บทที่ 88: ใครจะไปทนได้ ?
“เราพบกันอีกครั้งแล้วสินะ… ในบรรดาผู้ที่ข้าได้มอบอำนาจให้ทั้งหมด เจ้าเป็นคนแรกที่กลับมาหาข้าไวที่สุด”
บนที่ราบสีเลือด โครงกระดูกขนาดมหึมาผู้สวมมงกุฎอยู่บนหัว จ้องมองลงมายังเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ดวงตาเป็นประกายไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“บรรดาผู้ที่ได้รับพลังของข้า มักจะเก็บมันเอาไว้ และไม่กล้าที่จะใช้มันอย่างฟุ่มเฟือย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นใครบางคนใช้มันถึงสองครั้งในหนึ่งวัน”
“อำนาจมีไว้ก็เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ไม่ใช่เหรอ? ใช้งานในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ฉันเชื่อว่านั่นคือวิธีที่ดีที่สุดในการใช้พลัง และนั่นคือสิ่งที่ฉันทำ”
โรเอลเงยหน้าขึ้นมองดูกรันด้าที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าพร้อมเปิดเผยความคิดของเขา โครงกระดูกครุ่นคิดเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“เจ้าพูดถูก อำนาจมีเอาไว้เพื่อใช้งาน มันไม่มีความหมายที่จะระงับพลังของตัวเองเอาไว้ เพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของมัน”
อารมณ์ของกรันด้าดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของโรเอล เขาโน้มตัวไปข้างหน้า นอนลงบนหินสีแดงบนที่ราบ ลดระยะห่างจากโรเอลด้วยท่าทางที่แสดงถึงความสนใจในตัวเด็กน้อย
“ตั้งแต่สมัยโบราณ นักรบมักจะแสดงความกล้าหาญ ความแข็งแกร่งของตนเองในสนามรบ เพื่อที่จะได้รับความเคารพ และความเคารพเหล่านั้นจะมอบอำนาจให้แก่พวกเขา กลายเป็นรากฐานแห่งพลัง กรณีนี้การต่อสู้ในครั้งที่สองของเจ้า เหล่าทหารต่างก็ได้เห็นความกล้าหาญของเจ้าแล้ว นั่นจะต้องส่งผลดีในอนาคตแน่”
“แล้วการต่อสู้ครั้งแรกของเจ้าล่ะ? ทำไมเจ้าถึงเลือกที่จะต่อสู้กับเขา? เพื่อทูตสวรรค์ตัวน้อยคนนั้นงั้นเหรอ?”
โรเอลไตร่ตรองคำถามของกรันด้า การต่อสู้ของเขากับปีเตอร์ เคเตอร์ที่โบสถ์ เป็นเรื่องลับที่ไม่มีใครได้เห็น การสังหารปีเตอร์ เคเตอร์ไม่ได้ทำให้เขาได้รับเกียรติหรือรางวัลใด ๆ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยอันตรายเช่นกัน
“ฉันฆ่าปีเตอร์ เคเตอร์ เพราะเขาสมควรตาย เขาได้กระทำสิ่งชั่วช้ามามากเกินไป และการดำรงอยู่ของเขานั้นเป็นอันตรายแก่มวลมนุษย์ ฉันปกป้องนอร่า เพราะรู้สึกว่าเธอคู่ควรกับการปกป้อง เธอเป็นคนซื่อตรง ใจดี… แม้ว่าจะมีนิสัยใจคอแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็แยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ถูกกับสิ่งที่ผิดได้เป็นอย่างดี เธอใช้พลังด้วยเจตนาที่ดีเสมอ มันแปลกงั้นเหรอที่ฉันเลือกปกป้องเธอ?”
