บทที่ 96: ชีวิตนั้นช่างยากเหลือเกิน
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในห้องที่ถูกออกแบบอย่างเรียบง่าย เด็กชายผมดำผู้สุภาพอ่อนโยน ในชุดเสื้อผ้าสูงศักดิ์นั่งลงบนโซฟาด้วยแววตาราวกับปลาตาย ขณะที่กำลังนั่งฟังเรื่อง “การกระทำอันอุกอาจ” ของตน
เขาคือโรเอล แอสคาร์ด ผู้สืบทอดของตระกูลแอสคาร์ด เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายที่จู่ ๆ ก็ต้องตกเป็นเป้าหมายของมือสังหารระดับที่สามารถจบชีวิตจักรพรรดิได้ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากเทศกาลปีใหม่
แม้เด็กชายจะรอดปลอดภัยมาได้ด้วยการคุ้มครองจากพระสังฆราชจอห์น และยังสามารถปลุกพลังสายเลือดของตนเองให้ตื่นขึ้นมาได้ด้วยโชคลาภ แต่ชีวิตของโรเอลก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลหลังจากเหตุการณ์นั้นจบลง กลับกันแล้วสิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะแย่ลงไปด้วยซ้ำ
“ข่าวลือที่เธอพูดถึง… มันแพร่กระจายออกไปไกลแค่ไหนแล้ว?”
หลังจากได้ยินแอนนาเล่าถึงข่าวลือที่เธอได้ยินมาที่ตลาด โรเอลก็เงียบไปสักพัก ก่อนที่จะถามกลับไปพร้อมแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวัง สาวใช้คิดหาตัวอย่างที่เหมาะสมในการอธิบายว่าข่าวลือแพร่กระจายไปมากเพียงใดอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนจะอธิบายออกมา
“ระหว่างที่ดิฉันกำลังซื้อเสบียงสำหรับตระกูลแอสคาร์ด ดิฉันได้พบกับคนทั้งหมด 7 คนจากสมาคมการค้า ในจำนวนนั้นมี 6 คนที่ถามดิฉันเกี่ยวกับข่าวลือดังกล่า…”
“ไม่เป็นไร! ไม่ต้องพูดแล้ว”
โรเอลรีบโบกมือ เพื่อห้ามแอนนาไม่ให้พูดจนจบประโยค แค่คิดถึงข่าวลือก็ทำให้เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาที่หน้าผากของเขาแล้ว ซึ่งเด็กชายก็รีบเช็ดมันออกด้วยแขนของเขา
ข่าวลือนี้เป็นเรื่องราวที่เพิ่งแพร่กระจายขึ้นในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นเรื่องที่ลือกันให้ทั่วตั้งแต่สมาชิกของราชวงศ์ ขุนนางชั้นสูง ไปจนถึงทหารราบและคนรับใช้ทั่วไป
ใครก็ตามที่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ คงจะต้องอาศัยอยู่หลังเขาเป็นแน่ มันเป็นข่าวลือที่ถูกเรียบเรียงราวกับเป็นงานวรรณกรรมชิ้นเอก ที่ผสมผสานองค์ประกอบทั้งหมดที่จำเป็นในการสร้างหนังสือขายดีเข้าด้วยกัน ทว่าความพยายามดังกล่าวกลับสูญเปล่ากลายไปเป็นเรื่องที่ใช้นินทากันธรรมดา ๆ เสียอย่างนั้น
ว่ากันว่าในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน มีเพื่อนสมัยเด็กสองคนที่เติบโตมาด้วยกัน พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นผู้สืบทอดของตระกูลขุนนางอันทรงเกียรติที่มีเพียงคนเดียว และในที่สุดทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน ทว่าเนื่องจากทั้งสองนั้นมีคู่หมั้นแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถครองคู่เคียงข้างกันได้
