บทที่ 89: ฉันควรจะเป็นแมงดาหรือไม่ ?
หืม? ผู้หญิงคนนี้คล้ายกับนอร่ามาก…
นี่เป็นปฏิกิริยาแรกของโรเอลเมื่อเห็นวิกตอเรียเป็นครั้งแรก เธอดูเหมือนกับนอร่ามาก จนเด็กชายต้องตกตะลึง แต่ในไม่ช้าเขาก็ตั้งสติได้
ในฐานะที่เป็นคนที่เคยเล่นเกมอาย ออฟ โครนิเคิลในชาติก่อน โรเอลจึงรู้ดีว่าความคล้ายคลึงนี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เรื่องหน้าตาอาจจะไม่ต่างกันมาก ส่วนรูปร่างนั้น…
นอร่าจะมีรูปร่างที่ดีกว่ามาก หากเทียบกับวิกตอเรียผู้ไร้เดียงสา
จากการประมาณคร่าว ๆ วิกตอเรียในตอนนี้น่าจะอายุราว ๆ 20 ปี แต่ร่างกายของเธอนั้นกลับไม่ได้ต่างจากสัดส่วนของนอร่าที่อยู่ในวัย 10 ขวบเสียเท่าไหร่
ความสนใจของโรเอลเอนไปทางชายผมดำที่ยืนอยู่ข้างหลังวิกตอเรีย และอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับความรู้ของตัวเอง
เดี๋ยวนะ นี่มันไม่ถูกต้อง ตามบันทึกที่พอนเต้ได้ทิ้งเอาไว้ วิกตอเรียน่าจะเป็นคนแบบที่เขาชอบไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงได้ปฏิเสธเธอกัน?
ก่อนหน้านี้โรเอลคิดว่าพอนเต้เป็นพวกน่าขยะแขยงที่พยายามไปจีบสาวอายุน้อยกว่า แต่เมื่อพวกเขาได้คุยกัน ในไม่ช้าเด็กชายก็ตระหนักได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนซับซ้อนกว่าที่เขาคิดไว้มาก วิกตอเรียไม่เพียงแต่เป็น ‘โลลิ[1]ถูกกฎหมาย’ เท่านั้น แต่ยังมีอำนาจบางอย่างเหนือกว่าพอนเต้ จนจอมเวทต้องอนุญาตให้เธอควบคุมเขาได้ตามสะดวก
“ท่านอาจารย์ น่าประทับใจจริง ๆ นะคะ ที่ได้เห็นพวกเขาสนิทสนมกันขนาดนี้”
“ช..ใช่”
“จะว่าไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่าขุนนางยุคใหม่ก็เริ่มต่อต้านการแต่งงานทางการเมืองกันแล้ว ทำให้ความคิดเก่า ๆ ที่ขุนนางต้องเลือกระหว่างความรับผิดชอบต่อตระกูล กับความสุขของตัวเองเริ่มค่อย ๆ ถูกปฏิเสธไป”
พอนเต้เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของวิกตอเรียดี เขาจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ นั่นทำให้โรเอล สังเกตเห็นว่าพอนเต้เองก็สนใจเธอในระดับหนึ่ง เหมือนว่าทั้งสองคนต่างก็มีกันและกันอยู่ในใจ
โรเอลไม่เพียงแต่มองดูปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาเท่านั้น แต่สังเกตถึงบรรยากาศรอบตัวของพวกเขาและท่าทางอันละเอียดอ่อนด้วยเช่นกัน แม้ว่าวิกตอเรียจะซ่อนมันเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ในบางครั้ง เธอก็ยังแสดงออกถึงนิสัยที่เขาคุ้นเคย เด็กชายชำเลืองมองไปยังนอร่า เขาเข้าใจได้ในทันทีว่านิสัยซาดิสม์ของเด็กสาวนั้นมีที่มาจากอะไร
มันเป็นลักษณะนิสัยทางพันธุกรรมที่ปรากฏขึ้นในทุก ๆ สองสามชั่วอายุคนสินะ…
อาจเป็นเพราะนอร่าสัมผัสได้ถึงความคิดของโรเอล เด็กสาวจึงหันมามองเขา ด้วยการจ้องมองของเธอ เขาจึงรีบเบนสายตาไปทางพอนเต้ ทันใดนั้นชายทั้งสองคนของตระกูลแอสคาร์ด ก็ได้ประสานสายตากัน ทั้งสองดูเข้าใจหัวอกกันเป็นอย่างดี
