บทที่ 93: คำตอบของฉัน
โรเอลไม่ได้ห้ามนอร่าจากการพุ่งไปข้างหน้าเพื่อปกป้องพอนเต้และวิกตอเรียแต่อย่างใด เพราะเขารู้ดีว่าตนเองนั้นไม่สามารถหยุดเธอได้ และเขาก็รู้ดีเช่นกันว่าตอนนี้เขามีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะต้องไปทำ
เด็กชายเฝ้าดูสงครามมานานหลายชั่วโมงแล้วจนถึงตอนนี้ นั่นทำให้เขามีเวลาเหลือเฟือที่จะคิดทบทวนเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ในเมื่อโรเอลเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบ นั่นหมายความว่าเด็กชายตัดสินใจได้แล้วว่าตัวเองจะทำอย่างไรเพื่อให้สิ่งที่เขาต้องการเป็นจริง
【คาถาเวท ‘คำมั่นสัญญากับกรันด้า’ ได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว】
【เริ่มนับถอยหลัง. 30… 29… 28…】
นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่โรเอลได้เปิดใช้งานคาถานี้ แต่มันแตกต่างออกไปจากสองครั้งก่อน ไม่มีการระเบิดของความแข็งแกร่งและพลังเวทแต่อย่างใด ทิวทัศน์รอบตัวเด็กชายค่อย ๆ เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะรู้ตัว โรเอลก็ไม่ได้อยู่ในสนามรบอีก กลิ่นเหม็นคาวเลือดที่ติดอยู่ในจมูกค่อย ๆ จางหายไปอย่างช้า ๆ จากนั้นเขาก็พบว่าตัวเองได้กลับมายืนอยู่ท่ามกลางที่ราบสีแดง โดยมีโครงกระดูกขนาดมหึมากรันด้ายืนอยู่ตรงหน้า
“เจ้าคิดคำตอบมาแล้วงั้นเหรอ?”
กรันด้าจ้องมองลงมาที่โรเอลด้วยความสนใจเล็กน้อยในดวงตาของเขา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตอบข้ามา คนตายจะสามารถถ่ายทอดพลังของพวกเขาให้ผู้อื่นได้อย่างไร?”
โรเอลเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินคำถามของกรันด้าอีกครั้ง เด็กชายนึกถึงรายละเอียดทั้งหมดที่เขารวบรวมมาได้จากการโต้ตอบกับกรันด้าจนถึงตอนนี้ ก่อนที่จะพูดขึ้นในท้ายที่สุด
“ฉันได้เตรียมคำตอบเอาไว้แล้วสองข้อ ข้อแรกคือสำหรับคำถามนี้ ส่วนอีกอันหนึ่งสำหรับนาย อยากฟังข้อไหนล่ะ?”
“โอ้? น่าสนใจดีนี่ จงบอกข้ามาทั้งสองข้อ”
“ข้อแรก สำหรับคำถามของนาย ในฐานะคนที่ร่วมดูสงครามครั้งนี้ร่วมกับฉัน นายก็น่าจะรู้คำตอบของฉันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
โรเอลมองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ภายในนั้นพวกเขาสามารถมองเห็นร่างของนักรบผู้กล้าหาญที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ใบหน้าของวิกตอเรียและเวตปรากฏขึ้นมา ก่อนจะปลิวไปตามสายลม
“จิตวิญญาณ เจตจำนง และอุดมคติ นี่คือวิธีที่คนตายจะถ่ายทอดพลังของพวกเขาให้กับผู้อื่น บางคนก็ทำมันด้วยการเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ บางคนก็ทำมันโดยการถ่ายทอดความรู้ มรดกเหล่านี้จะสั่งสมไปตามกาลเวลาของแต่ละรุ่นที่ผ่านไป นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง นั่นคือรากฐานที่ก่อให้เกิดเป็นสังคมและอารยธรรมของพวกเราในทุกวันนี้”
