บทที่ 92: มงกุฎสายฟ้า
เหตุผลที่ดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก เป็นที่รู้จักในฐานะอาวุธศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็เพราะพวกมันมีพลังอำนาจในการเข้าใจถึงตัวตนของมนุษย์ ความสามารถที่พวกมันบ่มเพาะขึ้นมา มักจะสอดคล้องกับเจตจำนงและตัวตนของผู้ครอบครอง หรือก็คือเป็นการเติมเต็มความปรารถนาอย่างหนึ่งให้แก่ผู้ครอบครอง
โรเอลเป็นเด็กที่อ่อนแอ ดังนั้นเอสเซนด์วิงจึงมอบความสามารถ ‘นอกกรอบ’ ให้กับเขา ทำให้เขาสามารถหนีออกจากสถานการณ์ที่อันตรายต่าง ๆ ได้ ส่วนสำหรับพอนเต้นั้น ดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก ได้เลือกที่จะมอบพลังในการโจมตีให้กับเขา
ผู้ที่อยู่ในสมาคมเวทหกแฉกล้วนขึ้นชื่อในเรื่องความเร็วในการร่ายคาถาเวทอันยอดเยี่ยม คาถาเคลื่อนย้ายอันแปลกประหลาด และคาถารบกวนอันทรงพลัง แต่ก็เหมือน ๆ กับผู้ที่อยู่ในภาคีแห่งภูมิปัญญา จอมเวทส่วนใหญ่ในโบรเนล มีข้อบกพร่องอันร้ายแรงอย่างหนึ่ง
พวกเขาขาดความสามารถในการรุกปิดฉาก หรือพลังรุนแรงที่จะใช้ตัดสินความเป็นไปของการต่อสู้ได้นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้พอนเต้จึงต้องการความสามารถในการโจมตีที่สามารถตัดสินความเป็นไปของการต่อสู้ได้ ซึ่งสิ่งที่ดาบแห่งนักบุญ 12 ปีกมอบให้กับเขาก็คือ คาถาเวท เทวทูตประสานเสียง
มันเป็นคาถาอันทรงพลังที่เปลี่ยนพลังเวทของจอมเวทผู้ใช้ให้กลายเป็นลำแสงทำลายล้างอันรุนแรงที่ไม่อาจจะเทียบเคียงได้
กลับมาที่สนามรบในปัจจุบัน ทหารทุกนายได้ยินเพลงสวดจากสวรรค์ก้องขึ้นมาในหูของพวกเขา ราวกับว่าทูตสวรรค์กำลังอวยพรให้แก่พวกเขาผ่านลำแสงที่ส่องสว่างเหนือท้องฟ้า ทว่าสำหรับเป้าหมายของการโจมตีอย่างองค์ชายเวตแล้ว เสียงนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเสียงแห่งความตาย
“ฝ่าบาท!”
