บทที่ 97: แม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยากจน !
วิกตอเรียและพอนเต้นั้นมาจากตระกูลเซไซต์และตระกูลแอสคาร์ด ดังนั้นพฤติกรรมของทั้งสองจึงเปรียบเสมือนตัวอย่างให้แก่นอร่าและโรเอลปฏิบัติตามโดยปริยาย ราวกับว่าเป็นแบบอย่างสำหรับพวกเขา
เพียงแต่ว่าพวกเขาทั้งคู่ดูเหมือนจะเป็นแบบอย่างในเชิงลบเสียมากกว่า
แค่หวนนึกถึงวิธีการที่วิกตอเรียใช้ควบคุมพอนเต้ให้อยู่หมัดก็ทำให้โรเอลรู้สึกไม่สบายใจแล้ว เด็กชายสาบานกับตัวเองว่าเขาจะไม่มีวันลงเอยด้วยความทุกข์ยากแบบเดียวกันกับบรรพบุรุษโดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองก็ทำให้เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นในใจของโรเอล แม้ว่าพอนเต้จะไม่ได้แสดงมันออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็มีใจให้วิกตอเรียอยู่พอสมควร แล้วด้วยเหตุใดทั้งสองถึงต้องจากกันในท้ายที่สุดล่ะ ?
โรเอลเกาหัวด้วยความสงสัย เป็นไปได้ไหมว่าส่วนที่ถูกดัดแปลงไปในประวัติศาสตร์จะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เวตเท่านั้น? บางทีอาจจะมีบางส่วนถูกดัดแปลงไปในฝั่งของวิกตอเรียด้วยด้วยเช่นกัน เขาไม่คิดว่าคู่รักทั้งสอง ผู้ที่พร้อมจะตายไปด้วยกันภายใต้คมดาบของเวตจะแยกทางจากกันได้จริง ๆ ในภายหลัง
เราควรลองหาข้อมูลดูในบันทึกของพอนเต้ดีไหมนะ?
ความคิดดังกล่าวแวบเข้ามาในหัวของโรเอล แต่แล้วเด็กชายก็ส่ายหัวของตน ราวกับว่าจิตใจของเขาเลือกที่จะปฏิเสธบันทึกเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว เพื่อที่จะได้รักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้
“ช่างมันดีกว่า บันทึกพวกนั้นมันน่าอับอายเกินไปที่จะอ่าน นอกจากนี้เรายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการด้วย…”
โรเอลพึมพำกับตัวเองด้วยแววตาที่จริงจังขึ้น
นอกเหนือจากพลังอำนาจและความรู้ ยังมีสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่โรเอลได้รับมาจากสถานะผู้เฝ้ามอง นั่นก็คือข่าวกรองทางการทหาร เขาได้รู้แล้วว่าเฟลเดอร์ เอลริกเป็นคนเดียวกันกับไบรอัน เอลริกในปัจจุบัน แน่นอนว่าเด็กชายไม่คิดว่าคาถาเวท ภัยพิบัติแห่งการนองเลือด จะให้ข้อมูลที่ผิดพลาดกับเขา
จนถึงตอนนี้โรเอลก็ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับนอร่า เพราะเขาไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันคำพูดดังกล่าว และข้อมูลชิ้นนี้เองก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่นั่น
อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งสองคนกลับมาแล้ว ข้อมูลความลับนี้นั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีค่าเทียบเท่ากับทองคำ แต่ปัญหาก็คือ…
… โรเอลไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันเรื่องนี้
การเดินขบวนแห่งความวุ่นวายผ่านมาแล้วว่าหนึ่งศตวรรษ หลักฐานการดำรงอยู่ของเฟลเดอร์จึงได้หายไปกับผงธุลีแห่งประวัติศาสตร์ไปแล้วเรียบร้อย ไม่มีบทความที่เป็นหลักฐานหรือเป็นพยานใด ๆ ที่โรเอลจะสามารถนำมาใช้เพื่อยืนยันเรื่องราวของเขาได้ และคำพูดเพียงข้างเดียวของเขาไม่มีทางมากพอที่จะบรรลุสิ่งใด ๆ ได้ หากเขาเคลื่อนไหวอย่างประมาทโดยไม่ได้วางแผนเรื่องต่าง ๆ อย่างละเอียด เด็กชายก็อาจจะทำให้ไบรอันตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็นจนทำให้รับมืออีกฝ่ายได้ยากขึ้นมากไปกว่าเดิมเสียอีก
แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าโรเอลจะทำอะไรไม่ได้เลย ไบรอันไม่ใช่ปูเสฉวนที่สามารถเปลี่ยนเปลือกเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตตลอดไปได้ คนที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานานขนาดนั้นจะต้องมีเงื่อนไขข้อตำหนิบางอย่างแน่ โดยสิ่งนั้นก็อาจจะเป็นลัทธิชั่วร้าย ตอนนี้โรเอลแค่ต้องหาทางขุดค้นมันอย่างระมัดระวังก็เท่านั้นเอง
เมื่อพูดถึงลัทธิชั่วร้าย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารโรเอลเมื่อสัปดาห์ก่อน น่าจะเสียค่าใช้จ่ายไปเป็นจำนวนมากสำหรับการกระทำของพวกเขา นอกจากนี้เหล่าอัครสาวกและ มาร์ควิสคาร์เตอร์ พ่อของเขา ก็ไม่ใช่คนที่ควรจะมาหาเรื่อง หลังจากวันนั้นพวกเขาได้แบ่งกองทัพออกมาเป็นกองกำลังพิเศษ ภายใต้แนวคิดที่จะ ‘ขจัดภัยคุกคามของจักรวรรดิเซนต์เมซิท’ และดำเนินการออกตามล่าหาลัทธิชั่วร้ายดังกล่าว
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดของนอร่า และสิ่งที่ตามมา อิทธิพลของตระกูลเอลริกจึงอ่อนแอลงไปมาก ทำให้พวกเขาคงจะต้องอยู่นิ่ง ๆ ไปก่อนในตอนนี้ หากพิจารณาถึงความจริงข้อนี้ ไบรอันก็ไม่น่าจะสามารถทำอะไรได้ไประยะหนึ่ง
ดังนั้น โรเอลจึงสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เขาอยู่สบายกินอิ่มนอนหลับ หลังจากที่ได้ผ่านความน่าสะพรึงกลัวของสงคราม ในที่สุดเด็กชายก็ตระหนักได้ว่าการมีชีวิตอยู่และได้กินอาหารดี ๆ นั้นเป็นโชคลาภอันประเสริฐเพียงใด
แน่นอนว่าโรเอลไม่ได้ใช้เวลานี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์ เด็กชายได้เตรียมการต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ก้าวข้ามไปสู่ระดับแก่นแท้ 5 ซึ่งเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่เขาต้องเอาชนะ ดังนั้นจึงจัดการให้แน่ใจว่าเขาพร้อมแล้วจริง ๆ โดยทั่วไปแล้ว ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะต้องไปที่โบสถ์ เพื่อขอทำพิธีกรรมสำหรับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความเมตตา เพื่อความก้าวหน้าทางระดับแก่นแท้ แต่มันแตกต่างออกไปเล็กน้อยสำหรับโรเอล เนื่องจากสถานการณ์อันแปลกประหลาดของเขา
หลังจากปลุกพลังสายเลือดดั้งเดิมของตระกูลแอสคาร์ดขึ้นมาได้แล้ว โรเอลก็พบว่าเขามีพลังคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของสายเลือด เป็นไปตามชื่อของมัน คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดที่เข้ากันได้ดีกับพลังทางสายเลือดของเขา ซึ่งแตกต่างจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพวกนอกรีต เนื่องจากพลังคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของสายเลือดนั้น ถูกประเมินเอาไว้ค่อนข้างสูงในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ต่างจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพวกนอกรีตที่ได้รับอิทธิพลจากเทพเจ้าปริศนา คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพลังสายเลือดนั้นจะมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าขึ้นอยู่กับตัวบุคคล
นี่เป็นโชคดีสำหรับโรเอล การมีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของสายเลือดนั้นหายากมาก ส่วนใหญ่พบได้เฉพาะในตระกูลขุนนางชั้นสูงที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเท่านั้น
