บทที่ 98: พวกเราจะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน
เกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้ โรเอลได้ลองพิจารณาว่าเขาควรชักดาบหนีหนี้ ดูดเลือดของระบบให้แห้งก่อนที่จะละทิ้งมันอย่างไร้ความปราณีไหม?
เพราะต่อให้โรเอลไม่จ่ายหนี้เลยแม้แต่เหรียญเดียว ระบบก็จะยังคงใช้งานต่อไปได้อีก 5 ปี ถ้าเขาสามารถเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งได้ เขาก็อาจจะไม่ต้องการระบบอีกต่อไป
แต่หลังจากคิดทบทวนดี ๆ แล้ว โรเอลก็เลือกที่จะละทิ้งความคิดนั้นไป ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายในเวลา 5 ปีนี้ ดังนั้นทางที่ดีเด็กชายก็ควรจะเก็บระบบนี้เอาไว้
เพราะการชำระหนี้ 500,000 เหรียญทองนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว โรเอลสามารถหาเงินเพิ่มได้เสมอ แต่เขาไม่สามารถหาระบบที่สองได้อีกแล้วหากต้องสูญเสียมันไป
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว โรเอลจึงเดินไปที่ห้องของมาร์ควิสคาร์เตอร์ โดยหวังที่จะหารือกับเขาเกี่ยวกับเขตการปกครองแอสคาร์ด
โรเอลรู้สึกว่า คาร์เตอร์ มีความคล้ายคลึงกับลูกหลานคนรวยจากละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่งในอดีตชาติของเขา โดยลูกหลานเหล่านี้มักจะทิ้งมรดกมหาศาลของบรรพบุรุษ เพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้ไล่ตามความฝันของตนเอง
เห็นได้จากการที่คาร์เตอร์เลือกทุ่มเทเวลาให้กับกองทัพ แทนที่จะพัฒนามรดก(เขตการปกครองแอสคาร์ด)ของตน ซึ่งทำให้โรเอลเจ็บปวดมากเมื่อคิดถึงศักยภาพและโอกาสที่ได้สูญเสียไป ทั้ง ๆ ที่เขตการปกครองแอสคาร์ดควรจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ได้มากกว่านี้แท้ ๆ!
ในฐานะทายาทของตระกูลแอสคาร์ด โรเอลรู้สึกว่าเขาจะต้องเติมเต็มช่องว่างดังกล่าวที่บิดาทิ้งเอาไว้! เด็กชายจึงตัดสินใจว่าจะเดินไปหาคาร์เตอร์ เพื่ออภิปรายเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยหวังว่าจะได้รับสิทธิบางส่วนในเขตการปกครองแอสคาร์ด
ทว่าแรงจูงใจอันร้อนแรงของโรเอลก็ต้องจบลงด้วยความผิดหวัง
“หา? ท่านพ่อไม่อยู่งั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ท่านมาร์ควิสถูกเรียกตัวไปที่พระราชวังค่ะ”
“พระราชวัง? อืม…”
โรเอลอดคิดไม่ได้เกี่ยวกับข่าวลือเรื่องเขาและนอร่าที่กระจายไปทั่วเมืองเมื่อเร็ว ๆ นี้ มันทำให้เด็กชายรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย
มันคงไม่ใช่เหตุผลที่คาร์เตอร์ถูกเรียกตัวไปใช่ไหม?