เฟลเดอร์เป็นคนแรกที่ตอบสนองได้อย่างทันท่วงทีในสถานการณ์นั้น ความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อองค์ชาย ทำให้เขาต้องพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว เพื่อปกป้องเวตจากการโจมตีอันรุนแรงถึงแก่ชีวิตนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ดีถึงผลที่จะตามมา
ดวงตาของโรเอลเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเฟลเดอร์ หรือไบรอัน เอลริกจะเป็นคนประเภทที่ยอมสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น
ในมุมมองของเด็กชาย ไบรอันนั้นเป็นคนเย็นชา ที่ให้ความสำคัญกับตระกูลเอลริกเหนือสิ่งอื่นใด รวมถึงสมาชิกครอบครัวของเขาเองด้วย ทว่าตอนนี้เขากลับเป็นดั่งอัศวินที่ปรากฏในตำนาน ชายกล้าหาญผู้ยอมสละชีวิตอย่างไม่ลังเลใจเพื่อปกป้องนายเหนือหัวของตน
ขณะที่เฟลเดอร์พุ่งออกไปข้างหน้า อัศวินก็ได้ใช้พลังเวทของตัวเองจนถึงขีดจำกัด สร้างเกราะป้องกันจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากหมอกสีเลือด เพื่อป้องกันพลังทำลายล้างของลำแสง ทว่าเกราะป้องกันของเขาก็ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันพลังทำลายล้างของ เทวทูตประสานเสียง ที่ใช้ทั้งพลังเวทของ พอนเต้ และ วิกตอเรียรวมกัน เกราะป้องกันหมอกโลหิตของเฟลเดอร์ถูกเจาะทะลุทำลายลงชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างรวดเร็วจนน่าสะพรึงกลัว เร็วกว่าอัตราที่เขาจะสามารถสร้างพวกมันขึ้นมาได้
ทว่าในวินาทีสุดท้าย ก่อนที่เกราะโลหิตชั้นสุดท้ายจะถูกทำลายลง มือของเวตก็ได้ผลักร่างของเฟลเดอร์ออกไปจากแนวการโจมตี
เวตช่วยเฟลเดอร์เอาไว้ได้ทันท่วงที แต่ผลที่ตามมาก็คือการโจมตีจาก เทวทูตประสานเสียง พุ่งตรงเข้าสู่ร่างของเขาเต็ม ๆ ทำให้เฟลเดอร์ร้องเสียงแหบแห้งด้วยความสิ้นหวัง และทหารทุกคนในสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของเวตหรือวิกตอเรียต่างก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่ตนได้เห็น
หน้าที่ของอัศวินคือการปกป้องนายเหนือหัวของตน กลับกันแล้วมีเจ้านายสักกี่คนกันที่จะเต็มใจยืนหยัดเสียสละตัวเองเพื่ออัศวิน? การกระทำของเวตนั้นสูงส่งแต่ก็โง่เขลา ซึ่งองค์ชายก็ต้องจ่ายราคาแพงมหาศาลให้กับการกระทำนั้น
ถึงแม้หมอกโลหิตของเฟลเดอร์จะลดความรุนแรงของ เทวทูตประสานเสียง ลงไปบ้างแล้ว แต่มันก็ยังไม่ใช่คาถาเวทที่เวตจะต้านทานเอาไว้ได้ด้วยร่างกายของเขาอยู่ดี สายฟ้าสีแดงเข้มของเขาถูกแสงสีเงินกลืนกิน ร่างกายขององค์ชายไหม้เกรียมไปพร้อมกับพลังทำลายล้าง จบลงด้วยแรงระเบิดอันน่าสยดสยองก่อนที่ทุกอย่างจะค่อย ๆ สงบลง
ทหารทุกคนล้วนละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังทำเพื่อหันไปมององค์ชายผู้ล้มลงไปบนพื้น
“ข…เขาตายแล้วงั้นเหรอ?”
“พวกเราชนะแล้วเหรอ?”