โรเอลนึกถึงวัฒนธรรมอันรุ่งโรจน์ของประเทศต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมาในอดีตชาติของเขา ก่อนจะยืนยันความคิดเห็นของตนอีกครั้ง
“รากฐานของวัฒนธรรมและอารยธรรมทั้งหมดคือความตาย หรือให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือความรู้ที่พวกเราได้รับสืบทอดกันมา ความรู้นี้อาจเปลี่ยนแปลง ตัดแต่ง หรือขยายเพิ่มเติมเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ตามการสะสมนี้ เมื่อเวลาผ่านไปจะช่วยทำให้ผู้คนในแต่ละรุ่นพัฒนาไปสู่จุดที่สูงยิ่งขึ้น เป็นสายใยที่ผูกมัดทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่หรือผู้วายชนม์”
คำตอบของโรเอล ทำให้กรันด้าต้องครุ่นคิดไปพักหนึ่ง กรันด้าไม่ได้ให้คำตอบกลับไปในทันที แต่โรเอลก็พูดขัดก่อนที่กรันด้าจะได้ทำอะไร
“แต่สิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นั้นไม่ได้มีผลกับนาย”
คำพูดเหล่านั้นทำให้กรันด้าค่อย ๆ เปิดปากของเขาขึ้น แสงสว่างในดวงตาของโครงกระดูกสว่างขึ้น หากโครงกระดูกสามารถแสดงอาการมึนงงได้ นี่ก็น่าจะเป็นสีหน้าสำหรับอารมณ์นั้น ซึ่งโรเอลก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
“ทั้งหมดที่ฉันเพิ่งพูด อยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าคนคนหนึ่งมีผู้สืบทอด เพื่อสืบทอดเชื้อสายของตน แล้วนายล่ะ? นายไม่มีสิ่งนั้นแล้วใช่ไหม?”
โรเอลชำเลืองมองไปยังโครงกระดูกขนาดใหญ่ ซึ่งถูกฝังเอาไว้ครึ่งหนึ่งในทรายพร้อมถอนหายใจ
“พวกยักษ์นั้นเป็นเพียงตัวตนในตำนานอันห่างไกลของยุคที่สอง ตอนนี้ฉันจึงไม่รู้ว่าอารยธรรมของนายยังคงมีอยู่รึเปล่า ไม่ว่าจะเป็น จิตวิญญาณ ความตั้งใจ และแม้กระทั่งการมีอยู่ของนายอาจจะหายไปจากประวัติศาสตร์แล้วก็ได้ คำตอบแรกที่ฉันเตรียมเอาไว้จึงใช้ไม่ได้กับนาย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมฉันถึงมีอีกคำตอบเตรียมเอาไว้สำหรับนายโดยเฉพาะ”
ก่อนที่ดวงตาของกรันด้าจะเต็มไปด้วยความตกตะลึง โรเอลก็ชี้มาที่ตัวเองอย่างมั่นใจ ไร้ซึ่งความลังเล หรือหากพูดให้ถูกก็อาจจะเป็นความเย่อหยิ่ง
“ฉันคือคำตอบของนาย กรันด้า”
โรเอลมองไปยังโครงกระดูกยักษ์ผู้สง่างามอย่างสงบ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
“ฉันเป็นสื่อกลางในการส่งต่อพลังของนายผ่านรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณ เจตจำนง อารยธรรม ประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่ความแข็งแกร่ง ฉันอาจจะไม่ใช่คนสำคัญของโลกนี้ แต่อย่างน้อย ๆ ฉันก็จำเป็นสำหรับนาย นี่คือคำตอบของฉันสำหรับคำถามของนาย”
“ฮ่า ๆๆๆ! เจ้าหนู นี่เจ้ากล้าดียังไงถึงกล่าวคำเหล่านั้นออกมา เจ้ากำลังขู่ข้างั้นเหรอ?”