แต่เมื่อถึงวันแรกของปีใหม่ พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกที่มีต่อกันได้อีก โดยอาศัยจังหวะที่ผู้นำตระกูลไม่อยู่หนีไปด้วยกัน ทว่าในช่วงเวลาแห่งความสุขอันร้อนแรง ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายก็ได้ใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนในแนวป้องกันของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจัดงานเฉลิมฉลอง เข้าโจมตีพวกเขา
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด ผ่านวิกฤตหลายต่อหลายครั้ง คู่รักทั้งสองก็สามารถเอาชนะพวกลัทธิชั่วร้ายได้อย่างเฉียดฉิว ทว่านั่นก็ทำให้เด็กชายได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการต่อสู้ เพื่อช่วยคนรักของเธอ เด็กสาวจึงได้สละจูบแรกให้กับเขา เพื่อใช้คาถาเวทรักษาบาดแผลนั้น
อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้ถูกค้นพบโดยทีมกู้ภัยที่ส่งไปช่วยพวกเขา เรื่องราวดังกล่าวจึงถูกรายงานไปยังผู้นำตระกูลของทั้งสอง ความรักอันเป็นความลับของพวกเขาถูกเปิดเผย จากทั้งนั้นคู่จึงถูกกักขังโดยตระกูลของพวกเขา และต้องโทษรุนแรงสำหรับเรื่องในครั้งนี้
จบ
แม้เรื่องราวจะฟังดูเรียบง่าย แต่ก็ทำให้เกิดการโต้เถียงกันในหมู่ประชาชนและชนชั้นสูง แม้ว่าจะมีองค์ประกอบมากมายในเรื่องราวนี้ แต่ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ‘คู่รักผู้ถูกแยกออกจากกัน เนื่องจากการหมั้นหมาย’ ได้กลายเป็นหนามแทงลึกเข้าไปในหัวใจของใครหลายคน
เสรีภาพในความรักเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่สามัญชนมีโอกาสมากกว่าขุนนาง เนื่องจากธรรมชาติของแวดวงขุนนางนั้นการแต่งงานสำหรับพวกเขาเป็นเพียงแค่เครื่องมือทางการเมือง
การมีอยู่ของความขัดแย้งดังกล่าวนี้จึงทำให้ข่าวลือแพร่หลายออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็พัฒนาเป็นขบวนการทางสังคม บรรดาขุนนางที่เคยผ่านประสบการณ์คล้ายคลึงกันต่างอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาหวนนึกถึงอดีตของพวกเขา ส่วนมวลชนเองต่างก็ออกมาคัดค้านอย่างรุนแรงต่อการปฏิบัติอันไร้เหตุผล แสดงให้สังคมได้เห็นถึงความสามัคคีอันหาได้ยากระหว่างขุนนางและสามัญชน พวกเขาต่างเรียกร้องให้คู่รักในเรื่องราวนี้ได้รับอนุญาตให้ครองคู่กัน!
แน่นอนว่าทุกคนรู้ดีว่าใครเป็นตัวเอกของเรื่องนี้ ฉากเกี่ยวกับเด็กสาวที่มอบจูบแรกของเธอ เพื่อช่วยเด็กชายนั้นมีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวจูบแรกของทูตสวรรค์ตัวน้อยเป็นอย่างมาก… แม้ว่าตำนานดังกล่าวจะถูกเรียกกันว่าเป็นเพียงข่าวลือ แต่ข่าวลือที่เกี่ยวกับราชวงศ์นั้นเป็นอะไรที่มักจะแพร่กระจายออกไปเร็วที่สุด
โรเอลคงจะชอบเรื่องราวนี้มากหากเขาอยู่ในฐานะผู้ชม แต่เมื่อเด็กชายนั้นคือตัวเอกที่อยู่ในบทบาทดังกล่าว ทำให้เขาไม่สามารถทนดูสิ่งที่เกิดขึ้นได้!