กองทัพฝั่งของวิกตอเรียจ้องมองไปที่เวตจากระยะไกล รอคำยืนยันจากอีกฝ่ายหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเหล่าทหารฝั่งของเวต ต่างก็ตะโกนด้วยความตื่นตระหนก พวกเขาทุกคนได้แต่หวังว่าผู้บังคับบัญชาของพวกเขาจะลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วบอกพวกเขาว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง
เฟลเดอร์จ้องไปที่ร่างของเวตอย่างตกตะลึง แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่อัศวินก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล เพื่อตรวจสอบสภาพในปัจจุบันของเวต ราวกับว่ามีใครกดปุ่มหยุดชั่วคราวระหว่างการต่อสู้อันดุเดือด
เวต เซไซต์ สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมดไปแล้ว อันที่จริงเขาไม่ได้คิดอะไรมาก ในตอนที่ผลักเฟลเดอร์ออกไปให้พ้นจากแนวของการโจมตี ความคิดเดียวที่ครอบงำจิตใจของเวตมีเพียงแค่ว่าเฟลเดอร์กำลังจะตาย หากเขาไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง
การตายของคนสำคัญเป็นสิ่งที่เวตเคยประสบมาก่อน เขาจึงไม่ต้องการจะให้มันเกิดขึ้นอีก นั่นคือเหตุผลที่องค์ชายหยิบดาบขึ้นมาและสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มันคือแรงผลักดันสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติของเขา
เวตไม่คาดคิดว่าหลังจากผ่านการป้องกันของเฟลเดอร์แล้ว การโจมตีจากพอนเต้และวิกตอเรียจะมีพลังมากเพียงพอที่จะฆ่าเขาได้ แสงอันเจิดจ้าได้เจาะร่างของเวตเป็นรูนับไม่ถ้วน เสียงเพลงของทูตสวรรค์ดังก้องอยู่ในหูขององค์ชายราวกับว่ากำลังส่งเขาไปสู่สวรรค์ เขาสูญเสียความรู้สึกและสติก็เริ่มจางหาย เวตรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเบาลงเรื่อย ๆ ราวกับว่าวิญญาณของเขากำลังจะหลุดลอยออกจากโลกมนุษย์ไป
ชั่วขณะหนึ่ง ดวงจิตของเวตเหมือนจะกลับไปที่ห้องบรรทมของพระราชวังในสมัยที่เขายังเด็ก บนเตียงอันคุ้นเคย หญิงสาวผมสีส้มกำลังกอดเวตอยู่ พร้อมพูดเกี่ยวกับความคาดหวังของเธอที่มีต่ออนาคตของเขา
“เวต เจ้าเกิดมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ในอนาคตเจ้าจะต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ทูตสวรรค์ของเทพีเซีย เจ้าจะต้องรักษาความยุติธรรม และนำความเป็นธรรมมาสู่โลกใบนี้ จากดินแดนอันหนาวเหน็บทางตอนเหนือไปจนถึงป่าทึบทางตอนใต้ ทุกคนจะต้องร้องสรรเสริญให้แก่ความยิ่งใหญ่ของเจ้า…”
คำพูดอันเต็มไปด้วยความรักดังก้องอยู่ในหูของเวต ทำให้วิญญาณที่กำลังจะจากไปของเขาหยุดอยู่กับที่ เมื่อเขานึกถึงมารดาของตัวเอง ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในใจ
ข้าทำสำเร็จแล้วเหรอ? ข้าทำได้ตามความคาดหวังของแม่แล้วงั้นเหรอ?
ขณะที่เวตกำลังครุ่นคิด ดวงตาอันงุนงงของเขาก็กลับมาชัดเจน และใบหน้าอันเฉยเมยเต็มไปด้วยความโกรธ เงาต่าง ๆ วาบผ่านดวงตาขององค์ชายในขณะที่เขานึกถึงการเยาะเย้ยของเหล่าขุนนาง และการเลือกปฏิบัติของเหล่านักบวช องค์ชายจำรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวผมสีส้มได้เป็นอย่างดี ขณะที่เธอกำลังโอบกอดเขา พร้อมบอกว่าพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้งในวันที่เขาสวมมงกุฎขึ้นเป็นจักรพรรดิ
