ตอนที่ 124
ป้ายดำ ป้ายขาว และป้ายแดงล้วนวางอยู่ในตะกร้า โดยจะแตกต่างกันตามจำนวนป้ายที่จะมากหรือน้อยเท่านั้น
ในป้ายสีแดงยังแบ่งเป็นสีแดงเข้ม สีแดงอ่อน สีแดงสด
ในตระกร้ามีป้ายสีแดงเข้มทั้งหมด หวังเจ๋อฟาได้รับป้ายสีชนิดนี้
สีแดงอ่อน ซ่งฝูเซิงไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่เมื่อนำหีบออกมา ซ่งฝูเซิงจึงเห็นป้ายสีแดงสดจำนวนมาก
เมื่อสักครู่ที่ใต้เท้าแซ่สวีท่านนั้นได้บ่นพึมพำว่า คนในครอบครัวของซ่งฝูเซิงมีจำนวนมาก เขาจิบน้ำชาก่อนเอ่ยขึ้น “เข้าไปตั้งถิ่นฐานตามป้าย”
เมื่อเตือนเสร็จ เขาก็เงยหน้าสบตากับซ่งฝูเซิง
ซ่งฝูเซิงนิ่งไปไม่กี่วินาที เขาก็รีบนับป้ายสีแดงสิบสี่ป้ายเพื่อนำออกมาจากในหีบ นับเสร็จก็ยื่นส่งให้ท่านย่าหม่า เขาหันมาสบตากับใต้เท้าท่านนี้ ฉายแววตาซาบซึ้งใจอย่างมาก
เขายกสองมือขึ้นทำการคารวะอย่างสูง
ทั้งสองคนรู้อยู่แก่ใจโดยไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ซ่งฝูเซิงเข้าใจ เข้าใจว่าท่านก็เข้าใจเหมือนกัน คำพูดของท่านนั้นมีความหมายอย่างชัดเจน อย่าก่อเรื่องให้มากนัก เก้าชั่วอายุคนอะไรกัน นั่นเป็นเรื่องพูดกันมั่วๆ
ดังนั้นเขาถึงต้องขอบคุณเป็นพิเศษ
ใต้เท้าท่านนี้ หากต้องการสร้างความลำบากใจให้แก่เขา คำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวก็สามารถสร้างความหนักใจให้กับพวกเขาได้แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ในเมื่อเจ้าบอกว่าเก้าชั่วอายุคน พวกเจ้าก็ใช้ป้ายเดียวในการตั้งถิ่นฐาน อาหารหม้อหนึ่งกินร่วมกัน เพราะเป็นครอบครัวเดียวกันยังไงเล่า
แต่ท่านไม่ทำ และยังเตือนให้เขาตั้งถิ่นฐานตามป้าย พร้อมกันนี้ยังนำหีบออกมาให้เขาหยิบป้ายเอง มีกันกี่ครอบครัวก็หยิบไปตามจำนวน
อาจกล่าวได้ว่าเมื่อพบผู้มีพระคุณครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะได้พบเจอผู้มีพระคุณอย่างต่อเนื่อง
ปล่อยไป
รถเข็นแต่ละคันเข็นผ่านประตูเมืองเข้าไป ทุกคนตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่น ใบหน้าของแต่ละคนเหมือนตกอยู่ในภวังค์
ผู้ช่วยที่อยู่ข้ายกายใต้เท้านั่น มองคนจำนวนสองร้อยกว่าคนเข้าไปในเมืองแล้ว ก็พูดเสียงเบา
“ท่านสวี ตอนแรกท่านน่าจะให้ป้ายสีแดงอ่อนหรือไม่ก็สีแดงเข้มไปก่อน…
…เห็นท่านให้ป้ายสีแดงสดไป นั่นคือต้องไปเมืองเฟิ่งเทียน…
…เป็นเมืองที่มั่งคั่งอยู่ ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ หลายหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงต่างร่ำรวย ราษฎรมีจำนวนมาก จะมีหมู่บ้านที่ไหนสามารถรองรับคนนอกหลายสิบหลังคาเรือนได้? นี่รวมอยู่ด้วยกันก็หลายร้อยกว่าคน อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็มีการส่งคนไปแล้ว…
…นอกจากให้พวกเขาแยกตัวกันออกมา ทุกหมู่บ้านจัดการให้อยู่กันสองสามหลังคาเรือน ให้พวกเขาแยกจากกัน”
หากเหวินซูไม่พูดถึงเรื่องนี้ ใต้เท้าสวีก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