เด็กชายถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอนหลังพลางจ้องมองไปที่เพดานอย่างว่างเปล่า นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในวันนั้น…
หลังจากการต่อสู้ระหว่างวิกตอเรียและเวตจบลง โรเอลนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจากค่าใช้จ่ายในการยืมพลังของกรันด้า วิกตอเรียจึงใช้โอกาสนี้กระตุ้นให้นอร่าลงมือเคลื่อนไหว หลังจากนั้นการนับถอยหลังของระบบก็กลายเป็นศูนย์ ส่งพวกเขากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง การเดินทางกลับมาด้วยการบิดเบือนมิติอันรุนแรงส่งผลให้ทั้ง โรเอลและนอร่าที่อยู่ในสภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่หมดสติลงในทันที
ต่อมาเด็กชายก็ได้ยินมาจากคนอื่น ๆ ว่าเขากับนอร่าได้หายตัวไปเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียวในคืนนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งสองกลับมาถึง ร่างกายของพวกเขากลับถูกปกคลุมไปด้วยดิน และโรเอลก็อยู่ในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนี้ท่าทางของพวกเขาทั้งสองคนยังดูสนิทสนมกันอย่างไม่น่าเชื่อ
สิ่งนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก แต่การถ่ายโอนพลังเวทที่วิกตอเรียกล่าวถึง ได้เกิดขึ้นจริง ๆ ส่งผลให้ บิชอปไม่กล้าแยกพวกเขาออกจากกันโดยประมาท ต่อมาเมื่อนักบวชจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์มาถึง พวกเขาจึงแยกร่างของทั้งสองออกจากกันได้ในที่สุด
ท่านอนกอดกันอย่างสนิทสนมของโรเอลและนอร่าตลอดครึ่งชั่วโมงนั้น ไม่ต่างอะไรไปจากการประหารชีวิตชื่อเสียงของพวกเขาในที่สาธารณะ!
ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ภาพนี้ถูกถ่ายทอดไปยังคาร์เตอร์และอลิเซียผ่านคาถาเวทสื่อสาร ทำให้อลิเซียแสดงอาการโมโหเป็นอย่างยิ่ง อลิเซียผู้มักจะมีมารยาทและอ่อนโยน ไม่ใช่คนที่จะอารมณ์เสียได้ง่าย ๆ ดังนั้นเมื่อเธอถูกกระตุ้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปลอบเธอให้สงบลง
วันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น ทันทีที่เด็กสาวกลับมาถึง เธอก็ร้องไห้ต่อหน้าเขาทั้งน้ำตา
“พี่ใหญ่โรเอล! หนูไม่ดีพองั้นหรือ พี่ใหญ่ไม่ต้องการหนูแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน! เธอไปได้ยินคำเหล่านั้นมาจากที่ไหนกันเนี่ย? ไม่มีทางที่ฉันจะไม่ต้องการเธอหรอกนะ!”
ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของอลิเซียทำให้หัวใจของโรเอลบีบรัดแน่นด้วยความเจ็บปวด เขาไม่สามารถทนดูเธอร้องไห้ได้ เด็กชายเอื้อมมือไปดึงเด็กสาวเข้ามากอด ทว่าอลิเซียกลับหันหนีไปอีกทาง แล้ววิ่งหนีไปทั้งน้ำตา ปฏิเสธอ้อมกอดของเขาอย่างน่าประหลาด
“อ…อลิเซีย?”
การปฏิเสธครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อโรเอล ทำให้เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างสับสน ไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้เลยล่ะ? อลิเซียควรจะเข้ามาในอ้อมกอดของเราด้วยรอยยิ้มไม่ใช่เหรอ?
โรเอลยืนอึ้งอยู่นานมาก โดยมีสายตาดูถูกเหยียดหยามจากแอนนามองอยู่ห่าง ๆ
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ แต่ความเย็นชาที่อลิเซียมอบให้กับโรเอลก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะละลายลง นอกจากนี้เด็กสาวดูเหมือนจะมีเรื่องยุ่งอะไรบางอย่าง ทำให้เด็กชายแทบไม่มีโอกาสได้พบเธอเลย เธอไม่ได้มาที่โต๊ะอาหารในช่วงเวลาอาหารด้วยซ้ำ! เห็นได้ชัดว่าอลิเซียได้รับอนุญาตจากคาร์เตอร์ให้ทานอาหารในห้องส่วนตัว
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือโรเอลเพิ่งถูกไล่ออกจากงานป้อนอาหารของเขา
“นี่คือจุดจบของโลกสินะ? นี่คงเป็นจุดจบของโลกใช่ไหม?”