มันคือคำมั่นสัญญาที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่ก็เป็นความทรงจำสุดท้ายที่เวตมีเกี่ยวกับเธอ ความทรงจำของเขาหยุดนิ่งอยู่ที่ฉากนั้น คอยกระซิบคำตอบให้กับข้อสงสัยขององค์ชาย
ไม่ ตอนนี้ข้ายังตายไม่ได้ ข้ายังไม่บรรลุเป้าหมาย
แววตาของเวตกลับมาชัดเจนอีกครั้ง บทเพลงสรรเสริญของเทวทูตส่งมาไม่ถึงอีกต่อไป ความเจ็บปวดวูบวาบกลับมายังร่างกายของเขา พร้อมกับพลังเวทอันท่วมท้น แสงสว่างของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งโทสะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเวตพยายามหาคำตอบต่อความไร้เหตุผลของโลกใบนี้ ดวงตาขององค์ชายเบิกกว้างอีกครั้ง มั่นหมายว่าจะขจัดความไร้เหตุผลที่ทำให้มารดาของตนต้องเสียชีวิต แม้ว่าร่างกายของเวตจะขาดรุ่งริ่ง แต่อิทธิพลของเขาในสนามรบกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ท่านแม่ ได้โปรดเฝ้ามองเส้นทางที่ข้าเลือกด้วย”
เวตกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง
ร่างอันสวยงามดูเหมือนจะปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าเวตแล้วยิ้มให้กับเขา กระตุ้นให้องค์ชายก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
สายฟ้าฟาดขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง พร้อมกับพายุที่โหมกระหน่ำไปทั่วสนามรบ ท่ามกลางปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอันน่ากลัวนี้ เวตดูตัวใหญ่กว่าเดิมมาก พลังเวทสีแดงเข้มพุ่งสูงขึ้นราวกับเปลวไฟสูงเสียดฟ้า ก่อตัวเป็นมงกุฎสีทับทิมเหนือศีรษะของเขา
เหตุการณ์อันพลิกผันนี้ทำให้วิกตอเรียและคนอื่น ๆ ต้องประหลาดใจไปตาม ๆ กัน
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง?”
“เวต…”
เวตได้ประสบความสำเร็จในการยกระดับตัวตนของเขาต่อหน้าต่อตาของทุกคน ความโกรธของเวตได้เอาชนะข้ามผ่านข้อจำกัดของชีวิตและความตาย ทำให้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งโทสะของเขาสูงขึ้น กลายเป็นระดับแก่นแท้ 2 พลังเวทอันทรงพลังได้เขย่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ คำรามให้แก่ผู้ที่ต้องเสียชีวิตจากความอยุติธรรม ไม่มีใครในจักรวรรดิเซนต์เมซิทที่จะสามารถหยุดยั้งเขาได้อีกต่อไปแล้ว
องค์ชายผู้บาดเจ็บได้ชูดาบขึ้นสู่ท้องฟ้าประกาศให้โลกรู้ว่าตนเองได้ฟื้นคืนกลับมาจากความตายแล้ว ประจุพลังเวทของเขาลอยข้ามสนามรบตกใส่ทหารของเขา กลายเป็นแสงสีแดงเข้มเข้าปกคลุมร่างกายของเหล่าทหาร ทำให้ทุกคนต่างคำรามด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม พวกเขาต่างรู้สึกว่าพลังของพวกเขาเพิ่มขึ้น ในขณะที่ร่างกายอันอ่อนล้าก็ได้รับการฟื้นฟู ทหารของฝ่ายเวตรู้สึกราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในอกของพวกเขา
“เหล่านักรบผู้กล้าหาญ ตามข้ามา! พวกเราจะไปสร้างโลกที่ทุกคนเท่าเทียมกัน!”