…
ขณะที่โรเอลกำลังรู้สึกไม่สบายใจอยู่นั้น มาร์ควิสคาร์เตอร์ก็ได้เข้าพบกับบุคคลที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจออย่าง พระสังฆราชจอห์น เซไซต์
ด้วยที่จอห์น เซไซต์ เป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท คาร์เตอร์จึงไม่ได้มีโอกาสติดต่อกับเขามากเท่าไหร่นัก ผู้คนของตระกูลเซไซต์มีภาระหน้าที่มากมายที่ต้องดูแลจัดการ
อย่างไรก็ตามองค์กรที่ตระกูลเซไซต์คอยจัดการดูแลอยู่นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วน องค์กรหลักและองค์กรย่อย
องค์กรหลัก ที่ตระกูลเซไซต์ดูแลอยู่ก็คือโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง มันเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลและทรงพลัง ทุกการเคลื่อนไหวของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจะส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติ
เป็นดั่งปัจจัยผูกมัดที่ทำให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกันในช่วงวิกฤต และในช่วงเวลาที่สงบเอง พวกเขาก็ต้องคอยจัดการความสัมพันธ์ต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจะไม่พังทลายลงด้วยเช่นกัน
ส่วนองค์กรย่อยก็คือ กองกำลังต่าง ๆ และตระกูลขุนนาง ในฐานะราชวงศ์ผู้ปกครองจักรวรรดิเซนต์เมซิท ตระกูลเซไซต์จะต้องเป็นศูนย์กลางให้กับพวกเขา ควบคุมทุกคนเอาไว้ให้เป็นไปตามทำนองคลองธรรม
อย่างไรก็ตามทุกคนล้วนมีขีดจำกัด แม้แต่ตัวพระสังฆราชจอห์นเองก็เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง โดยมอบหมายการบริหารปกครองจักรวรรดิเซนต์เมซิทให้อยู่ในมือของลูกชายและเหล่าอาสาสมัครผู้ภักดี มีเพียงในช่วงพิธีสำคัญระดับชาติเท่านั้นที่พระสังฆราชจอห์นจะปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะองค์จักรพรรดิ
คาร์เตอร์ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีโอกาสมากนักที่จะได้พบผู้นำตระกูลเซไซต์ ครั้งสุดท้ายที่มาร์ควิสได้พูดคุยกับอีกฝ่าย ก็คือตอนที่เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้บัญชาการของภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการเมื่อหลายปีก่อน
ต่างจากบรรยากาศอันเคร่งขรึมในตอนนั้น การประชุมของพวกเขาในครั้งนี้เป็นกันเองมาก เป็นกันเองมากเกินไปเลยด้วยซ้ำ จนถึงจุดที่คาร์เตอร์สัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติที่นี่ เมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของชายชราตรงหน้าเขา คาร์เตอร์ก็อดไม่ได้ที่จะราดน้ำเย็นลงในหัวใจ เตือนตัวเองว่าเขาควรพูดจาอย่างระมัดระวัง
“คาร์เตอร์ ข้าเชื่อว่าเจ้าคงจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเด็ก ๆ ทั้งสองคนนั้นดีใช่รึเปล่า?”
หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้ว พระสังฆราชจอห์น ก็เข้าสู่ประเด็นหลัก เขากล่าวถึงเรื่องการพยายามลอบสังหารโรเอลและนอร่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้คาร์เตอร์กล่าวโทษตำหนิตนเองในทันที
“ฝ่าบาท ข้าขออภัยอย่างสุดซึ้งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขอรับ มันเป็นความพยายามที่หมายจะลอบสังหารโรเอลบุตรของข้า อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวกลับลากฝ่าบาทนอร่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย และทำให้ชีวิตของเธอต้องตกอยู่ในอันตราย ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยในเรื่องนี้…”
แม้คาร์เตอร์จะไม่ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับมัน มาร์ควิสพูดอธิบายออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำ
เริ่มจากการแสดงความโกรธของตนที่มีต่อการกระทำอันมิชอบของลัทธิชั่วร้าย ไปจนถึงการกล่าวคำขอโทษ ที่นอร่าต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก่อนที่จะสรุปลงด้วยการขอบคุณความช่วยเหลือของพระสังฆราช
ระดับที่ว่า แม้แต่นักวิจารณ์ที่เรื่องมากที่สุด ก็คงไม่อาจพบข้อบกพร่องใด ๆ ในคำพูดของเขาได้แม้แต่คำเดียว!
