ทั้งสามคนไม่ได้ใส่ใจกับหมี่โซ่วนัก
ปลอบเด็กน้อยให้กลับไปหาซื่อจ้วง “ไป ให้ซื่อจ้วงอุ้มเจ้าไปเข้าแถว อีกสักพักลุงกับป้าก็กลับมาแล้ว”
ซ่งฝูเซิงยังโบกมือให้กับซื่อจ้วง โบกเสร็จก็ให้ภรรยากับลูกสาวตามมา อยากหามุมปรึกษาพูดคุยกัน
ซื่อจ้วงเดินเข้ามา โน้มตัวจะอุ้มหมี่โซ่ว
หมี่โซ่วใช้มือเล็กๆ ผลักเขา ไม่ยอมให้อุ้ม ขมวดคิ้วมองไปทางสามคนนั้นที่ทิ้งเขาไว้
“ซื่อจ้วง มิน่าท่านปู่ถึงพูดว่า ท่านลุงยากจน”
“ซื่อจ้วง ท่านลุงดีกับข้ามากใช่หรือไม่? เล่าแล้วเจ้าก็ไม่รู้เรื่อง ข้าแอบดื่มน้ำหวานตั้งเยอะ ท่านลุงเป็นคนป้อน”
“ซื่อจ้วง ท่านปู่พูดว่าคนเราเปลี่ยนแปลงกันได้? แต่ว่าท่านลุงเปลี่ยนมาดีกับข้ามากขึ้น ท่านปู่ไม่ได้พูดไว้ว่าหากเปลี่ยนมาดีมากขึ้นจะต้องทำอย่างไร”
ลำบากใจจัง เฮ้อ เฉียนหมี่โซ่วในวัยห้าขวบกำลังรู้สึกสับสน
หากพูดอย่างตรงไปตรงมา คำพูดของท่านเฉียนที่ฝากไว้ก่อนพาเขาออกจากสถานการณ์อันเลวร้าย คือให้หมี่โซ่วเชื่อฟังเฉียนเพ่ยอิงเท่านั้น บอกว่าซ่งฝูเซิงเชื่อถือไม่ได้ ตามพฤติกรรมเมื่อก่อนของเขา
แม้ว่าหมี่โซ่วยังเด็ก ฟังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่เด็กน้อยก็มีสัญชาตญาณรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงของท่านปู่ยามพูดถึงท่านลุงจะมีน้ำสียงไม่ชอบและไม่เชื่อถือ
โดยเฉพาะหลังจากที่เขาประสบเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ใครดีใครเลว เฉียนหมี่โซ่วสามารถใช้ดวงตากลมโตขาวใสคู่นี้มองดูก็เข้าใจ
เช่นเดียวกับเมื่อก่อน ท่านย่าหม่าไม่ค่อยดีกับเขาในระยะแรก เขาก็จะเลี่ยงไปอยู่อีกที่หนึ่ง ไม่กล้าเสนอหน้าไปอยู่กับท่านย่าหม่า
เฉกเช่นเดียวกับท่านแม่ทัพลู่พั่น มีอำนาจยำเกรงไม่อาจขัดขืนได้ เขาเป็นคนแปลกหน้า แต่เฉียนหมี่โซ่วมีสัญชาตญาณ ถ้าเขามีความซื่อสัตย์และจริงใจพอ เขาขอไข่ไก่อีกฟองกับลู่พั่น ลู่พั่นก็สามารถให้เขาได้
ตอนนี้เขาใช้สัญชาตญาณความรู้สึก มากกว่าทำตามคำพูดที่ท่านเฉียนสั่งเสียไว้ก่อนตาย เขารู้สึกว่าท่านลุงเป็นคนดี บางทีท่านปู่ของเขาอาจจะคิดผิด ระหว่างทางผ่านสถานที่น่ากลัว เขาเพียงแค่ซบลงบนไหล่ของซ่งฝูเซิงก็รู้สึกอุ่นใจ
“นี่ๆ เจ้าอุ้มข้าหน่อย”
ซื่อจ้วงก้มตัวลงอุ้มหมี่โซ่วขึ้นมา
เฉียนหมี่โซ่วชี้ไกลออกไป เขาพูดขึ้น “ไปหาพวกเขา”
ตรงหัวมุม ทั้งสามคนกำลังปรึกษากันอย่างเร่งด่วน
ซ่งฝูหลิงกระซิบกระซาบ “พวกเราส่งของขวัญไป อย่าให้เป็นที่สะดุดตา พวกบุหรี่ เหล้าท่านสองคนอย่าได้คิดเลย นำออกมาง่ายยิ่งทำให้คนสงสัย อาจส่งพวกเราไปเป็นกรรมกรได้ ท่านแม่ ข้าจำได้ว่าท่านมีกำไลทอง?”