“ ถ้านายรู้สึกว่าถูกคุกคามโดยคำพูดของฉัน… มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าฉันพูดถูก อีกอย่างนายก็ไม่ได้เกลียดฉันใช่ไหมล่ะ ไม่งั้นนายคงไม่ช่วยฉันถึงขนาดนั้นหรอก”
โรเอลพูดด้วยรอยยิ้มอันสดใส คาถาเวทของกรันด้า ช่วยให้เขาเอาชนะอันตรายมาได้หลายต่อหลายครั้ง นอกจากนี้อีกฝ่ายยังได้เรียกพบเขาเป็นกรณีพิเศษในครั้งที่สองที่เขาใช้คาถา เพื่อเตือนให้เขาตอบคำถามนี้ แม้ว่าโครงกระดูกขนาดมหึมานี้จะน่ากลัว แต่โรเอลก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายได้ช่วยเหลือเขามาโดยตลอด
“… เจ้าหน้าด้านมากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก แต่นั่นเองก็เป็นเหตุผลที่ทำไม ข้าถึงชอบเจ้า”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งกรันด้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอบอุ่น เสียงอันดังสนั่นทำให้ฝุ่นบนร่างกายของเขาร่วงตกลงมา
“คำตอบแรกของเจ้าก็น่าสนใจมากแล้ว แต่คำตอบที่สองที่เจ้าเสนอมานั้น ถูกใจข้ามากเสียยิ่งกว่า งั้นข้าขอถามอีกเรื่องหน่อยสิ”
โครงกระดูกกลับมามีท่าทีอันเคร่งขรึมอีกครั้ง เขามองลงไปยังเด็กชายที่กล้าเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่เกรงกลัวแล้วถาม
“เจ้าหนู ไม่สิ โรเอล แอสคาร์ด เจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองคนควรจะเป็นเช่นไร?”
“โดยส่วนตัวแล้วฉันสนใจที่จะเป็นเพื่อนกับนาย”
“เพื่อน? ฮ่าฮ่า เข้าใจแล้ว! ดีมาก!”
กรันด้าลุกขึ้นยืนทำให้ฝุ่นตกลงมาจากผ้าคลุมที่ขาดรุ่งริ่ง ความสูงตระหง่านนั้นทำให้เขาดูไม่ต่างอะไรไปจากพระเจ้า ผู้ยืนอยู่ภายใต้แสงตะวันยามอัสดง
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะช่วยสหายของข้าให้บรรลุชัยชนะในสนามรบ!”
…
“เป็นเจ้าเองสินะ…”
เวตตั้งสติกลับมาได้จากความประหลาดใจ ตัวตนของภัยคุกคามแท้จริงแล้วก็คือ เด็กผมดำคนเดิมที่เขาได้พบก่อนหน้านี้ ทว่าบรรยากาศรอบตัวของเด็กชายนั้นแตกต่างไปจากเดิมมาก บรรยากาศที่อยู่รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหยั่งรู้ ราวกับว่าเด็กชายได้จ้องมองข้ามผ่านลงไปในขุมนรก พลังเวทอันเข้มข้น ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากเวตที่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 กำลังไหลเวียนไปทั่วร่างของเด็กชาย
“เจ้าเป็นผู้ใช้พรของเทพเจ้าโบราณงั้นหรือ? ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบกับตัวตนเช่นเจ้า”
ผู้ใช้พร หมายถึงบุคคลผู้ได้รับพลังพิเศษจากเทพเจ้าโบราณ แม้ว่าจะมีคำว่า ‘พร’ อยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากของเล่นสำหรับเทพเจ้าโบราณ ว่ากันว่าบางคนไม่มีเจตจำนงของตัวเองเหลืออยู่เลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้พวกเขาเกือบทั้งหมดล้วนต้องพบกับจุดจบอันน่าเศร้า
เวตคิดว่าโรเอลเป็นหนึ่งในผู้ใช้พรที่น่าสมเพชเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีเจตนาที่จะออมมือให้กับเขา องค์ชายยิงสายฟ้าสีแดงสดไปยังโรเอลอย่างไม่ลังเล หวังที่จะยุติการต่อสู้นี้โดยเร็ว