มันเป็นความรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เนื่องจากความทุกข์ทรมานด้วยชะตากรรมแบบเดียวกัน พวกเขาเป็นเหมือนชาวนาที่ถูกกดขี่และพร้อมจะยกอาวุธขึ้นต่อสู้กับสาว ๆ จากตระกูลเซไซต์ …
… แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าทำเช่นนั้นจริง ๆ ก็ตาม เพราะการกบฏของพวกเขาจะต้องถูกระงับในทันทีทันใดแน่ ๆ
พอนเต้และวิกตอเรียอธิบายพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากมายให้กับโรเอลและนอร่า น่าแปลกใจที่พวกเขาไม่ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตนของเด็ก ๆ ทั้งสองเลย ดูเหมือนพวกเขาจะเชื่อว่าพระสังฆราชไรอัน เป็นคนซ่อนทั้งสองเอาไว้ และความโกลาหลที่เกิดขึ้นโดยกะทันหันนี้เป็นตัวการที่ทำให้การมีอยู่ของพวกเขาถูกเปิดเผยโดยบังเอิญ
แน่นอนว่าโรเอลเต็มใจอย่างยิ่งที่จะโยนความผิดให้ไรอันผู้อยู่ห่างไกล ส่วนนอร่านั้นรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อยเกี่ยวกับการทำลายชื่อเสียงบรรพบุรุษของเธอ แต่เธอก็เลือกที่จะเงียบเช่นกัน
“สาวน้อย เจ้าทนทุกข์ทรมานมาหลายปีแล้วสินะ ได้โปรดเชื่อเถอะว่าบิดาของพวกเราไม่ใช่คนที่จะละทิ้งสมาชิกในครอบครัวของเขา ข้าไม่รู้ว่าเวตพูดอะไรกับเจ้าไปบ้าง แต่คำพูดของเขานั้นเชื่อไม่ได้ เขากำลังมุ่งสู่เส้นทางของทรราช”
วิกตอเรียจับมือนอร่าพร้อมเริ่มแนะนำ ‘น้องสาว’ อย่างอบอุ่น เมื่อเห็นหญิงสาวซาดิสม์สองคนทำท่าทางอ่อนโยนให้แก่กัน เปลือกตาของโรเอลกระตุกขึ้นอย่างไม่สบายใจ เขาชำเลืองมองไปทางพอนเต้ ซึ่งก็กำลังประหลาดใจอยู่ไม่ต่างกัน
“คุณพอนเต้ ผมมีคำถามบางอย่างเกี่ยวกับพลังทางสายเลือดของพวกเรา ตอนนี้คุณพอจะสะดวกไหมครับ?”
โรเอลใช้โอกาสนี้พูดคุยกับบรรพบุรุษของตน ซึ่งพอนเต้ก็พยักหน้าพร้อมตอบคำถามของเขา
“เจ้าชื่อว่าโรเอลใช่ไหม? ข้าคือผู้นำตระกูลแอสคาร์ดคนปัจจุบัน ดังนั้นอย่าลังเลที่จะถามข้าเกี่ยวกับตระกูลของพวกเรา”
ในฐานะผู้นำของตระกูลแอสคาร์ดผู้ทนทุกข์ทรมานจากการไม่มีลูกหลาน พอนเต้ได้แต่หวังว่าแผนภูมิต้นไม้ตระกูลจะขยายออกไปอีกแม้เพียงเล็กน้อย สมาชิกในตระกูลสาขาอย่างโรเอลไม่น่าจะมีสิทธิ์ได้สืบทอดตระกูลแอสคาร์ดอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้เขารับโรเอลเข้ามาก็ไม่น่าจะเกิดความขัดแย้งอะไรภายในตระกูล หากรับเด็กชายคนนี้เข้ามาได้ เขาก็จะมีผู้ช่วยอีกคนหนึ่งสำหรับเวลาเมื่อเกิดวิกฤต
ด้วยเหตุนี้พอนเต้จึงไม่ได้รังเกียจการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของโรเอล
ที่ทำให้จอมเวทแปลกใจ มีเพียงการที่โรเอลไม่คิดจะถามเขาเกี่ยวกับการกลับไปยังตระกูลแอสคาร์ดเลย แต่กลับเลือกที่จะถามหนึ่งในความลับสำคัญของตระกูลแทน
“คุณพอนเต้ เชื้อสายของเรามีพลังสายเลือดใช่ไหมครับ? ผมพอจะขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ใช่ไหม?”