เฉียนเพ่ยอิงตบหน้าผากเสร็จก็รีบพยักหน้า “มีๆ เมื่อสิบปีก่อนพ่อของเจ้าซื้อไว้ให้ ถ้าเจ้าไม่พูดข้าก็ลืมไปแล้ว ตอนนั้นนิยมกำไลทองกัน นี่? เหล่าซ่ง กำไลนั้นหนักกี่กรัมนะ? ท่านเข้าไปเอามา พวกเราสองคนจะคอยปกปิดให้เอง ตอนท่านเอากำไลทองออกมา ดูเหมือนในกล่องนั้นยังมีแหวนทอง ต่างหูทอง น่าจะวางอยู่ด้วยกัน ท่านก็เอาออกมาทั้งหมด”
ซ่งฝูหลิง “ท่านพ่อ ในตู้หัวนอนด้านล่างมีกล่องสีแดงกำมะหยี่ ภายในมีด้ายสีแดงร้อยลูกปัดทองที่เป็นที่นิยมในช่วงเทศกาลวันตรุษจีนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ท่านตัดด้ายแดงออกแล้วนำลูกปัดทองออกมา นี่? นำทองคำสองอย่างมารวมกันแล้วค่อย…”
“ท่านลุง!”
ทั้งสามคนถึงกับสะดุ้งตกใจ
พวกเขาเห็นหมี่โซ่ววิ่งมาหาแล้วดึงแขนซ่งฝูเซิงไป “ท่านมานี่ พวกท่านตามข้ามา ท่านป้า? พี่สาว!”
ในยังมุมลับตาคน ซื่อจ้วงเป็นคนดูต้นทาง
เฉียนหมี่โซ่วจะให้ซ่งฝูเซิงนั่งลง ต้องการให้มองสบตากันได้ “ท่านต้องใช้เงินมากไหม? หากไม่ให้ อาจจะไม่ดี?”
ซ่งฝูเซิงบอก “ไม่เป็นไร อย่ากังวล ลุงจะคิดหาวิธีการเอง ถึงคิดออกแล้วจะไม่ใช่เรื่องดี ลุงก็จะต้องไปเป็นนายทหารกองหนุนให้ได้ ลุงจะต้องให้หมี่โซ่วของพวกเราได้เรียนหนังสือ ในอนาคตรอเจ้าสอบเข้ารับราชการ พวกเรา…”
เฉียนหมี่โซ่วโบกมือน้อยๆ “ท่านอย่าเพิ่งพูดถึงอนาคตเลย” เขาพูดจบ ก็ปลดสัมภาระใบเล็กๆ ที่แบกไว้ด้านหลังตลอดเวลาออกมา
ห้านาทีผ่านไป สามคนที่มาจากยุคสมัยใหม่ก็ถึงกับตกตะลึง
ซ่งฝูหลิง โอ้ สวรรค์ ที่ข้านอนหนุนอยู่ทุกวัน ที่แท้เป็นทองแท่งคำ ในก้อนข้าวเหนียวหนึ่งก้อนข้างในมีทองคำหนึ่งแท่ง ทองคำขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ
เฉียนเพ่ยอิง ท่านพ่อยุคโบราณของข้า ท่านไม่ควรจากไปเร็วเช่นนี้ ท่านดีต่อข้ามาก พวกเรายังไม่ได้ไว้ทุกข์ให้กับท่านเลยแม้แต่วันเดียว
ซ่งฝูเซิงไม่ได้รังเกียจก้อนข้าวเหนียวที่เหม็นเปรี้ยว เขาใช้ฟันกัดก้อนทองก่อน หลังจากนั้นใช้สองมือคาดคะเนน้ำหนักด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
อุตส่าห์ช่วยแบกมาตั้งนานกลับไม่เคยค้นพบว่าข้างในมีความลับซุกซ่อนอยู่ พวกเขาทั้งสามคนสมองเป็นท่อนไม้รึไง? มิน่าเล่า หมี่โซ่วถึงไม่ยอมให้คนอื่นช่วยถือสัมภาระ
ซ่งฝูเซิงมองซ้ายทีขวาที มองหน้ามองหลัง เขากลัวว่าจะมีคนมาพบเห็น รีบนำทองคำทั้งสองก้อนนั้นส่งให้กับลูกสาว
ซ่งฝูหลิงตอบสนองอย่างฉับไว นางทำทีเป็นใส่กระเป๋า แต่จริงๆ นางโยนมันเข้าไปไว้ในพื้นที่พิเศษแล้ว
หลังจากนั้นซ่งฝูเซิงก็หยิบถุงกระดาษน้ำมันที่ตกลงมาจากก้อนข้าวเหนียวสองก้อนนั้นขึ้นมา
กระดาษน้ำมันห่อทับกันไว้หลายชั้น เหมือนกำลังเปิดหัวใจของซ่งฝูเซิงออกมา ใจเต้นระรัว
เมื่อเปิดออกมาจึงพบคำตอบสุดท้ายนั่น ซ่งฝูเซิงตกตะลึง ท่านพ่อตาของเขา ตอนวัยหนุ่มตกลงทำอะไรไปบ้าง เป็นที่รู้กันดีว่าพ่อตายังทำการค้าอีกหลายอย่างที่ไม่ได้เคลื่อนย้ายสถานที่
เห็นบนกระดาษเขียนตัวอักษรด้านบนว่า ‘ธนบัตรจยาโย่ว’
ตัวอักษรเล็กที่อยู่ด้านข้าง เขียนเป็นอักษรตัวเลขที่เท่าไร
ตรงบรรทัดกลางที่เขียนในแนวตั้ง ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึง
ธนบัตรสองใบนี้สามารถแลกเงินในหลายมณฑลนี้ได้
ซ่งฝูเซิงถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ทรุดนั่งลงกับพื้น
“ว่าไงท่านลุง ไม่พอหรือ?”