หลังจากที่เห็นว่ากรันด้าอยู่ในตำแหน่งที่ผ่อนคลาย โรเอลจึงนั่งลงบนพื้นอย่างสบาย ๆ ด้วยเช่นกัน เด็กชายตั้งคำถามในใจเกี่ยวกับเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของตนเองในตอนนั้น และเมื่อนึกถึงนอร่า คำตอบต่าง ๆ ก็ดูเหมือนจะไหลออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ
กลับกันแล้วดวงตาของกรันด้ากะพริบเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำตอบ ไม่นานนักเขาก็ตั้งข้อสังเกต
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าต้องการแต่งงานกับนางสินะ”
“… หือ?”
คำตอบของกรันด้าทำให้โรเอลเบิกตากว้าง เด็กชายเงยหน้าจ้องไปที่โครงกระดูกขนาดมหึมาเหนือเขาอีกครั้ง ใบหน้าอันอ่อนโยนของเขาแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว
“นายกำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ! ฉันเคยพูดแบบนั้นตอนไหนกันเล่า? …ฉันยังเด็กอยู่เลยนะ!”
“หืม? ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? เจ้าไม่ได้อยากร่วมรักกับนางเหรอ?”
“อ..อะไรนะ ร่วมรักเรอะ? นั่นไม่ใช่ประเด็นเลย!”
โรเอลอุทานเสียงดังด้วยความเขินอาย
“สิ่งที่ฉันพยายามจะพูดก็คือ ฉันทำในสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก! ความคิดของนายหลุดลอยไปไกลขนาดนั้นได้ยังไงเนี่ย”
เหตุผลของโรเอล ทำให้กรันด้าเงียบลงอีกครั้ง แสงริบหรี่ในดวงตาของเขาสั่นไหว เหมือนกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์โบราณ
“… สิ่งที่ถูกต้อง งั้นเหรอ? มันเป็นไปได้จริง ๆ หรือ ที่จะกำหนดว่าสิ่งใดในโลกนี้ถูกต้อง? บ่อยครั้งผู้ที่เชื่อว่าตนเองกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง มักจะพบจุดจบที่ไม่ดีนัก”
คำพูดของกรันด้าแสดงถึงความเศร้าโศกเล็กน้อย เมื่อสังเกตเห็นความผันผวนในน้ำเสียงของโครงกระดูก ดวงตาของโรเอลก็หรี่ลงเล็กน้อย
“การกำหนดว่าบางสิ่งถูกต้องหรือไม่นั้น ฉันเชื่อว่าเราสามารถจำแนกสิ่งเหล่านั้นออกเป็นความถูกต้องสมบูรณ์และความถูกต้องสัมพันธ์ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ในมุมมองไหน”
“เจ้าลองอธิบายให้ข้าฟังเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้สิ”
“ความถูกต้องสมบูรณ์หมายถึงความจริง อันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตัวอย่างเช่น การที่ฉันบอกว่าฉันคือมนุษย์ นั่นคือความจริงสมบูรณ์ที่เป็นรูปธรรม สำหรับความถูกต้องสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นการฆ่าปีเตอร์ เคเตอร์ของฉัน…”
“จากมุมมองของฉัน ปีเตอร์ เคเตอร์เป็นบุคคลที่น่าสยดสยอง ผู้ไม่มีความรู้สึกผิดต่อการกระทำอันเลวร้ายของตนเอง นั่นคือเหตุผลที่ฉันเชื่อว่า ฉันมีเหตุผลในการฆ่าเขา ทว่า ในสายตาขององค์กรลัทธิชั่วร้ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อมนุษยชาติ ปีเตอร์ เคเตอร์ อาจจะถูกมองว่าเป็นวีรบุรุษของพวกเขาก็ได้”
“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความผิดชอบนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของตัวเรา ซึ่งข้อสรุปที่ได้รับเองก็จะแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นนายกำลังถามหาความถูกต้องแบบไหนกันล่ะ?”