นี่คือการแจ้งเตือนจากระบบที่ส่งมาให้กับโรเอล ตอนที่เขาได้สติหลังจากรอดออกมาจากสถานะผู้เฝ้ามอง
【การประเมินอย่างละเอียด : สมบูรณ์แบบ (102)】
【ประสบความสำเร็จในการฟื้นคืนพลังสายเลือดดั้งเดิม】
【ได้รับสายเลือด: สายเลือดแห่งผู้แสวงหาราชา (ระดับทองแดง)】
【เสียงระฆังดังขึ้นท่ามกลางสายหมอก ชี้ทางให้แก่ผู้หลงทาง ผู้ใช้ได้เลือกที่จะกระโดดข้ามมิติกาลเวลา เพื่อปลอบโยนผู้วายชมน์】
【ระดับของการฟื้นฟูพลังสายเลือด: สมบูรณ์แบบ】
【ทำการประเมินคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของสายเลือด】
【คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด: มงกุฎ】
【คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดนี้จะถูกมอบให้กับผู้ใช้ เมื่อสามารถเลื่อนขึ้นสู่ระดับแก่นแท้ 5 ได้สำเร็จ】
การแจ้งเตือนจากระบบนี้ทำให้โรเอลรู้ว่าความพยายามของเขาไม่ได้ไร้ประโยชน์ ดูเหมือนว่าเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพลังสายเลือด จะเป็นเพราะว่าเขาสามารถฟื้นคืนพลังสายเลือดดั้งเดิมขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ม้าที่ดีย่อมต้องมีอานที่ดี’ จากแง่มุมนี้ คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของโรเอลอย่างไม่ต้องสงสัย มันน่าจะช่วยแก้ปัญหาที่เขาไม่สามารถเข้ากันกับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักทั้งสามประการได้
ในมุมมองของโรเอลการแข็งแกร่งขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่เขาจะได้ทำลายเดธแฟล็คทั้งหมดลง เด็กชายไม่มีทางละทิ้งการเติบโตในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เพียงเพราะเขาเข้ากันไม่ได้กับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักทั้งสามประการแน่
ความตั้งใจแรกของโรเอลก็คือการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลแอสคาร์ด และตระกูลเซไซต์ เพื่อเจรจาให้ทางราชวงศ์เมินเรื่องที่เขาเป็นคนนอกรีต อย่างไรก็ตามในเมื่อตอนนี้เด็กชายได้ถูกกำหนดให้ได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป
นอกเหนือจากการเพิ่มพูนทางศักยภาพของโรเอลแล้ว เขายังได้รับทักษะอันทรงพลังมาอีกด้วย
【ของขวัญจากองค์ชายเวต】
【ในช่วงเวลาสุดท้ายขององค์ชาย เขาได้ยอมรับเจตจำนงของผู้ใช้ ละทิ้งความเกลียดชังของตนลง ผู้ใช้ได้มอบความสงบสุขในชีวิตหลังความตายให้แก่เขา】
【ได้รับคาถาเวทเสริมกองทัพ: เสียงคำรามแห่งอัสนีสีชาด】
【ความโกรธแค้นต่อความอยุติธรรมที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของผู้คน ความโกรธของพวกเขาได้หลอมรวมเป็นสายฟ้าสีแดง คำรามให้กับโลกอันไร้เหตุผล】
【ทหารพันธมิตรทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงจะได้รับความสามารถในการรุกและป้องกันเพิ่มขึ้นอย่างมาก และพวกเขาจะถูกจัดให้อยู่ในสถานะบ้าคลั่ง ความสามารถในการต่อสู้ของทหารในสถานะบ้าคลั่งจะเพิ่มขึ้นตามศักยภาพของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม เมื่อผลของคาถาสิ้นสุดลง มีความเป็นไปได้สูงที่ทหารเหล่านั้นจะเข้าสู่สภาวะเหนื่อยล้า】
เมื่อโรเอลเห็นคาถาเวทนี้ เด็กชายก็แทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี เขารู้สึกตื่นเต้นมากกว่าตอนที่เห็นคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎเป็นครั้งแรกเสียอีก เหตุผลเบื้องหลังนั้นก็เพราะคำว่า ‘คาถาเวทเสริมกองทัพ’