จอห์นพยักหน้าตอบกลับเป็นครั้งคราวตลอดบทพูดของคาร์เตอร์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจ ก่อนจะกล่าวคำปลอบเพื่อบรรเทาการตำหนิตนเองของคาร์เตอร์
“คาร์เตอร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะให้เกิด อย่างไรก็ตามในเมื่อมันได้เกิดขึ้นแล้ว ข้าคิดว่าพวกเราควรที่จะทำงานร่วมกัน คิดหามาตรการรับมือเหตุการณ์ในอนาคตไม่ให้เกิดขึ้นอีกซ้ำสอง เจ้าพอจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?”
เมื่อเห็นว่าพระสังฆราชจอห์น เริ่มชี้นำการสนทนา คาร์เตอร์ก็เข้าใจแรงจูงใจเบื้องหลังของอีกฝ่ายในที่สุด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในเหตุการณ์ครั้งนี้ทางโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างได้ทุ่มเทเพื่อปกป้องโรเอล ส่งอัครสาวกกระจายออกไปสอบสวนไปทั่วจักรวรรดิ เพื่อจับกุมผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ความเอื้ออาทรนี้จะต้องได้รับการตอบแทน
คาร์เตอร์คิดว่าพระสังฆราชจอห์น กำลังบอกอ้อม ๆ ให้ตระกูลแอสคาร์ด เสนอบางสิ่งเป็นการตอบแทน แต่ ‘บางสิ่ง’ ที่ว่าคืออะไรกัน? ให้ส่งทหารไปช่วยลงมือกำจัดพวกลัทธิชั่วร้าย? หรือให้ช่วยเหลือตระกูลเซไซต์ในการปราบปรามตระกูลเอลริกงั้นเหรอ?
คาร์เตอร์มองไปยังชายชราผมขาวตรงหน้าเขาอย่างไม่สบายใจ ด้วยความเกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะขออะไรเกินความสามารถของเขา ทว่าจอห์นกลับยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล พร้อมเปิดเผยความตั้งใจของเขาอย่างใจเย็น
“ข้าคิดว่า เราควรมอบหมายให้นอร่าเป็นผู้พิทักษ์ของโรเอล เจ้าคิดอย่างไรล่ะ?”
“ข้าว่ามันก็น่าสนใ… หือ? ขออภัยขอรับ เมื่อกี้ท่านพูดว่าอะไรนะ?”
คาร์เตอร์พยายามจะเลื่อนการตัดสินใจออกไปตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อพูดไปได้เพียงครึ่งทาง สิ่งที่พระสังฆราชจอห์นแนะนำมา ก็ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง
“ข้าเสนอว่า เราควรมอบหมายให้นอร่าเป็นผู้พิทักษ์ของโรเอล โดยส่วนตัวแล้วข้าเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลของพวกเราทั้งสองคน มาร์ควิสคาร์เตอร์ หากเจ้ามีข้อกังขาเกี่ยวกับข้อเสนอของข้า เจ้าก็พูดออกมาได้เลย”
“ไม่ ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นขอรับ! ข้าแค่… ประหลาดใจ”
แม้คาร์เตอร์จะมีประสบการณ์ด้านการเมืองมาหลายปี แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันได้ มันเป็นเรื่องปกติที่ตระกูลเซไซต์จะให้ความช่วยเหลือกับตระกูลแอสคาร์ด แต่แทนที่พวกเขาจะขออะไรตอบแทน พวกเขากลับบอกว่าจะขอปกป้องโรเอลต่อไปตลอดชีวิต…บนโลกนี้มีข้อเสนอดี ๆ แบบนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?!