โรเอลมองไปที่พอนเต้ด้วยสายตาอันแน่วแน่ในขณะที่กำลังถามคำถาม นี่ทำให้พอนเต้ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้ สีหน้าของจอมเวทดูกังวลขึ้นมาในทันที
“เดี๋ยวนะ ความแข็งแกร่งที่เจ้าแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้ในสนามรบ มันเกี่ยวอะไรกับพลังทางสายเลือดของตระกูลเรางั้นเหรอ?”
“ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นครับ…”
การตอบสนองอย่างลังเลของโรเอล ทำให้ตาของพอนเต้เบิกกว้าง พอนเต้ลุกขึ้นแล้วดึงโรเอลออกไปจากห้องพร้อมกับเขาในทันที
“เจ้าหนู ตามข้ามา!”
“เอ๋? พอนเต้ เจ้าจะพาเด็กคนนั้นออกไปไหนน่ะ?”
“ไปที่ห้องสมุด มีบางอย่างที่ข้าต้องคุยกับเด็กคนนี้เป็นการส่วนตัว ไม่ต้องห่วงไปหรอก”
หลังจากสลัดวิกตอเรียและนอร่าออกไปแล้ว พอนเต้ก็พาโรเอลที่กำลังงงงวยผ่านประตูโลหะจำนวนมากไปยังห้องสมุดของคฤหาสน์ ซึ่งดูว่างเปล่ากว่าในความทรงจำของโรเอลมาก ทั้งสองนั่งลงบนโต๊ะแล้วจ้องหน้ากัน
พอนเต้ไม่ได้รีบเร่งนัก เขาเดินไปเตรียมชามาสองถ้วย แล้วจึงนิ่งเงียบไปนานราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนที่จะพูดขึ้น
“ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนนอกรีตเสียอีก แต่ดู ๆ ไปแล้ว เหมือนว่ามันจะ…ไม่ใช่แบบนั้น หากเจ้าสามารถปลุกพลังสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ดขึ้นมาได้จริง ๆ ล่ะก็ นี่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก”
“หมายความว่ายังไงครับ คุณพอนเต้”
“ในฐานะที่พวกเราเป็นตระกูลขุนนางที่อยู่มาช้านาน แน่นอนว่าตระกูลแอสคาร์ดของเรามีพลังสายเลือดที่สืบเชื้อสายกันมา แต่ตอนนี้มันเกือบจะสูญหายไปแล้ว เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังสายเลือดที่สืบเชื้อสายกันมาของเรา เริ่มจางหายไปตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อเริ่มเข้ามาสู่ยุคที่สาม พวกเราก็สูญเสียวิธีการที่จะปลุกมันไปแล้ว”
“อ๊ะ ผมเข้าใจแล้ว… แสดงว่าการปลุกพลังสายเลือดของตระกูลเราไม่ใช่เรื่องดีสินะครับ”
โรเอลรู้สึกสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากใบหน้าอันเคร่งขรึมของพอนเต้ ดูเหมือนว่าการตื่นขึ้นของพลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดนั้นจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเด็กชายจะไม่เข้าใจเลยก็ตามว่าทำไมการได้รับพลังที่มากขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ดี
พอนเต้ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น เป็นการตอบสนองต่อคำพูดของโรเอล
“มันเป็นเรื่องยากที่สมาชิกในตระกูลของเราจะปลุกพลังสายเลือดที่สืบเชื้อสายกันมาตามธรรมชาติในแบบที่เจ้าทำได้สำเร็จ ในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมา มีบรรพบุรุษของพวกเราสองคนทำมันได้สำเร็จ แต่เจ้ารู้ใช่ไหมว่าพวกเขามีชะตากรรมเช่นไร?”
“มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับพวกเขางั้นเหรอครับ?”
