบายน้ำ เรียกได้ว่าเขาไวเสียยิ่งกว่าสถิติโลกสำหรับการวิ่ง 100 เมตรในอดีตชาติเสียอีก!
ตึก ตึก ตึก!
“อ๊าก!”
ลูกธนูระเบิดได้ส่งเศษหินต่าง ๆ ลงมากระทบกับโล่ เสียงกรีดร้องของผู้บาดเจ็บดังก้องไปทั่วสนามรบ ความโกลาหลนี้ทำให้หน้าผากของโรเอลขมวดคิ้วขึ้น แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะหยุดมองแต่อย่างใด
โชคดีที่ทหารของวิกตอเรียควบคุมลูกธนูของพวกเขาได้เป็นอย่างดี จึงไม่มีลูกธนูสักดอกตกลงมาในท่อระบายน้ำ ความเป็นมืออาชีพของพวกเขาเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของโรเอลเป็นอย่างมาก เพราะแม้ว่าเขาจะมีโล่ แต่เด็กชายก็ไม่มีทางที่จะรับมือกับลูกธนูที่เหมือนระเบิดมือเหล่านั้นได้เลย
“ต้านศัตรูเอาไว้! ปกป้องพวกของเราที่กำลังล่าถอย!”
“อย่าเสียเวลาเข้าไปยุ่งกับศัตรู!”
หลังจากได้ตัวนอร่าไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาก็สั่งการลงมาให้แก่เหล่าทหาร วิกตอเรียและกองกำลังของเธอไม่มีความคิดที่จะสู้รบกับฝั่งของเวตอีกต่อไป ทหารที่อยู่แนวหลังพยายามที่จะล่าถอย ในขณะที่ทหารแนวหน้าพยายามต้านศัตรูเอาไว้ เพราะทางด้านกองทัพขององค์ชายเวตเองก็ตามติดอย่างดื้อด้านไม่คิดที่จะปล่อยให้พวกเขาถอยกลับไปได้
“บุกเข้าไป! อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้!”
“อย่าได้ถอย! พวกเราชนะพวกมันได้!”
คำสั่งดังลั่นไปทั่วสนามรบ ทำให้โรเอลเครียดและวิตกกังวล เขารู้ดีว่าตนเองจะต้องไปถึงฝ่ายวิกตอเรียและพอนเต้ให้ได้ก่อนที่พวกเขาจะจากไป มิฉะนั้นโรเอลจะไม่มีทางตามหาพวกเขาพบได้เลยในพื้นที่เขาวงกตแห่งนี้
ด้วยความคิดนี้ในใจ โรเอลจึงรีบเร่งฝีเท้าพุ่งออกไปข้างหน้า ขณะที่เลือดของผู้เสียชีวิตไหลลงถนนมายังท่อระบายน้ำ ทำให้พื้นท่อทั้งหนืดและลื่นเล็กน้อย แต่โรเอลไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความสกปรกเหล่านั้นเลย เขาชินชากับกลิ่นเลือดไปแล้วระหว่างที่กำลังตะกายไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง
น่าเสียดายที่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อโรเอลเท่าไหร่ ถนนสายนี้ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของพอนเต้ผู้ครอบครองคฤหาสน์เขาวงกต ดังนั้นกองทัพขององค์ชายเวตจึงไม่สามารถรั้งพวกเขาเอาไว้ได้นาน
ม่านหมอกเริ่มปกคลุมท้องถนนอีกครั้ง เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี ทั้งสองฝ่ายจึงหยุดยิงธนูเพราะเกรงว่าอาจจะเผลอยิงถูกฝ่ายเดียวกัน เสียงกรีดร้องของสงครามค่อย ๆ เบาบางลง เป็นสัญญาณว่าการต่อสู้กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า
แม้ว่านี่ควรจะเป็นข่าวดี แต่มันกลับเป็นฝันร้ายสำหรับโรเอล เขายังไปไม่ถึงจุดกึ่งกลางของสนามรบเลยด้วยซ้ำ ซึ่งหมายความว่าเขากำลังจะถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง
เราควรจะทำอย่างไรดี? แบบนี้เราควรวิ่งไปข้างหน้าต่อไหม?
