บทที่ 99: ถึงเวลาโต้กลับ
ในพระราชวัง หลังจากที่ส่งมาร์ควิสคาร์เตอร์ กลับไปแล้ว พระสังฆราชจอห์นก็เอนหลังลงพิงเก้าอี้พลางหายใจออกยาว ๆ
นานแค่ไหนแล้ว ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาต้องพยายามผลักดันความคิดของตัวเองให้บุคคลอื่นในเชิงรุกเช่นนี้?
ผ่านมาเป็นเวลานานหลายปีแล้วที่จอห์นไม่จำเป็นจะต้องกล่าวริเริ่มการอภิปราย แขกของเขามักจะเป็นฝ่ายพูดด้วยความเคารพอย่างต่อเนื่อง และทั้งหมดที่เขาต้องทำก็มีเพียงการพยักหน้าหรือส่ายหัว
จอห์นไม่เคยคิดเลยว่าจะสักวันหนึ่งเขาจะต้องมาพยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย ราวกับพนักงานขายที่พยายามทำยอดอีกครั้ง
แต่มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเด็ก ๆ พวกนั้น
แค่นึกถึงหลานสาวอันล้ำค่าของเขา ก็ทำให้จอห์นต้องถอนหายใจออกมา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อนอร่า ผู้หมดอาลัยตายอยากตั้งแต่ที่เธอกลับมายังพระราชวัง เขาจึงต้องลดความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของตัวเองลงเพื่อแผนนี้
แท้จริงแล้ว เช่นเดียวกับอลิเซีย หมู่นี้นอร่าเองก็ไม่ได้มีอารมณ์อยากอาหารมากเท่าไหร่ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ถือครองสายเลือดทูตสวรรค์ที่จะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อพักฟื้นพลังของตัวเองให้สงบลงหลังจากการตื่นขึ้นของสายเลือด โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน
ทว่า 10 วันที่ไม่มีโรเอลสำหรับนอร่านั้นมันนานเกินไป
นอร่าหมดสติไปไม่นานหลังจากที่ถูกวิกตอเรียแกล้งให้จูบโรเอล ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าตอนนี้โรเอลกำลังทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าเธอได้รับข่าวมาจากทางตระกูลแอสคาร์ดว่าโรเอลนั้นปลอดภัยดี ถึงกระนั้นหัวใจของเด็กสาวก็ไม่อาจสงบนิ่งได้เว้นแต่เธอจะได้เห็นกับตาของตนเองว่าเขาปลอดภัย
เมื่อลูกสาวเริ่มเบื่ออาหาร คนที่ต้องทนทุกข์ก็คือครอบครัว
สาเหตุที่จอห์นสามารถฝืนกลั้นใจส่งนอร่าไปเข้าร่วมการทดสอบพร้อมกับโรเอลได้นั้น ก็เพราะเขาคิดว่ามันเป็นการทดสอบที่คนของตระกูลเซไซต์จะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ แต่ถ้าหากพูดถึงในชีวิตประจำวัน จอห์นก็ไม่ต่างอะไรไปจากคุณปู่ทั่ว ๆ ไป
นอกจากนอร่าแล้ว จริง ๆ จอห์นก็ค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับอาการของโรเอลด้วยเช่นกัน
จากคำบอกเล่าของนอร่า จอห์นจึงได้ทราบถึงการกระทำของโรเอลในช่วงสั้น ๆ ของประวัติศาสตร์ในอดีตนั้น เขาไม่แปลกใจเลยที่โรเอลจะมีความผูกพันกับตัวตนโบราณอันทรงอำนาจ อย่างไรก็ตามเขากังวลเกี่ยวกับพลังมหาศาลที่ตัวตนโบราณดังกล่าวใช้โรเอลเป็นสื่อกลาง
ตามที่นอร่าเล่ามา องค์ชายเวตได้ก้าวข้ามสู่ระดับแก่นแท้ 2 แม้ว่าจะเป็นในช่วงวิกฤตและอยู่ในสภาพที่กำลังบาดเจ็บสาหัส แต่มันก็ยังยากที่เขาจะพ่ายแพ้ให้กับโรเอล เพราะเด็กชายนั้นยังไม่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่ควรจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวตนโบราณนั้นได้
ตามบันทึกในประวัติศาสตร์แล้ว ผู้นำตระกูลแอสคาร์ดที่สามารถปลุกพลังสายเลือดดั้งเดิมของตนขึ้นมาได้ มักจะกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในที่สุด อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของตระกูลเซไซต์ ในรุ่นของพวกเขาอีกด้วย