คาถาเวทเสริมกองทัพเป็นอะไรที่หาได้ยากในทวีปเซีย ดังนั้นใครก็ตามที่ครอบครองคาถาเวทดังกล่าว ย่อมมีตำแหน่งระดับสูงในกองทัพ พูดให้ถูกก็คือ แม้แต่คนโง่เขลาที่ไม่รู้อะไรเลยนอกจากคาถาเวทเสริมกองทัพ ก็ยังเป็นที่ต้องการในหมู่ทหารและได้รับค่าจ้างอย่างงาม แน่นอนว่าบุคคลนั้นต้องมีระดับแก่นแท้ที่สูงพอสมควร เนื่องจากคาถาดังกล่าวใช้พลังเวทมหาศาล
สาเหตุที่เป็นคาถาเวทเสริมกองทัพมีมูลค่าสูง ก็เพราะประสิทธิภาพของมัน กองทัพส่วนใหญ่มักจะมีหน่วยที่เชี่ยวชาญในการร่ายคาถาเวทเสริมพลัง แต่คาถาเวทของพวกเขาล้วนเป็นเป้าหมายเดียว ค่าใช้จ่ายพลังเวทจึงสูงมากหากพวกเขาพยายามที่จะเสริมพลังให้กับทหารกองทัพทั้งหมด ดังนั้นคนที่จะได้รับการเสริมพลังจึงมีเพียงพวกหัวกะทิ
กลับกันแล้ว พลังเวทที่ใช้สำหรับคาถาเวทเสริมกองทัพนั้นขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ครอบคลุม ไม่ใช่จำนวนคนที่ได้รับผลกระทบ คาถาเวทเสริมกองทัพจึงทรงพลังกว่ามาก เรียกได้ว่าบางคาถาอาจจะสามารถร่ายครอบคลุมทั่วทั้งกองทัพเลยก็ว่าได้
แม้ว่าจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นการแลกเปลี่ยนปกติ เพื่อคุณภาพ ประสิทธิภาพของคาถาเวทเสริมกองทัพอาจจะน้อยกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับคาถาเวทเสริมพลังที่มีเป้าหมายเป็นรายบุคคล แต่จำนวนของเป้าหมายที่คาถาเวทเสริมกองทัพครอบคลุมก็มากเกินพอที่จะเปลี่ยนกระแสของการต่อสู้ได้ การเพิ่มศักยภาพเล็กน้อยให้แก่ทหารทุกนายย่อมมีผลมหาศาลในสงคราม
ตามที่โรเอลเคยได้เห็น คาถาเวทเสริมกองทัพของเวตนั้นมีประสิทธิภาพเกินกว่า ‘การเพิ่มศักยภาพเพียงเล็กน้อย’ มาก มันเป็นคาถาที่เขาได้รับระหว่างการพัฒนาขึ้นสู่ระดับแก่นแท้ 2 แสดงให้เห็นถึงพลังของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งโทสะ เปลี่ยนทหารทุกคนให้กลายเป็นนักรบคลั่งที่ไม่มีใครสามารถจะหยุดยั้งได้ในสนามรบ ด้วยพละกำลังมหาศาลของพวกเขา ทำให้กองทัพของเวตสามารถเจาะผ่านแนวป้องกันของฝ่ายวิกตอเรียได้อย่างง่ายดาย
หากใช้ในจังหวะที่ถูกต้อง คาถาเวทเสริมกองทัพนี้อาจกลายเป็นอาวุธทำลายล้างประสิทธิภาพสูงในสนามรบเลยก็ว่าได้ เด็กชายอดใจไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ ที่ตนเลือกเวตในตอนนั้น หากเขาเลือกวิกตอเรียแทนล่ะก็ แม้ว่าโรเอลจะได้รับคาถาเวทที่ดี แต่มันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์เช่นนี้
โดยรวมแล้วโรเอลพอใจเป็นอย่างมากกับทุกสิ่งที่เขาได้รับ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นมามาก อีกทั้งเด็กชายยังได้รับไพ่ตายอันทรงพลังมาใหม่หลายอย่าง เพื่อรับมือกับวิกฤตที่ตนต้องเผชิญในอนาคตอันไม่แน่นอน
ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่โรเอลสงสัยตั้งแต่การกลับมาจากสถานะผู้เฝ้ามอง นั่นก็คือกรันด้าหายไปไหน? นี่ก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาในความฝันของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งนี้ดูผิดธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง ในมุมมองของโรเอลนั้นกรันด้า เป็นเหมือนชายวัยกลางคนผู้โดดเดี่ยวที่ชอบพูดคุยกับผู้อื่น เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะหายตัวไปเป็นเวลานาน