“ทั้งสองคนหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา จนถึงวันนี้พวกเรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”
โรเอลพูดไม่ออก ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงการแจ้งเตือนของระบบที่เขียนไว้ว่า ‘อันตรายเป็นอย่างยิ่ง’ เป็นไปได้ไหมว่าคำเตือนนี้ไม่ได้หมายถึงกระบวนการปลุกพลังของสายเลือด แต่หมายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการปลุกมัน?
“วินสเตอร์ แอสคาร์ด และ โร แอสคาร์ด พวกเขาคือบรรพบุรุษของเราที่สามารถปลุกพลังสายเลือดให้ตื่นขึ้นมาได้ตามธรรมชาติ พวกเขาเป็นผู้นำตระกูลในช่วงเวลาของตนเอง และตระกูลแอสคาร์ดก็ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีกขั้นด้วยมือของพวกเขา ทว่าหลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ ของความเจริญรุ่งเรือง ภายใต้การชี้นำของพวกเขา ทั้งคู่ก็ได้หายตัวไปอย่างปริศนา ส่งผลให้ตระกูลทรุดโทรมลงในทศวรรษต่อมา”
เมื่อนึกถึงบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่บรรพบุรุษของตระกูลแอสคาร์ดทิ้งไว้ พอนเต้ก็ถอนหายใจยาว โรเอลใช้เวลาสักครู่เพื่อปรับความเข้าใจของเขาให้ตรงกับข้อมูล ก่อนที่เขาจะตัดสินใจถามลึกลงไปถึงเรื่องของ วินสเตอร์ และ โร แอสคาร์ด
“คุณพอนเต้ พอจะมีความเชื่อมโยงระหว่างการหายตัวไปของผู้นำตระกูลทั้งสองท่านรึเปล่าครับ?”
“ไม่มีความเชื่อมโยงอะไรที่สำคัญระหว่างการหายตัวไปของพวกเขาเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ควรค่าแก่การสังเกตก็คือพวกเขาทั้งสองคนต่างก็เป็นนักผจญภัยตัวยง ก่อนที่พวกเขาจะหายตัวไป พวกเขามักจะใช้เวลาเดินทางไปทั่วทวีป เพื่อสำรวจซากปรักหักพังโบราณ ตามบันทึก ทั้งสองคนมีพลังมากเหนือจินตนาการ ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกลอบสังหาร… ข้าเดาว่าพวกเขาเสียชีวิตในระหว่างการสำรวจซากปรักหักพังโบราณเหล่านั้น”
“ผมพอจะเข้าใจแล้ว… คุณรู้ใช่ไหมว่าพลังสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด มีความสามารถอะไรบ้าง?”
โรเอลรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อได้ยินชะตากรรมของผู้นำตระกูลรุ่นก่อน ๆ ทั้งสองคน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นลางไม่ดีสำหรับอนาคตของเขา เด็กชายจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามคำถามสำคัญนี้
พอนเต้เงียบลงไปเมื่อได้ยินคำถามนั้น ความเงียบอันแปลกประหลาดยังคงอยู่ในอากาศเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะพูดออกมาสองสามคำ
“ข้าไม่รู้”
“เอ๋? ทำไมล่ะ?”
“พลังสายเลือดของตระกูลเราไม่ได้ถูกระบุเอาไว้ในบันทึกของตระกูล”
“อ…อา… ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีเหมือนกัน”
โรเอลค่อนข้างผงะกับคำตอบ ซึ่งพอนเต้ก็รีบอธิบายด้วยแก้มอันแดงก่ำ
“บันทึกของพวกเรานั้นยังไม่สมบูรณ์ มีบางส่วนที่หายไประหว่างการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น จากสิ่งที่เหลืออยู่ ดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลทั้งสองจะมีปัญหาในการพยายามพรรณนาถึงความสามารถของพลังทางสายเลือด นอกจากนี้ความสามารถของพวกเขาเองก็ยังแตกต่างกันด้วย ความคล้ายคลึงกันเพียงอย่างเดียวระหว่างผู้นำทั้งสองก็คือพวกเขาทั้งคู่ต่างก็ชื่นชอบประวัติศาสตร์ และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อค้นหาความจริงในอดีต”
พอนเต้ดูอึดอัดเล็กน้อยขณะพูด จอมเวทคิดว่าข้อมูลที่ตนมีอยู่นั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ทว่าโรเอลรู้สึกราวกับว่าจิตใจของเขากำลังจะระเบิดหลังจากได้คำอธิบายสั้น ๆ ของพอนเต้ถึง ‘การหาความจริงในอดีต’ นั่นคือสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้เลยไม่ใช่เหรอ?