แม้ผู้ใช้พรจะเป็นตัวตนที่ทรงพลัง แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เทพเจ้าโบราณที่สนับสนุนพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้ใช้พรมากพอที่จะช่วยปกป้องพวกเขา เพราะของเล่นที่ชำรุดย่อมสามารถแทนที่ได้ด้วยของเล่นชิ้นใหม่ได้เสมอ มันจึงเป็นเรื่องเสียเวลาที่จะต่อสู้กับผู้อื่นเพียงเพื่อของเล่นชิ้นเดียว
สายฟ้าสีแดงเข้มพุ่งเข้าโจมตีโรเอลย้อมผืนแผ่นดินให้กลายเป็นสีแดง ความรุนแรงของสายฟ้าผ่าทำให้อากาศโดยรอบร้อนอบอ้าว เสียงโห่ร้องที่มาจากนอร่าและคนอื่น ๆ เงียบลงไปเพราะเสียงดังก้องกังวานของสายฟ้า สายตาของเหล่าทหารเริ่มจับจ้องกันเข้ามา พวกเขาหลายคนต่างก็เชื่อว่าม่านของสงครามครั้งนี้ใกล้จะปิดฉากลงแล้ว
หลังจากคิดว่าเอาชนะโรเอลได้ เวตก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับวิกตอเรียและคนอื่น ๆ อย่างมั่นใจ หวังจะยุติเรื่องนี้ให้จบลงเสียที ทว่าจู่ ๆ เด็กชายที่เขาคิดว่าตายไปแล้วกลับยังไม่ได้ล้มลงไปเสียอย่างนั้น
“กรันด้า”
“ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
โรเอลเรียกสหายของเขา ทันใดนั้นเงาขนาดมหึมาก็จุติลงมายังกลางเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นโครงกระดูกขนาดใหญ่โต ราวกับเกิดมาเพื่อเชื่อมโยงโลกเข้ากับสวรรค์ สายฟ้าสีแดงที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างของเวต กลายเป็นเพียงงูตัวเล็ก ๆ ต่อหน้าร่างอันสูงตระหง่านนี้ เพียงการโบกมือของโครงกระดูก ลมกรรโชกก็พัดเข้ามาปัดสายฟ้าสีแดงให้หายไปในความว่างเปล่า
เมื่อสัมผัสได้ถึงลมกระโชกแรงที่พัดผ่านมา เวตจึงรีบหันกลับไป ซึ่งองค์ชายก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่ตนได้เห็น สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปในทิศทางที่เกินกว่าจินตนาการของเขาไปมาก เวตจ้องไปที่โรเอลผู้ยืนอยู่ท่ามกลางความคุ้มครองของกรันด้าด้วยความตื่นกลัว
เด็กชายคนนี้ไม่ใช่ผู้ใช้พร แต่เป็นร่างอวตารของเทพเจ้าโบราณ
เมื่อตระหนักได้ถึงข้อเท็จจริงอันไม่น่าเชื่อนี้ เวตจึงเข้าใจว่าภัยคุกคามที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด องค์ชายรวบรวมรีดเร้นพลังเวททั้งหมดออกมาในทันที ส่งผลให้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งโทสะพลุ่งพล่านอย่างเดือดดาลภายในร่างกายของเขา
สายฟ้าสีแดงเข้มบนท้องฟ้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย แทนที่ด้วยแสงทรงกลมอันเงียบงันในมือของเวต บอลพลังเวททรงกลมนี้เป็นการหลอมรวมความโกรธเกรี้ยวทั้งมวลต่อโลกอันอยุติธรรมที่เขาเก็บเงียบมาโดยตลอด มันสว่างมากเสียจนทำให้ทุกสิ่งรอบตัวหายไปในแสงอันเจิดจ้า นี่คือคาถาเวทที่มีพลังทำลายล้างสูงสุดสำหรับผู้ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งโทสะ
อีกด้านหนึ่ง โรเอลเองก็เตรียมการเสร็จแล้วเช่นกัน
“ด้วยศักยภาพของเจ้าในตอนนี้ ข้าสามารถออกแรงได้เพียงแค่หมัดเดียวเท่านั้น”
เสียงของกรันด้าดังก้องอยู่ภายในหูของโรเอล
แม้ว่าจะอยู่ภายใต้ผลของการฟื้นคืนชีพร่างอันเดธ แต่ร่างกายของโรเอลก็ยังถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายในการแบกรับพลังอันมหาศาลของกรันด้า แต่เขาจะไปสนใจเรื่องนั้นทำไม?