อันที่จริง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ แต่โรเอลรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเขากับ กรันด้ากำลังอ่อนแอลงอย่างมาก
โรเอลใช้เวลาไตร่ตรองคำถามนี้ และในที่สุดเขาก็ได้ตั้งสมมติฐานขึ้นมา เป็นไปได้ว่าบางทีสถานะผู้เฝ้ามองอาจจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่คอยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกรันด้า ทำให้พวกเขาสามารถพบปะและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ เมื่อสถานะผู้เฝ้ามองสิ้นสุดลง ความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาจึงลดลงไปด้วยเช่นกัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถติดต่อกันได้อีก
แต่ตราบใดที่โรเอลสามารถพัฒนาตัวเองจนได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ มันก็มีโอกาสที่เขาจะสามารถเชื่อมต่อกับกรันด้าได้อีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าเราจะต้องไปให้ถึงระดับแก่นแท้ 5 เพื่อรับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎให้ได้โดยเร็วซะแล้วสิ”
โรเอลพึมพำกับตัวเองพร้อมตั้งเป้าหมายในระยะสั้นเพื่อเป้าหมายในระยะยาวของเขา ทว่าทันใดนั้นเอง…
【การแจ้งเตือนจากระบบ: ขณะนี้ผู้ใช้เป็นหนี้ระบบ 500,000 เหรียญทอง】
【เส้นตายสำหรับวันชำระหนี้ : อีก 1815 วัน】
“โอ้ย บ้าที่สุด! ค่าใช้จ่ายนี่มันมากเกินไปแล้ว!”
เลขศูนย์จำนวนมากในบัญชีขาดดุล ทำให้โรเอลรู้สึกราวกับว่าหัวของเขากำลังจะระเบิด แม้ว่าเด็กชายจะได้รับกำไรมากมายมาจากสถานะผู้เฝ้ามอง แต่ราคาที่เขาต้องจ่ายก็ไม่ได้น้อยเช่นกัน แค่หนี้จำนวนกว่า 500,000 เหรียญทองก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้เขาสิ้นหวัง
“ระบบนี่มันหน้าเงินเกินไปแล้ว คิดจะฮุบทองทั้งหมดแล้วทำให้เศรษฐกิจบนโลกนี้ยุ่งเหยิงรึไง?”
【ทองคำที่ระบบได้รับจะถูกแจกจ่ายไปยังเหมืองทองคำทั่วโลก ระบบมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจอันยั่งยืน ดังนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้】
???
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ระบบกำลังรวบรวมเหรียญทองจากเรา เพียงเพื่อจะส่งมันกลับไปที่เหมืองเนี่ยนะ? ล้อกันเล่นเหรอ? นี่มันแทบไม่ต่างอะไรไปจากการขอให้เราสร้างอาคารเพื่อจะได้ทุบมันทิ้งเลยนะ!
เมื่อลองคิดในแง่ดีแล้ว นี่ก็หมายความว่าโรเอลได้รับประกันความยั่งยืนของธุรกิจเหมืองทองทั่วทั้งทวีปเซีย ปกป้องงานของคนงานเหมืองทุกคนด้วยตัวคนเดียว! ความสำเร็จนี้ช่างคู่ควรกับการได้รับรางวัลโนเบลจริง ๆ
โรเอลถอนหายใจออกมาก่อนจะเริ่มคำนวณความเป็นไปได้ในการคืนเงินให้ตรงเวลา
เป็นไปได้ไหมที่โรเอลจะขอเงิน 500,000 เหรียญทองมาจากตระกูลแอสคาร์ด? อืม มันก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้ แต่เขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเงินเหล่านี้จะไปที่ไหน เขาจะบอกบิดาอย่างไรดี ว่าตนเองมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเหมืองทองทั่วโลก? ฮ่า ๆ ๆ คงไม่มีใครเชื่อเขาแน่…
นอกจากนี้ ถ้าหากจู่ ๆ เขานำเงินจำนวนมากออกไปจากตระกูลแอสคาร์ด มันก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาด้านการเงินอย่างร้ายแรงในระยะสั้นได้ ดูเหมือนว่าโรเอลจะต้องคิดหาวิธีการหาเงินด้วยตัวเองเสียแล้ว…
โรเอลรู้สึกว่าเขาคงต้องไปปรึกษาอย่างจริงจังกับคาร์เตอร์เกี่ยวกับเรื่องนี้