โรเอลพึมพำกับตัวเองด้วยแววตาดั่งปลาตาย เขากลืนอาหารทั้งน้ำตาพลางสวดอ้อนวอนขอให้วันหนึ่งอลิเซียเปลี่ยนใจกลับมาที่โต๊ะอาหารนี้ เพื่อขอคืนดีกับเขา
เด็กชายถอนใจยาว ๆ ขณะที่คลื่นแห่งความเฉื่อยแผ่ซ่านไปทั่วจิตวิญญาณของเขา นี่คงเป็นสิ่งที่การ์ฟิลด์รู้สึกเมื่อตนเองขาดลาซานญ่าไป
“ฉันคงจะต้องตายแน่ ๆ ถ้าไม่ได้รับยา อลิเซียท็อคซิน เร็ว ๆ นี้…”
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำแปลก ๆ ของโรเอล แอนนาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงว่าอลิเซียผู้สิ้นหวังในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ความอยากอาหารของเธอแย่ลงเรื่อย ๆ เดิมทีอลิเซียก็เป็นคนกินน้อยอยู่แล้ว แต่เด็กสาวก็พยายามกินให้มากขึ้นอีกหน่อยเพราะโรเอลคอยป้อนอาหารให้เธออยู่ เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปริมาณอาหารที่อลิเซียกินนั้นลดลงไปครึ่งหนึ่ง หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้นก็ได้…
แอนนาคิดว่าสาวใช้ที่รับหน้าที่ดูแลอลิเซียเองก็คงจะกังวลถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน เธอถอนหายใจอย่างเศร้าโศก
เพื่อความสุขของเด็ก ๆ ทั้งสอง สาวใช้รู้สึกว่าเธอควรหาโอกาสบางอย่าง ที่จะช่วยให้ทั้งสองคนคืนดีกันได้ และสานสัมพันธ์ขึ้นใหม่อีกครั้ง
โดยไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของแอนนา โรเอลรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในดวงตาของเขาดูหมองคล้ำและน่าเบื่อ เขาไม่มีแรงจูงใจใด ๆ และเขาไม่ต้องการที่จะทำอะไรเลยสักอย่าง เขาสั่งให้แอนนาออกไปก่อนที่จะเอนตัวลงนอนบนโซฟาอย่างกระสับกระส่าย
“ทุกอย่างเร็ว ๆ นี้ เหมือนจะแย่ลงไปหมด”
โรเอลก่ายแขนไว้บนหน้าผากพลางพึมพำกับตัวเอง มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ และเด็กชายรู้สึกว่าตนเองต้องการใช้เวลาสักพักใหญ่ ๆ เพื่อคิดทบทวนเกี่ยวกับมัน
เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่ที่โรเอลกลับออกมาจากสถานะผู้เฝ้ามองและแยกทางกับนอร่า หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ตามคำบอกเล่าของคาร์เตอร์ นอร่าต้องการเวลาสักระยะเพื่อทำให้สายเลือดระดับเงินของเธอเสถียร และในช่วงเวลานี้เธอจึงไม่สามารถตื่นเต้นเกินไปได้
โรเอล ไม่เข้าใจว่า ‘การตื่นเต้นเกินไป’ ที่นอร่าพูดถึงเกี่ยวข้องกับการพบกับเขาได้อย่างไร แต่ไม่ว่าในกรณีใด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องห่างกันไปสักพัก นี่ทำให้ข่าวลือที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ไม่ได้ผิดไปซะทีเดียว
“ตอนนี้ นอร่าจะเป็นยังไงบ้างนะ…”
หลังจากผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ความประทับใจของโรเอลที่มีต่อนอร่าก็ดีขึ้นอย่างมาก มันคงเป็นเรื่องโกหกหากจะบอกว่าเขาไม่ได้สนใจเธอเลย อันที่จริงเขาค่อนข้างจะกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับเธอ และมันก็คงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานจนกว่าโรเอลจะสามารถยืนยันได้ด้วยตาของตัวเองว่าเธอปลอดภัยดี