แน่นอนว่าคาร์เตอร์ไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าว เทียบได้กับการมอบบุตรชายของเขาให้ไปอยู่ในเงื้อมมือของจอมมาร มิฉะนั้นเขาคงจะไม่สับสนมากขนาดนี้
เมื่อสังเกตเห็นว่าคาร์เตอร์รู้สึกแปลกใจกับข้อเสนอของเขา พระสังฆราชจอห์น ก็เริ่มอธิบายเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังข้อเสนอนี้
“คาร์เตอร์ ระหว่างตระกูลของพวกเรานั้นมีสัญญาอยู่อย่างหนึ่ง”
จอห์นยืดหลังขึ้นตรงทำให้สีหน้าเรียบเฉยของเขาดูศักดิ์สิทธิ์กว่าที่เคย เขาพูดด้วยน้ำเสียงอันทุ้มลึกเพิ่มความตึงเครียดให้กับบรรยากาศ
“ในช่วงเริ่มต้นของยุคที่สาม เมื่อตระกูลแอสคาร์ดได้ย้ายเข้ามาลี้ภัยที่จักรวรรดิเซนต์เมซิท บรรพบุรุษของเราได้ลงนามในสัญญาซึ่งกันและกัน ว่าตราบใดที่ลูกหลานของตระกูลแอสคาร์ด สามารถปลุกพลังทางสายเลือดของเขาได้สำเร็จ ผู้ที่ได้รับสายเลือดแห่งทูตสวรรค์จะปกป้องเขาจนสามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากโรเอลนั้นสามารถปลุกพลังสายเลือดดั้งเดิมของตระกูลแอสคาร์ดได้ ข้าจึงเชื่อว่ามันถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องทำตามสัญญา”
“พวกเรา ตระกูลเซไซต์ ยึดมั่นในสัญญาเสมอ!”
พระสังฆราชจอห์น มองไปที่คาร์เตอร์ด้วยแววตาอันน่าสะพรึงกลัว ราวกับว่ากำลังพูดว่า ‘ใครก็ตามที่ขัดขวางพวกเราไม่ให้ปกป้องโรเอล จะถือเป็นการดูถูกบรรพบุรุษของพวกเรา!’ ทำให้คาร์เตอร์รู้สึกทึ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีสัญญาเช่นนั้นอยู่จริง ๆ
หนึ่งพันปีเป็นช่วงเวลาอันยาวนาน ระหว่างนั้นนอกจากโรเอล มีสมาชิกตระกูลแอสคาร์ดเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถปลุกพลังสายเลือดดั้งเดิมของตระกูลแอสคาร์ดขึ้นมาได้ จึงไม่แปลกที่ผู้นำตระกูลคนก่อน ๆ จะลืมเกี่ยวกับการมีอยู่ของสัญญานี้ไปแล้ว!
ต่อให้เขาจำสัญญาได้ก็เถอะ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?
เขาควรจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่เกี่ยวกับสัญญาไปเรียกร้องให้ตระกูลเซไซต์ ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มรึไง?
หากพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว สัญญานี้จะมีผลก็ต่อเมื่อตระกูลเซไซต์ เต็มใจที่จะรับรู้ถึงมัน ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากเศษกระดาษ
ทว่าบัดนี้ตระกูลเซไซต์ ได้เป็นฝ่ายเข้ามาหาพวกเขาด้วยความเต็มใจ เสนอให้ทำตามสัญญาเมื่อพันปีก่อนให้สำเร็จ คาร์เตอร์รู้สึกประทับใจกับข้อเสนอนี้มาก แต่สำหรับนอร่าแล้ว การที่เธอจะต้องกลายเป็นผู้พิทักษ์ของโรเอล… มันดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่
“ฝ่าบาท ท่านน่าจะทราบดีนะขอรับ ว่าหมู่นี้มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับโรเอลและฝ่าบาทนอร่า หากท่านแต่งตั้งให้องค์หญิงนอร่าเป็นผู้พิทักษ์ของโรเอลในเวลาเช่นนี้ มันจะไม่ยิ่งทำให้ข่าวลือแพร่สะพัดออกไปมากกว่านี้อีกหรือ?”