เมื่อคิดถึงมันแล้ว คฤหาสน์เขาวงกตเองก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์อันสำคัญในยุคของโรเอล นี่ทำให้เด็กชายรู้สึกราวกับว่ามีความลึกลับมากมายอยู่ในตระกูลแอสคาร์ด และพลังทางสายเลือดที่สืบทอดกันมา
“ข้าไม่ได้บอกเจ้าเพื่อข่มขู่เจ้าหรอกนะ ข้าแค่หวังว่าคำแนะนำนี้จะช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดชะตากรรมเดียวกันกับเจ้า”
“คำแนะนำ?”
“แน่นอน ข้าแนะนำให้เจ้าอย่าเดินทางไปรอบ ๆ โดยประมาท แต่ข้าสงสัยว่าบางทีพลังสายเลือดที่สืบเชื้อสายกันมาของพวกเราอาจจะเป็นตัวการที่ทำให้เจ้าต้องไปสำรวจซากโบราณสถานดังที่กล่าวมา ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถตระหนักได้ว่าพลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน ผู้นำตระกูลทั้งสองรุ่นก่อนที่ทำให้ตระกูลแอสคาร์ดของเราเจริญรุ่งเรืองได้จากไปก่อนวัยอันควร เพียงเพราะบางสิ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะต้องคว้ามันไว้ การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเองก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน”
โรเอลสัมผัสได้ถึงความจริงใจเบื้องหลังคำพูดของพอนเต้ เขารู้ว่าพอนเต้กำลังแสดงความห่วงใยอย่างจริงจังในฐานะผู้อาวุโสในตระกูล ซึ่งมันก็ทำให้เด็กชายประทับใจมาก … ทว่าดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว ด้วยความที่เด็กชายถูกกำหนดให้กลายเป็นวายร้ายในอนาคต จึงมีแนวโน้มว่าปัญหาจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาเองเสียมากกว่า แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายอยู่นิ่ง ๆ ก็ตาม
“เจ้าสนิทสนมกับเด็กสาวที่ชื่อว่านอร่าใช่ไหม?”
“อา? ทำไมจู่ ๆ คุณถึงถามคำถามนี้ ผมว่ามันยัง…”
“บางครั้งการพึ่งพาราชวงศ์ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอกนะ…”
เราควรจะทำอย่างไรดี? แม้แต่บรรพบุรุษของเราก็บอกอย่างโจ่งแจ้งว่าให้เรากลายเป็นแมงดาเกาะนอร่า! เราควรฟังคำแนะนำของเขารึเปล่า?
โรเอลจ้องไปที่พอนเต้ด้วยความสับสนมึนงง แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่พอนเต้ก็ดูเหมือนสามีที่ถูกควบคุมภายใต้การปกครองแบบกดขี่ของวิกตอเรียมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ปฏิกิริยาแรกของโรเอลคือการปฏิเสธคำแนะนำของพอนเต้ แต่ทันใดนั้นเด็กชายก็นึกถึงคำพูดที่นอร่า เพิ่งพูดกับเขาในห้องก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ นั่นจึงทำให้ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ พลางก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ขณะที่โรเอลกำลังจะตอบ จู่ ๆ พอนเต้ก็หยิบหนังสือและปากกาออกมา เริ่มจดอะไรบางอย่างลงไป
「9 มีนาคม วันนี้มีแดดจัด
… 」
[1] โลลิ (Loli) หมายถึงเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 13 ปี หรือผู้หญิงที่หน้าตาดูอ่อนกว่าวัย ในที่นี้โลลิถูกกฎหมาย หมายถึงหญิงสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้วแต่ร่างกายยังดูเหมือนเด็กสาวอายุน้อย ทำให้ไม่ผิดกฎหมายพรากผู้เยาว์