อีกสิ่งหนึ่งที่โรเอลทำหลังจากกลับมายังยุคนี้ก็คือการตรวจสอบบันทึกทางประวัติศาสตร์ นี่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าประวัติศาสตร์นั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย ในบันทึกยังคงระบุเอาไว้ว่า เวตได้พ่ายแพ้ให้กับพระสังฆราชไรอันที่กลับมาช่วย ส่วนวิกตอเรียและพอนเต้ก็ได้ซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์เขาวงกตจนถึงวินาทีสุดท้าย เมื่อรู้อย่างนี้จิตใจของเด็กชายก็สบายใจขึ้นมานิดนึงว่าตนเองไม่ได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อะไรไป
มันเป็นไปได้ว่า โลกที่พวกเขาถูกดึงเข้าไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงตัวแค่ตัวอย่างจำลองสั้น ๆ ของประวัติศาสตร์ ทำให้อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นที่นั่นจะไม่ส่งผลต่อโลกแห่งความเป็นจริง บทบาทของโรเอลนั้นเป็นเพียงผู้เฝ้ามอง ไม่ใช่นักท่องเวลาเพื่อเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์
ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่ โรเอลและนอร่า ทำในโลกนั้นจะไร้ประโยชน์ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญฝ่าฟันภยันตรายครั้งใหญ่ และเกือบจะเสียชีวิตหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ได้รับรางวัลอันคุ้มค่าตามสัดส่วนกับอันตรายที่ต้องเผชิญ
ในแง่ของความแข็งแกร่ง โรเอลได้ปลุกพลังสายเลือดของเขาขึ้นมา ได้รับพรจากกรันด้า ซึ่งถือเป็นการยกระดับความสามารถในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติของเขาเป็นอย่างมาก เด็กชายรู้สึกว่าตอนนี้เขากำลังจะไปถึงระดับแก่นแท้ 5 ในไม่ช้า
ขณะเดียวกัน นอร่าเองก็ได้ปลุกพลังสายเลือดของตนขึ้นมาเป็นระดับเงินได้สำเร็จ ทำให้เธอเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนในแง่ของวุฒิภาวะทางจิตใจ ทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาพอสมควรจากการผ่านความลำบากต่าง ๆ มาด้วยกัน พวกเขาได้เฝ้าดูประวัติศาสตร์ และเห็นจิตวิญญาณผู้กล้าหาญนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น เวต เฟลเดอร์ วิกตอเรีย หรือ พอนเต้ พวกเขาเหล่านั้นล้วนผลักดันเจตจำนงของตนเองไปจนถึงขีดสุดเพื่ออนาคตของจักรวรรดิเซนต์เมซิท
ประสบการณ์นี้ได้เปลี่ยนความคิดของเด็ก ๆ ทั้งสองคนในหลาย ๆ เรื่อง ทำให้พวกเขาเริ่มมองภาพรวมของสรรพสิ่งมากขึ้นกว่าแค่ผิวเผิน
โรเอลเชื่อว่าการเติบโตทางจิตใจของพวกเขานั้นมีความสำคัญมากกว่าการเติบโตของพลังความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะสำหรับอัจฉริยะอย่างนอร่าที่ไม่ได้มีปัญหาด้านพลังอันล้นหลาม สิ่งที่พวกเขาขาดคือปัญญา ระบบการศึกษาของขุนนางวัยเยาว์นั้นค่อนข้างธรรมดา ทำให้พวกเขามองโลกในลักษณะที่เรียบง่ายเพียงมิติเดียว ขาดความสามารถในการคิดจากมุมมองอื่น ๆ ในการใช้พลังที่พวกเขามีให้เกิดประสิทธิภาพ
ประสบการณ์นี้น่าจะเป็นบทเรียนเชิงปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับนอร่า มันเป็นการตอกย้ำทางภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่กว่าที่หนังสือเล่มใด ๆ จะถ่ายทอดได้ มันจะช่วยให้เด็กสาวสามารถตัดสินใจเลือกเส้นทางที่เธอกำลังจะมุ่งไปในฐานะผู้ปกครอง และช่วยให้นอร่ารอดพ้นจากทางเบี่ยงที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ
ปัญหาเดียวก็คือทัศนคติที่นอร่ามีต่อโรเอล…
“เธอคงไม่ทำกับเราแบบเดียวกับที่วิกตอเรียทำกับพอนเต้ใช่ไหมเนี่ย? เป็นไปไม่ได้หรอกเนอะ เดิมทีพวกเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา ฮะ ๆ ๆ ๆ”
โรเอลปลอบตัวเองพลางหัวเราะออกมาอย่างเจื่อน ๆ