โรเอลไม่ได้ตอบคำพูดของโครงกระดูกยักษ์ในทันที เขาเลือกที่จะหันไปหานอร่า ผู้ได้รับการคุ้มครองอยู่ภายในเกราะเวท รอยยิ้มเล็กน้อยผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเขา
“ฉันต้องการพาเธอออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม หมัดเดียวของนายน่าจะเกินพอใช่ไหม?”
โรเอลถามกรันด้า
กรันด้าตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอันสูงส่ง ด้วยที่ตนนั้นเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
“หมัดเดียวน่าจะเกินพอ? แน่อยู่แล้วสิ แค่นั้นก็เกินพอแล้ว!”
“งั้นลุยกันเลย!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ พลังเวทอันพลุ่งพล่านของโรเอลเริ่มสร้างรูปแบบร่างกายโครงกระดูกออกมา แสงสีเลือดถูกเปล่งออกมารอบ ๆ โรเอล ตามด้วยโครงกระดูกคอและศีรษะ ราวกับเทพอสูรผู้ถูกอัญเชิญจากนรก ในที่สุดร่างกายส่วนบนของกรันด้าก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนโลกนี้
ภาพดังกล่าวทำให้เหล่าทหารต่างรู้สึกตื่นกลัวไปตาม ๆ กัน และแม้แต่นักรบผู้กล้าหาญที่สุดก็ยังไม่กล้าสบตากับโครงกระดูกยักษ์
ก่อนที่บอลแสงแห่งโทสะจะระเบิดออก กรันด้าได้ยกแขนมหึมาของเขาขึ้นแล้วฟาดลงเข้าใส่เวต
ตูม!
คลื่นกระแทกอันทรงพลังกวาดไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ราวกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ บอลแห่งโทสะอันน่าสะพรึงกลัวที่ก่อตัวขึ้นจากพลังของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งโทสะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยพลังหมัดของกรันด้า
ทันใดนั้นเวตก็เห็นภาพลาง ๆ ของยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่ท่ามกลางที่ราบสีแดงสด พร้อมราชาผู้สวมมงกุฎของพวกมันที่หันมาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวใส่เขา
“นี่มัน…”
เวตอุทานด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วเสียงนั้นก็ถูกกลบไปในทันทีด้วยแรงระเบิด คลื่นกระแทกส่งทหารนับไม่ถ้วนลอยไปในอากาศ แม้แต่อุปกรณ์เวทของนอร่าก็เริ่มแตกออกเพราะแรงกระแทกดังกล่าว ทำให้เกราะเวทที่เธอเรียกออกมาเพื่อปกป้องทั้งสามคนสั่นคลอนอย่างไม่เสถียร
ทว่านอร่าไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เธอมองไปรอบ ๆ อย่างกังวลใจ พยายามค้นหาเงาของโรเอล
“เจ้าหนูเขาไม่เป็นไรหรอก ตั้งสมาธิป้องกันตัวเองก่อนเถอะ!”
“แต่…”
นอร่ารู้ดีว่าวิกตอเรียพูดถูก นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกหมดหนทาง เด็กสาวตะโกนเรียกชื่อโรเอลอย่างสิ้นหวัง พลางพยายามรักษาเกราะเวทเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อป้องกันพวกเขาจากผลกระทบของคลื่นกระแทก
ขณะเดียวกัน เฟลเดอร์ ผู้บาดเจ็บสาหัสก็ถูกคลื่นกระแทก กระแทกเข้าอย่างรุนแรงจนหมดสติไป ส่งผลให้เขาปลิวออกไปพร้อมกับทหารคนอื่น ๆ หลุดออกไปจากสนามรบ
การปะทะกันเพียงครั้งเดียวนี้ ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์สั่นสะเทือน เป็นสัญญาณปิดฉากการต่อสู้อันดุเดือดให้จบลง