โรเอลยังมีโอกาสที่จะไปได้ทัน แต่ปัญหาก็คือเขาไม่มีเกราะของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะทำให้เขาโดดเด่นมากในสนามรบ ถ้าทหารของทั้งสองฝ่ายโจมตีมาที่เขาพร้อม ๆ กันล่ะก็ โรเอลไม่มีทางรอดไปได้อย่างแน่นอน
เด็กชายยังคงวิ่งไปข้างหน้าตามท่อระบายน้ำอย่างสุดความสามารถ ในช่วงเวลาเช่นนี้เขาไม่สามารถคลายความกังวลลงได้ เพราะการกระทำโดยประมาทในสนามรบเพียงจังหวะเดียว ก็อาจจะทำให้เขาตายได้ ขณะเดียวกันโรเอลก็เข้าใจดีว่าเขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญและจะต้องตัดสินใจให้ได้ในไม่ช้า
เขาสัมผัสดาบสั้นสีเงินอย่างครุ่นคิด โรเอลยังสามารถใช้ นอกกรอบ ได้อีกหนึ่งครั้ง และตอนนี้ม่านหมอกก็ยังไม่หนามาก นั่นหมายความว่าเขาสามารถเคลื่อนย้ายระยะไกลได้อย่างฉิวเฉียดถ้าเขาใช้มันดี ๆ มันน่าจะเพิ่มโอกาสในการไล่ตามกองกำลังที่กำลังล่าถอยของวิกตอเรียได้ทันการณ์
ทว่า โรเอลก็เข้าใจดีว่าการเคลื่อนย้ายไปข้างหน้าเพียง 50 เมตรนั้นไม่เพียงพอสำหรับเขาที่จะออกจาก ‘เขตการต่อสู้’ ซึ่งหมายความว่ามันมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก
จะใช้หรือไม่ใช้ นั่นคือคำถาม…
ความเครียดมหาศาลทำให้การหายใจของโรเอลรุนแรงขึ้น จนเขาเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย เด็กชายมองออกไปทางท่อระบายน้ำก่อนที่จะกัดฟันอย่างหงุดหงิด
บ้าที่สุด! ถ้าเรายังลังเลอยู่ล่ะก็ หมอกได้กลับมาอย่างสมบูรณ์ก่อนแน่! เราต้องเดิมพันแล้ว! ในกรณีที่แย่ที่สุด เราก็จะเปิดใช้งานจี้สีม่วง หลบอยู่กลางสนามรบเหมือนรูปปั้น!
เมื่อตัดสินใจได้แล้วโรเอลก็ดึงดาบสีเงินออกมา เตรียมที่จะเคลื่อนย้ายตัวเองออกจากท่อระบายน้ำ ทว่าก่อนที่เขาจะได้เคลื่อนไหว เสียงโห่ร้องสรรเสริญก็ดังมาจากข้างบน
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทมาถึงแล้ว!”
“องค์ชายเวต ทรงพระเจริญ!”
10 วินาทีหลังจากเสียงอุทานของทหารเพียงคนเดียว เสียงคำรามแห่งความตื่นเต้นของเหล่าทหารก็ต้องทำให้พื้นถนนต้องสั่นสะเทือน โดยไม่ต้องเหลียวไปมองข้างหลัง โรเอลก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นข้างบนนั้น
องค์ชายเวตได้ก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตนเองแล้วนั่นเอง
เสียงระเบิดดังก้องนั้นทำให้พื้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนโรเอลเกือบลื่นไถลลงไปกับกองเลือดที่ไหลลื่นอยู่ใต้เท้าของเขา ด้วยความประหลาดใจ เด็กชายจึงรีบมองออกไปจากท่อระบายน้ำอีกครั้ง ทำให้เขาได้เห็นสายฟ้าสีแดงพุ่งตรงขึ้นไปในท้องฟ้า ฉีกม่านหมอกของคฤหาสน์เขาวงกตออกเป็นสองซีก
เฟลเดอร์ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้อย่างรวดเร็ว เขายกดาบขึ้นแล้วคำรามออกมาอย่างดุดัน เพียงชั่วพริบตา ขวัญกำลังใจของฝั่งกองทัพองค์ชายเวตก็พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุด และพวกเขาก็พุ่งทะยานออกไปด้วยความดื้อรั้นมากกว่าเดิมเพื่อหยุดการล่าถอยของศัตรู
โรเอลตกใจเล็กน้อยกับสถานการณ์ในสนามรบที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พลางมองไปยังเวตผู้กำลังร่ายคาถาเวทของตนที่แนวหน้าของสนามรบ ทันใดนั้นเด็กชายก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้น่ารังเกียจอีกต่อไป
ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเขาที่สร้างโอกาสนี้ให้กับเรา เขาเป็นเทวดาผู้พิทักษ์ของเราใช่ไหมเนี่ย!
โรเอลเก็บดาบสั้นสีเงินของเขา แล้วจึงวิ่งไปตามท่อระบายน้ำอย่างรวดเร็ว