ในแง่หนึ่ง ข้อเสนอของตระกูลเซไซต์ที่จะปกป้องโรเอล จึงเปรียบเสมือนการลงทุนที่รับประกันได้ว่าพวกเขาจะได้รับผลตอบแทนอันดีงามกลับมา นอกจากนี้ยังมีโอกาสดีที่พวกเขาจะได้ ‘สิ่งที่ตนลงทุนไป’ กลับมาเป็นของพวกเขาด้วยเช่นกัน
จอห์นจึงตัดสินใจที่จะพยายามอย่างเต็มที่กับเรื่องนี้
พระสังฆราชไม่ได้ตั้งใจจะบังคับให้เด็กทั้งสองต้องอยู่ด้วยกัน แต่เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร หากการกระทำนี้จะช่วยผลักดันหลานสาวของเขาด้วยเช่นกัน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นอร่าแสดงความสนใจในตัวใครสักคนจริง ๆ จัง ๆ
ความจริงแล้วในประวัติศาสตร์ของตระกูลเซไซต์มีผู้คนมากมายที่มีนิสัยแปลก ๆ อยู่ ซึ่งแม้ว่าจอห์นจะยังไม่ทันสังเกตเห็นด้านซาดิสม์ของนอร่า แต่เขาก็มีความรู้สึกบางอย่างที่กำลังบอกว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับเธอแน่นอน อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงธรรมชาติของโรเอลแล้ว เขาคิดว่าเด็กชายน่าจะสามารถยอมรับข้อบกพร่องของเธอได้
“ข้าทำเท่าที่ทำได้แล้ว ที่เหลือก็แค่รอดูว่าพวกเขาจะไปด้วยกันได้ไกลแค่ไหน”
ชายชราถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของพระราชวัง
…
ในวันนี้ โรเอลได้เรียนรู้สิ่งใหม่ นั่นก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนมีขีดจำกัด
“อลิเซียกินข้าวในห้องของเธออีกแล้วงั้นเหรอ? เฮ้อออ…”
โรเอลจ้องเขม็งไปยังจานอาหารเที่ยงอันอลังการเบื้องหน้าเขา ก่อนจะเอาช้อนจิ้มลงไปในซุป มนุษย์สามารถอยู่รอดได้หนึ่งสัปดาห์โดยไม่มีอาหาร แต่วันที่ขาดอลิเซียนั้นไม่ต่างอะไรไปจากปีที่ไม่มีฝน
ช่วงเวลารับประทานอาหาร ควรจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในแต่ละวันของโรเอล เพื่อตอบสนองความอยากอาหาร และรักษาเยียวยาหัวใจของเขาให้หายเหนื่อย ทว่า…
“จืดชืดชะมัด ทุกอย่างจืดชืดไปหมดเลย…”
โรเอลกินอาหารที่ถูกปรุงมาอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัวด้วยใบหน้าซีดเซียว ราวกับกำลังเคี้ยวเทียนขี้ผึ้งอยู่ แม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงผลจากอารมณ์อันเหนื่อยหน่ายของเขา แต่จะให้เขาทำอย่างไรล่ะ? หากมนุษย์สามารถควบคุมความรู้สึกของตนเองได้ พวกเขาจะยังถือว่าเป็นมนุษย์ได้อีกเหรอ
“เป็นเพราะพวกเราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดงั้นเหรอ? นั่นคือเหตุผลที่อลิเซียเริ่มเบื่อหน่ายกับฉัน ในเวลาเพียงครึ่งปีสินะ”
ทั้งที่โรเอลคิดว่าตนเองนั้นเริ่มใกล้ชิดกับอลิเซียมากขึ้นแล้วแท้ ๆ เด็กชายอุตส่าห์คิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะคงอยู่ตราบนานเท่านาน จนกว่าจะถูกแยกออกจากกันด้วยความตาย แต่แล้วทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้ไปได้กัน…
โรเอลคนซุปตรงหน้าต่อไปด้วยความงุนงง เขาอยู่ในสภาพอันน่าเศร้าจนแม้แต่สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ยังทนไม่ไหว แม้ว่าแอนนาจะเป็นหัวหน้ากลุ่มแฟนคลับคู่รัก โรเอล X อลิเซีย แต่เธอก็ยังเป็นสาวใช้ส่วนตัวของโรเอล และหน้าที่ของเธอก็คือการดูแลความต้องการของเขา
“นายน้อย ท่านต้องตั้งสติเอาไว้นะคะ”
แอนนาเดินเข้าไปหาโรเอลผู้กำลังโศกเศร้า พร้อมแนะนำเขาด้วยความเคารพ
“นี่มันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ดิฉันคิดว่านายหญิงอลิเซียน่าจะใจเย็นลงบ้างแล้ว นายน้อยไม่ควรจะมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไปนักนะคะ”
“มองโลกในแง่ร้าย? ฉันนะเหรอมองโลกในแง่ร้าย?”