คำพูดของเวตเป็นดั่งแตรสงคราม ประกาศสงครามครั้งใหม่ ซึ่งครั้งนี้องค์ชายก็ยังได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากทหารของเขาเช่นเดิม กองทัพที่ได้รับการเสริมพลังของเวตยกดาบขึ้น พุ่งเข้าใส่ศัตรูด้วยพลังที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ บังคับให้กองทัพของวิกตอเรียต้องเปลี่ยนรูปขบวนแนวรบเป็นตั้งป้องกัน
วิกตอเรียมองดูน้องชายผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งบัดนี้ได้จุติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ความงุนงงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ หากพิจารณาจากช่วงเวลาที่เขาประสบความสำเร็จในการยกระดับตัวตนแล้ว องค์หญิงรู้ดีว่าสิ่งต่าง ๆ คงจะไม่มีทางเป็นไปอย่างราบรื่นแน่
ระดับแก่นแท้ 2
มันเป็นระดับที่สูงเกินกว่าขอบเขตความสามารถของวิกตอเรียและพอนเต้จะรับมือได้ นอกจากพระสังฆราชไรอันแล้ว ไม่มีใครในจักรวรรดิเซนต์เมซิทที่จะสามารถปราบปรามเวต ในแง่ของพลังได้อีกต่อไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่จุดจบ พวกเขายังพอจะมีโอกาสชนะอยู่ เนื่องจากเวตนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส
การยกระดับตัวตนของเวต ไม่ได้รักษาเขาให้หายจากอาการบาดเจ็บร้ายแรงก่อนหน้านี้ และเฟลเดอร์เองก็อ่อนแอลงไปมากด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนต่างก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว แม้การเสริมพลังทั้งกองทัพอันน่าเหลือเชื่อของเวตจะทรงพลังมาก แต่คาถาเวทดังกล่าวน่าจะคงอยู่ได้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และน่าจะมีผลข้างเคียงอันรุนแรงตามมาในภายหลังด้วยเช่นกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตราบใดที่พวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดจากการบุกโจมตีครั้งนี้ได้ มันก็ยังมีโอกาสที่พวกเขาจะสามารถพลิกสถานการณ์ และเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้! นี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของทั้งสองฝั่งจริง ๆ พวกเขาจะต้องอดทนฝ่าฟันมันไปให้ได้โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย
“ตั้งแนวรบควบคุมพื้นที่ไว้ คาถาเวทของพวกเขาไม่น่าจะมีผลนาน ทุกคนอดทนไว้!”
“เสริมแนวป้องกัน!”
เสียงตะโกนดังก้องกังวานท่ามกลางกองทัพของวิกตอเรีย พอนเต้ยังคงยืนอยู่ที่แนวหน้าเพื่อสั่งการจัดระเบียบรูปขบวนแนวรบต่าง ๆ เป็นการส่วนตัว
ทางด้านเฟลเดอร์ที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพของเวต ก็ได้เปล่งแสงสีแดงเข้มที่เป็นสัญลักษณ์ของฝั่งเวตออกมาเช่นกัน อัศวินรู้ดีว่านี่เป็นช่วงเวลาวิกฤตของสงคราม ดังนั้นเขาจึงทิ้งโล่ และมุ่งความสนใจไปที่การบุกโจมตี โดยมีเวตผู้กำลังบาดเจ็บสาหัสคอยปล่อยสายฟ้าและเปลวเพลิงพุ่งใส่ทหารศัตรู คู่กับองค์ชาย อัศวินนั้นใกล้จะสิ้นลมเต็มที ทว่าพวกเขากลับดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด
การจู่โจมอย่างไม่เกรงกลัวของเฟลเดอร์ สร้างหลุมขนาดใหญ่ขึ้นในขบวนรบของกองทัพองค์หญิงวิกตอเรีย กองทัพขององค์ชายเวตได้พุ่งเข้าใส่ทหารของวิกตอเรีย มุ่งตรงไปยังใจกลางของทัพหลัก โดยไม่สนใจทหารรอบข้าง เป้าหมายของพวกเขานั้นชัดเจน นั่นก็คือวิกตอเรียและพอนเต้
ในสนามรบ กลุ่มคนที่คุ้นเคยทั้งสี่ ได้หวนกลับมาพบกันอีกครั้ง ทว่าสถานการณ์นั้นต่างไปจากเดิมมาก
สายฟ้าเวทของเวตไม่ใช่อะไรที่คาถาเวทมนตร์ของพอนเต้จะสามารถปัดออกไปได้ง่าย ๆ อีกต่อไป และเนื่องจากความสามารถส่วนใหญ่ของวิกตอเรียเน้นไปที่การสนับสนุนเป็นหลัก ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถโจมตีอีกฝ่ายไปตรง ๆ ได้
ความสามารถของดาบแห่งนักบุญ 12 ปีกเองก็ยังอยู่ในช่วงพักฟื้น ส่งผลให้คู่หูศิษย์อาจารย์ไม่สามารถโจมตีปิดฉากศัตรูของพวกเขาได้อย่างเด็ดขาด
พื้นที่การปะทะกันของทั้งสี่คน เต็มไปด้วยการทำลายล้าง ส่งทรายและเศษหินกระเด็นกระดอนไปทั่วทุกสารทิศ
คนแรกที่ล้มลงคือเฟลเดอร์ ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้นำการจู่โจมทำให้เขาหมดแรงไปมาก คาถาอาณาเขตแสงศักดิ์สิทธิ์ของวิกตอเรียได้สร้างความเสียหายให้กับเขาอย่างรุนแรง ทำให้อัศวินต้องยอมจำนนต่ออาการบาดเจ็บและล้มลงกับพื้น
แต่เฟลเดอร์ก็ทำให้พอนเต้และวิกตอเรียที่ไม่เหลือพลังเวทแล้วต้องรับความเสียหายตรง ๆ จากสายฟ้าของเวต จนได้รับบาดเจ็บสาหัส พอนเต้กระอักเลือดออกมา ส่วนปีกแสงของวิกตอเรียเองก็ได้สลายหายไป
ท้ายที่สุดทั้งสองก็ต้องทรุดตัวลงกับพื้นนั่งพิงกันและกัน เสียงฟ้าผ่าดังก้องไปทั่วสนามรบ ราวกับเป็นการนับถอยหลังสู่จุดจบของทั้งคู่
ทว่าทันใดนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งเข้ามาปกคลุม คู่หูศิษย์อาจารย์ พร้อมกับร่างเล็ก ๆ ที่ก้าวออกมาปกป้องพวกเขา นอร่าโฉบลงมาจากฟากฟ้าด้วยปีกแสงของเธอ ทำให้ทั้งสองคนต้องตกตะลึง เด็กสาวเปิดใช้งานอุปกรณ์เวทของเธอ เพื่อสกัดกั้นการโจมตีจากสายฟ้าของเวต
ทว่านี่คือขีดจำกัดของนอร่า เกราะป้องกันจากเด็กสาวร้าวด้วยการโจมตีของเวต มันจึงไม่น่าจะสามารถรับการโจมตีโดยตรงจากเขาได้อีก เมื่อมันแตกสลาย ก็จะไม่มีใครหยุดเวตได้อีกต่อไป
เวตรู้สึกประหลาดไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสายฟ้าของตนถูกป้องกันเอาไว้ได้ แม้ใบหน้าขององค์ชายจะดูเฉยเมย แต่เมื่อมองไปยังนอร่า เวตก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเธอเลือกฝั่งไหนจากแววตาของเธอ
“เจ้ายอมที่จะตายพร้อมกับพวกเขางั้นเหรอ? ข้าเข้าใจแล้ว”
เวตพึมพำ
องค์ชายผู้เป็นดั่งร่างอวตารแห่งโทสะยกดาบขึ้นเตรียมที่จะยุติสงครามที่ดำเนินมาอย่างเนิ่นนาน ทว่าทันใดนั้น เขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจากด้านหลัง และหยุดการเคลื่อนไหวลง
สัญชาตญาณของเวตบอกเขาว่าภัยคุกคามนี้ อันตรายยิ่งกว่าพอนเต้ วิกตอเรีย และนอร่า ดังนั้นเขาจึงหันกลับไป มองสำรวจทั่วสนามรบอย่างรวดเร็ว
ท้ายที่สุดสายตาของเวตก็สังเกตเห็นเงาอันโดดเดี่ยว กำลังพุ่งตรงมาทางเขา มันคือเด็กชายผมดำที่เขาได้พบเมื่อไม่นานนี้นั่นเอง