คาร์เตอร์กล่าวความกังวลของตัวเองออกมา
มันเป็นหน้าที่ของราชวงศ์ที่จะต้องปกป้องผู้ติดตามของพวกเขา จึงมีบางครั้งที่ทางราชวงศ์จะประกาศการคุ้มครองบุคคล อาจเป็นทายาทผู้อ่อนแอของตระกูลขุนนางที่พ่อแม่ถูกลอบสังหารจนถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการสนับสนุน หรืออาจจะเป็นบุตรของตระกูลทหารที่ญาติเสียชีวิตในสงคราม
อย่างไรก็ตาม ‘การปกป้อง’ ดังกล่าวนั้นไม่ได้มีการส่งทหารลงไปให้กับบุคคลเหล่านี้ มันเป็นเพียงแค่การปกป้องในนามเท่านั้น ราชวงศ์จะจัดพิธีอันยิ่งใหญ่ เพื่อประกาศการคุ้มครองบุคคลดังกล่าว ให้เป็นสักขีพยานต่อหน้าเหล่าขุนนาง เปรียบได้กับการเตือนให้ทุกคนรู้ว่าใครก็ตามที่กล้ายุ่งกับเด็กคนนั้น จะถือว่าเป็นศัตรูของตระกูลเซไซต์
แม้ว่าการปกป้องกันนี้จะเป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น แต่มันก็มีประสิทธิภาพ เพราะว่าตระกูลเซไซต์ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองสายเลือดแห่งทูตสวรรค์ ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและเกียรติยศของตนเอง และจะตอบโต้อย่างรุนแรงต่อผู้ที่กล้ามาท้าทายพวกเขาอย่างเด็ดขาด
ยกตัวอย่างผู้สืบทอดผู้อ่อนแอรายนึง เขาได้ถูกตระกูลขุนนางที่เป็นศัตรู พยายามจะวางยาพิษผู้สืบทอดของเขา แม้ว่าตระกูลเซไซต์จะได้ประกาศออกมาปกป้องไปแล้วก็ตาม
โชคดีที่ผู้สืบทอดตำแหน่งคนนั้นรอดชีวิตจากการพยายามลอบสังหารมาได้ แต่ถึงกระนั้นตระกูลเซไซต์ ก็ยังรู้สึกอับอายอย่างมากกับเรื่องนี้ พวกเขาจึงสั่งให้ภาคีอัครสาวก เข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ และจับกุมขุนนางทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการวางยาพิษในครั้งนั้น
ดังนั้นคาร์เตอร์จึงอยากที่จะสนับสนุนการตัดสินใจของจอห์นอย่างเต็มที่ ในการให้นอร่าเป็นผู้พิทักษ์ของโรเอล แต่เนื่องจากข่าวลือที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ การประกาศปกป้องโรเอลโดยให้นอร่าเป็นผู้พิทักษ์มีแต่จะทำให้ข่าวลือดังกล่าวเกี่ยวกับตระกูลของพวกเขามีมากขึ้นไปอีก
ด้วยที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์เป็นเดิมพัน คาร์เตอร์จึงอยากที่จะหลีกเลี่ยวการทำให้ข่าวลือดังกล่าวแย่ลงไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าพระสังฆราชจอห์น จะไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่
“ยิ่งในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยข่าวลือเช่นนี้ พวกเราจะต้องยืนหยัดและมั่นใจให้มากขึ้น ถ้าเรายอมเป็นฝ่ายที่จะถอยล่ะก็ มันก็จะไม่ต่างอะไรไปจากการประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเรามีเรื่องที่ต้องปิดบัง”
พระสังฆราชจอห์นพูดด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่จน คาร์เตอร์ถูกทำให้เห็นด้วยกับความคิดของจอห์นโดยไม่รู้ตัว
หืม? มันก็ฟังดูมีเหตุผลดีนะ แต่ทำไมเรายังรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…
คาร์เตอร์รู้สึกหนักใจเล็กน้อยกับสถานการณ์นี้ จังหวะนั้นเอง จอห์นผู้มีจิตใจแน่วแน่ก็รู้ดีว่าเขาต้องตีเหล็กในขณะที่มันยังร้อนอยู่ ดังนั้นเขาจึงกล่าวผลักดันอีกฝ่ายต่อไป
“ตระกูลเซไซต์ยึดมั่นในคำสัญญาของพวกเราเสมอ หากเราไม่สามารถเอาชนะปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้ พวกเราจะเรียกตนเองว่าลูกหลานของทูตสวรรค์ได้อย่างไร เอาล่ะข้าตัดสินใจแล้ว พวกเราจะจัดพิธีครึ่งเดือนหลังจากนี้!”