เฮ้อ แล้วคิดว่ายังไงล่ะ?
แอนนาจ้องไปที่โรเอลผู้ตกต่ำ จนทำให้เขาตระหนักในตนเองได้
“เป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ? ฉันมองโลกในแง่ร้ายเกินไปงั้นเหรอ? แต่ที่ฉันพูดมันก็เป็นความจริงนี่! อลิเซียไม่ต้องการให้ฉันป้อนข้าว ฉันกลายเป็นคนไร้ประโยชน์สำหรับเธอไปแล้ว เธอน่าจะเกลียดฉันมาก และไม่อยากเห็นหน้าฉันอีก เฮ้อ นี่คือจุดจบของโลกใช่ไหม?”
“นายน้อย น่าจะกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปนะคะ นายหญิงอลิเซียจะเกลียดท่านลงได้ยังไงกัน?”
“เธอไม่ได้เกลียดฉันงั้นเหรอ? ถ้าเธอไม่รังเกียจฉัน แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมมาพบฉันซะทีล่ะ นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย! พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว เด็กสาววัยเดียวกันกับเธอก็มักจะเปลี่ยนสิ่งที่ชอบกันอย่างรวดเร็ว ฉันเข้าใจแล้ว ฉันประเมินตัวเองสูงเกินไป ฉันคิดว่าตัวเองได้ทิ้งความประทับใจที่ดีไว้กับเธอแล้ว แต่ความชอบที่เธอมีต่อฉันมันได้หมดลงไปแล้ว ใช่ไหมล่ะ? ฉันเป็นเพียงแค่เศษฝุ่นในประวัติศาสตร์ของเธอแล้วในตอนนี้…”
โรเอลกลายเป็นดั่งสายใยแห่งการปฏิเสธอันไม่มีที่สิ้นสุด เด็กชายมองหาข้อแก้ตัวใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อปิดกั้นตัวเอง เมื่อเห็นว่านายน้อยของเธอใกล้จะเสียสติแล้ว แอนนาจึงรู้สึกว่าตัวเองต้องรีบทำอะไรสักอย่างจริง ๆ ก่อนที่เรื่องจะวุ่นวายไปมากกว่านี้
“นายน้อยความรู้สึกที่นายหญิงอลิเซียมีต่อท่าน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่… โมโหมากหลังจากที่ได้เห็นการปรากฏตัวอันไม่เหมาะสมของนายน้อยกับองค์หญิง”
“ฉันเข้าใจดี อลิเซียเป็นคนที่ระแวงความปลอดภัยของสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะกลัวว่าความสัมพันธ์ของฉันกับนอร่าจะดีขึ้น…”
โรเอลตอบพร้อมกับถอนหายใจ
เขาเข้าใจดีว่าเด็ก ๆ มักจะอ่อนไหวต่อความหึงหวงและความกลัว เมื่อตอนที่เขายังเด็ก โรเอลเองก็เคยรู้สึกว่าตนเองถูกหักหลัง เมื่อเพื่อนที่เคยเล่นด้วยกันกับเขามาตลอดเลือกที่จะเล่นกับเด็กคนอื่น หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดกับเพื่อนคนนั้นอีกนับตั้งแต่นั้นมา แต่นั่นมันแตกต่างกับกรณีของเขากับอลิเซียมาก พวกเขาทั้งคู่เป็นสมาชิกในครอบครัว ดังนั้นเขาจะทิ้งเธอไปหานอร่าได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับโรเอลที่จะถ่ายทอดสิ่งนี้ให้กับอลิเซียได้อย่างเหมาะสม เพราะตอนนี้อลิเซียไม่อยากเห็นหน้าเขา
ขณะที่โรเอลคิดว่าเขารู้ต้นตอของปัญหาแล้ว แอนนาก็เริ่มตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เกี่ยวกับความคิดของนายน้อย
ความปลอดภัย? กลัว?
“นายน้อยเกี่ยวกับเรื่องนั้น… ดิฉันไม่คิดว่านายหญิงอลิเซียจะกลัวอะไรนะคะ เธอเพียงแค่ต้องการระบายความโกรธเคืองจากอาการหึงหวง”
หึง? หึงหวงอะไร?
โรเอลขมวดคิ้วอย่างสับสน การแสดงออกบนใบหน้าของเขาทำให้ดวงตาของแอนนาเบิกกว้าง เธอพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ๆ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกโกรธเคืองอย่างบอกไม่ถูก และเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่โรเอลจะค่อย ๆ เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของแอนนา พร้อมระเบิดหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆๆๆ! แอนนา เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ อลิเซียยังเด็กอยู่เลยนะ!”