โรเอลถาม
กรันด้าไม่ตอบคำถามของโรเอลในทันที เขาลองคิดทบทวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนโดยไม่ขยับเขยื้อน เป็นเวลานาน เหลือเพียงแค่เสียงลมหวีดหวิวบนที่ราบนี้
“… ข้าน่าจะสนใจอย่างหลัง”
โครงกระดูกขนาดมหึมาตอบ ก่อนจะลุกขึ้นยืนส่งผลให้หินและฝุ่นจำนวนมากตกลงมาจากรอยแยกของร่างกาย โรเอลจึงรีบปิดปากของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรลอยเข้าไปในปาก
“เจ้าชื่อ โรเอล แอสคาร์ดใช่ไหม? ความคิดของเจ้าทำให้ข้าสนใจ เจ้าได้ใช้คาถาเวทของข้าไปสองครั้งแล้ว ครั้งหน้าที่เราพบกัน เจ้าจะต้องตอบคำถามของข้า”
กรันด้าเตือนโรเอลด้วยความหวังว่าอีกฝ่ายจะใช้เวลาคิดทบทวนอย่างรอบคอบ ซึ่งโรเอลทำได้เพียงพยักหน้าท่ามกลางฝุ่นควันรอบตัว
“วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน เจ้ากลับไปได้แล้ว”
หลังจากกรันด้าพูดจบ สภาพแวดล้อมของโรเอลก็หายไปในความมืด เมื่อทุกอย่างหายไปโรเอลก็หมดสติลงไปอีกครั้ง
…
“… โรเอล… โรเอล!”
“แค่ก! น..นอร่า!”
“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที!”
ทันทีที่โรเอลลืมตาตื่น เขาก็เห็นใบหน้าอันสวยงามตรงหน้าเขา ใบหน้านั้นมองมาทางเขาด้วยความกังวล ก่อนที่เด็กชายจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แขนคู่หนึ่งก็โอบร่างกายของเขาไว้แน่น
“ด…เดี๋ยวก่อน! อา? ไม่เจ็บแล้ว…”
โรเอลสะดุ้งโดยสัญชาตญาณจากบาดแผล และความเจ็บปวดอันแสนสาหัสที่พอจะจำได้จากการกอดครั้งก่อน น่าประหลาดใจที่เขารู้สึกถึงเพียงแค่ร่างกายอันอ่อนนุ่มของนอร่า และกลิ่นหอมอันน่าหลงใหลของเธอ
เด็กชายเริ่มมองไปรอบ ๆ ตัว แล้วจึงตระหนักได้ว่าเขาอยู่ในห้องนอนธรรมดา ๆ ห้องนอนนี้ขาดเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นหลายอย่าง ราวกับว่าเพิ่งถูกนำมาประกอบกันเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว แต่ก็ยังถือว่าสวยงามพอสมควร
เดี๋ยวก่อนนะ ห้องนี้มัน…
ไม่นานนักโรเอลก็สังเกตเห็นว่าห้องที่เขาอยู่นั้นคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เขาชำเลืองมองไปยังประตู ซึ่งเป็นประตูโลหะที่มีตาแมวติดอยู่ นั่นทำให้เด็กชายรู้ตำแหน่งในปัจจุบันของเขาได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนว่าเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้งแล้วสินะ
มีคฤหาสน์หลังเดียวในโลกนี้เท่านั้นที่จะมีตาแมวอยู่บนประตูทุกบาน คฤหาสน์เขาวงกต การกลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมอันคุ้นเคยนี้ทำให้โรเอลถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ขณะเดียวกัน นอร่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน เธอกอดโรเอลเอาไว้ก่อนจะสงบลงแล้วเริ่มพูด
“ก่อนหน้านี้เจ้าน่าจะฝันร้ายใช่ไหม? การหายใจของเจ้าขาดหายไปพักหนึ่ง เจ้าทำให้ข้าตกใจกลัวมากจริง ๆ”
“อา? เอ่อ นั่นมัน…”
โรเอล หวนนึกถึงช่วงเวลาที่โลกรอบตัวเขาจางหายไปหลังจากบอกลากรันด้า และเขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายยืนยันกับนอร่าว่าตนเองสบายดีก่อนที่จะถามถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของพวกเขา
หลังจากที่การต่อสู้จบลงด้วยการล่าถอยของฝั่งองค์หญิงวิกตอเรีย ทั้งโรเอลและนอร่าก็ถูกนำตัวมาที่คฤหาสน์เขาวงกต ซึ่งเป็นค่ายหลักของฝั่งองค์หญิงวิกตอเรียเพื่อเข้ารับการรักษา นอร่าประสบความสำเร็จในการปลุกพลังสายเลือดระดับเงินด้วยความช่วยเหลือจากวิกตอเรีย ส่วนโรเอลก็อยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ผู้มากประสบการณ์
ระหว่างที่โรเอลกำลังเข้ารับการรักษา พวกเขาก็ได้ทำการตรวจเลือดระหว่างเขากับพอนเต้ด้วยคาถา ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่าเด็กชายนั้นเป็นสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ดจริง ๆ
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถแจ้งวิกตอเรียและพอนเต้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาในฐานะผู้เดินทางข้ามเวลาจากอนาคตได้
ราวกับว่ามีใครบางคนร่ายคาถาเวทจำกัดคำพูดของพวกเขาเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับโรเอล และเขาก็ไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากต่อให้ทำได้ การอธิบายสถานการณ์ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากอยู่ดี
หลังจากผ่านสถานการณ์ความเป็นความตายมาสองหน โรเอลรู้ถึงความรู้สึกปิติยินดีที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ เขาวางคางลงบนไหล่ของนอร่า ดื่มด่ำกับความอบอุ่นของร่างกายมนุษย์ เด็กชายไม่เคยคิดว่าเลยว่าความสุขนั้นจะสามารถเติมเต็มได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“นอร่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะปัญหาในพลังสายเลือดของฉัน ฉันเป็นคนลากเธอเข้ามาเจออันตรายด้วยกัน ฉันขอโทษ”
“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ? ปู่ของข้าเองก็มีส่วนทำให้พลังสายเลือดของเจ้าตื่นขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้… เจ้าก็เป็นคนที่ช่วยปกป้องข้าจากเงื้อมมือของลัทธิชั่วร้ายนั้นด้วย”
นอร่าหัวเราะออกมาอย่างไพเราะเมื่อได้ยินคำพูดของโรเอล พร้อมกอดเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม กลับกันแล้วโรเอลกลับแปลกใจที่ได้ยินว่าเธอรู้ถึงเรื่องนั้นด้วย
“แน่นอนสิ แค่เสียงก็รู้แล้วน่า”
นอร่าตอบด้วยรอยยิ้มที่ทำอะไรไม่ถูก
เมื่อหวนนึกถึงคืนที่เด็กสาวกำลังนอนหมดสติอย่างช่วยไม่ได้ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของปีศาจ การกระทำที่กล้าหาญของโรเอลได้ซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ตั้งแต่นอร่ายังเด็ก เธอไม่เคยขาดการปกป้องจากผู้อื่นมาก่อนเลย ไม่ว่าจะด้วยความรับผิดชอบ หน้าที่ หรือเครือญาติ คนรอบข้างก็มักจะกล้าฝ่าฟันอันตรายเพื่อความปลอดภัยของเธอ
พระสังฆราชจอห์นเคยบอกนอร่าเอาไว้ว่า เธอควรจะปกป้องชีวิตของตัวเองให้ได้ด้วยมือของเธอเอง เนื่องจากมนุษย์นั้นเปราะบาง ง่ายที่จะหลงเข้าไปสู่ความเลวทราม มันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สักวันหนึ่งเธอจะต้องเผชิญกับการทรยศจากคนใกล้ชิด
“มีเพียงคนที่รักเจ้าจริง ๆ เท่านั้นที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อเจ้า ทว่าเจ้ายินดีที่จะให้บุคคลดังกล่าวเสียสละเพื่อเจ้าจริง ๆ งั้นหรือ?”