“เด็ก? นายน้อยกับนายหญิงอลิเซีย มีความแตกต่างเรื่องอายุเพียง 2 ปีเท่านั้นเองนะคะ ช่องว่างระหว่างพวกท่านทั้งสองไม่ได้ใหญ่เท่าไหร่เลย”
“เธอพูดถูก แต่พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ! เธอคิดเรื่องนี้มากเกินไปแล้ว”
โรเอลโบกมือด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
“ไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้จักอลิเซียดีไปกว่าฉันหรอกน่า”
การตอบสนองของเด็กชาย ทำให้แอนนารู้สึกหงุดหงิดสุด ๆ จนเธอต้องเรียกหาความสงบภายในจิตใจเพื่อไม่ให้อารมณ์เสีย
ต้องไม่โกรธ ต้องไม่โกรธ ต้องไม่โกรธ…
แอนนาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อบรรเทาความโกรธที่ใกล้จะระเบิดออกมา หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะมองไปทางโรเอล แล้วครุ่นคิดว่าตนควรจะถ่ายทอดความรู้สึกของอลิเซียให้โรเอลรู้หรือไม่
แต่ในท้ายที่สุด สาวใช้ก็เลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขามากจนเกินไป
การสนับสนุนความสัมพันธ์พวกเขาทั้งสอง ต่างจากการมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์
นอกจากนี้ แม้ว่าโรเอลจะเข้าใจผิด แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาตกอยู่ในกำมือของอลิเซียอย่างแน่นหนาแล้ว จนถึงจุดที่เด็กชายเกือบจะเสพติดเธอ เมื่อมองจากมุมนี้แล้วอาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นยังค่อนข้างมั่นคง พวกเขาพึ่งพาอาศัยกันจนแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้
ไม่ว่าในกรณีใดรากฐานนั้นก็ยังมั่นคง หากพวกเขาก้าวเดินไปบนเส้นทางนี้ทีละก้าว ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกันย่อมแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ
ด้วยความคิดดังกล่าว แอนนาจึงสามารถสงบอารมณ์ของเธอลงได้ ราวกับตรัสรู้ ความปั่นป่วนเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ที่ทั้งสองเหินห่างจากกันเช่นนี้ เจ้าของทั้งสามของคฤหาสน์เขาวงกต คนหนึ่งแทบจะไม่อยู่ที่นี่เลย ส่วนอีกสองคนก็มีสีหน้ามืดมนตลอดทั้งวัน ทำให้บรรยากาศภายในคฤหาสน์หนักอึ้งเกินกว่าจะรับได้
แม้แต่พ่อครัวในครัวก็ยังสังเกตเห็นได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาใช้เวลานานหลายชั่วโมงจ้องมองไปที่จานอาหารที่ถูกกินไปเพียงน้อยนิดด้วยความตกใจ พลางสงสัยว่าทักษะการทำอาหารของพวกเขาแย่ลงไปรึเปล่า?
“นายน้อย ท่านต้องการที่จะคืนดีกับนายหญิงอลิเซียรึเปล่า?”
“แน่นอนสิ! ถ้ามันเป็นไปได้ ฉันก็คงทำไปแล้ว! ปัญหาก็คือเธอเอาแต่คอยหลบเลี่ยงฉัน แล้วแบบนี้ฉันจะหาโอกาสเข้าหาเธอได้อย่างไรกันล่ะ…”
โรเอลตอบพร้อมกับถอนหายใจ
ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของแอนนา
“ปล่อยให้มันเป็นของพวกเราไหมคะ”
“พวกเธองั้นเหรอ?”
“แน่นอน พวกเราจะสร้างโอกาสให้นายน้อยได้คืนดีกับนายหญิงอลิเซียเอง นายน้อยคิดว่ายังไงคะ?”
โรเอลมองไปยังสาวใช้ผู้ยิ้มแย้มตรงหน้าเขาด้วยความสงสัย เขาใช้เวลาสองสามวันที่ผ่านมาพยายามทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แล้วแอนนากับสาวใช้คนอื่น ๆ จะทำอะไรได้?
“ถ้าพวกเธอมั่นใจ ก็เอาเลยสิ ทำตามที่พวกเธอต้องการได้เลย”
โรเอลตอบอย่างกระสับกระส่าย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งความหวังกับพวกเธอมากเท่าไหร่นัก เด็กชายไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้ปลดปล่อยองค์กรลับอันทรงพลังที่แอบแฝงอยู่ในตระกูลแอสคาร์ดเสียแล้ว นั่นก็คือกลุ่มแฟนคลับคู่รัก โรเอล X อลิเซีย