ตอนนี้นอร่าเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของพระสังฆราชจอหน์แล้ว และเธอก็พบคำตอบสำหรับคำถามนั้นด้วย
ไม่ เธอไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นแน่ เธอกลัวเกินกว่าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้น
“ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าแท้ ๆ มันควรจะเป็นข้าที่ปกป้องเจ้า…”
“ไร้สาระน่า ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ฉันจะปล่อยให้เธอเป็นคนเดียวที่เผชิญอันตรายได้ยังไงเล่า”
“ไม่ได้ เจ้าเป็นสมบัติของข้า เจ้าต้องขออนุญาตจากข้าก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บ เข้าใจไหม?”
“หมายความว่ายังไง…”
เมื่อคิดได้ว่านอร่ากำลังแกล้งล้อเลียนเขา โรเอลก็ปฏิเสธคำพูดของเธอในทันที แต่ทันใดนั้นนอร่าก็นั่งตัวตรงและจับมือเขาด้วยความจริงใจ
“ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่ แต่ข้าก็ยินดีจะจ่ายล่วงหน้าก่อน”
มันไม่ใช่รอยยิ้มซุกซนตามปกติบนใบหน้าของนอร่า แต่เป็นความกังวล การแสดงออกอันอ่อนโยนของเธอแตกต่างจากปกติมากจนทำให้หัวใจของโรเอลเริ่มเต้นระรัว
“โรเอล ข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง ข้าจะเป็นผู้พิทักษ์ของเจ้า นี่เป็นคำปฏิญาณเพื่อตัวข้าเอง และข้าจะอุทิศชีวิตเพื่อทำมันให้สำเร็จ”
คำสารภาพที่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันของนอร่า ทำให้โรเอลเริ่มสั่นคลอน ในที่สุดเด็กชายก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนอร่าถึงได้แสดงความรู้สึกที่แปลกไปกับเขา ครั้งนี้นอร่าไม่ได้แกล้งล้อเลียนเขาเพื่อเติมเต็มความปรารถนาซาดิสม์ของเธอแต่อย่างใด แต่เป็นการแสดงความรู้สึกในหัวใจโดยแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในยุทธวิธีนี้เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับโรเอล เด็กชายรู้สึกว่าการป้องกันของเขากำลังพังลงอย่างรวดเร็ว
“ธ..เธอกำลังพูดเรื่องอะไร? ฉันเลือกที่จะฆ่าปีเตอร์ เคเตอร์ด้วยความตั้งใจของฉันเอง เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกน่า”
“ถึงเจ้าจะไม่ต้องการ ข้าก็เต็มใจทำ”
“ด..เดี๋ยวก่อนนะ ช่วยเงียบสักครู่สิ…”
โรเอลรู้สึกว่าเลือดกำลังพลุ่งพล่านในหัว แก้มของเขาร้อนจนแทบไหม้ พร้อมอาการคันเล็กน้อยที่หน้าอก จิตใจของเขาเริ่มถูกครอบงำจนไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
โชคดีสำหรับโรเอลที่มีคนเข้ามาพอดี และช่วยเขาให้พ้นจากความลำบากนี้ไปได้
“พวกเจ้าทั้งสองช่างรักกันดีเสียจริง! เด็ก ๆ ทุกวันนี้เริ่มกระซิบคำหวาน ๆ กันตั้งแต่อายุยังน้อยเลยงั้นหรือเนี่ย? อย่างน้อย ๆ ก็ยังดีกว่าผู้ใหญ่ขี้ขลาดที่ไม่กล้าทำอะไรเลย!”
เสียงล้อเลียนอันน่าอิจฉาดังขึ้นมา
ประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นองค์หญิงวิกตอเรียที่เดินเข้ามาพร้อมกับชายผมดำที่ดูขมขื่นข้างหลังเธอ