เหวินซูพูดออกมาเช่นนี้ ใต้เท้าสวีก็รีบเรียกคนเข้ามา เขาสั่งการให้ลูกน้องไปพูดกับหัวหน้าขบวน จำไว้ให้ดี ต้องให้พวกเขาได้อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ถึงแม้ว่าหมู่บ้านจะไม่ได้เจริญมั่งคั่งมาก ก็ต้องจัดการให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน
เมื่อช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้สุดความสามารถ ให้คนซาบซึ้งสุดหัวใจ
เหวินซู “…” ที่เขาเตือนนั่นไม่ใช่แบบนี้
ใต้เท้าสวีคิดในใจ
เจ้าจะเข้าใจอะไร เจ้าอยู่ในเมืองโง่ๆ นี่ต่อไปแล้วก็กัน
ไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่น เพียงแค่ท่านแม่ทัพกับซุ่นจื่อผู้ติดตามพูดเพียงไม่กี่คำ เขาก็ต้องดูแลให้ดี ล่วงเกินไม่ได้
อีกอย่าง ไม่ได้ยินที่ซ่งฝูเซิงคนนั้นพูดหรือ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเขาพบเจอท่านแม่ทัพ สิ่งสำคัญคือ เขายังพูดคุยกับท่านแม่ทัพ
ท่านแม่ทัพเป็นใคร? คิดว่าใครจะสามารถพูดคุยกับเขาได้หรือ? ท่านปู่คือท่านเอ้อกั๋วกง ท่านพ่อเป็นแม่ทัพใหญ่ ท่านย่าคอยสนับสนุนฝ่ายองค์หญิงใหญ่ของท่านอ๋องเยี่ยน อาจพูดได้ว่า นอกจากขบวนรถของท่านอ๋องเยี่ยนแล้ว ขบวนรถของของจวนลู่เมื่ออยู่ด้านนอก ภายในเมืองเฟิ่งเทียนขบวนรถทุกคันจะต้องหลีกทางให้
ดังนั้นแม้ว่าผู้สูงศักดิ์จะไม่ได้กำชับให้ดูแลคนสองร้อยกว่าคนนี้ให้ดี แต่ผู้สูงศักดิ์เป็นใคร? ต้องให้เขาพูดพล่ามไหม? เพียงแค่พูดไม่กี่คำก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่เขาแล้ว อย่าว่าแต่มีหมู่บ้านเลย ถึงแม้จะไม่มีหมู่บ้านอยู่ก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้
หากมาอีก…เฮ้อ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง
อย่ามองเพียงว่าในตอนนี้ซ่งฝูเซิงมีสภาพอนาถา บางทีครั้งต่อไปที่พบเจอกัน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราอาจไม่รู้ว่าใครจะต้องคารวะใคร เรื่องโชคชะตาวาสนาคน ไม่มีใครสามารถบอกได้ชัดเจน
พวกซ่งฝูเซิงเพิ่งเข้าเมืองไป พวกเขาไม่รู้ว่าตอนเข้าเมืองใต้เท้าท่านนั่นได้คิดเรื่องราวขึ้นมาเองอย่างน้อยสิบกว่าตอนเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน
หวังเจ๋อฟาสวมเสื้อผ้าฉีกขาด อ้าปากค้างจนเห็นฟันสีเหลือง เขายืนอยู่ในขบวนสีแดงเข้ม “จื่อเจิน? ข้า ข้า ท่าน?”
ตอนที่ 125
“ทำอะไรกันน่ะ กลับมาต่อแถวเข้าขบวนกันให้ดี รอคนมากันครบก่อนถึงออกเดินทาง!”
ผู้คุมขบวนสีแดงเข้ม ขมวดคิ้ว เขาตะโกนเสียงดังใส่พวกหวังเจ๋อฟา
หวังเจ๋อฟาที่เพิ่งจะก้าวขาออกไปก็ต้องหดขากลับมา สีหน้าฉายแววตาไม่น่าเชื่อถือ
หวังเจ๋อฟาอยากจะพูดคุยกับซ่งฝูเซิง อยากสอบถามซ่งฝูเซิงว่าเขายืนต่อแถวผิดขบวนหรือไม่? ถ้าเขาไม่ได้เข้าแถวผิดขบวน ถ้าเช่นนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับตัวเขา?
ทำไมช่างแตกต่างจากขบวนของพวกซ่งฝูเซิงที่ดูแลไม่เข้มงวดมากนัก
เมื่อนำป้ายสีแดงส่งมอบให้กับผู้คุมขบวนแล้ว ผู้คุมขบวนตรวจเช็คป้ายเรียบร้อยก็หันมองดูกลุ่มคนพวกนี้ ซึ่งมีใต้เท้าสวีที่เป็นหัวหน้าจัดการผู้อพยพ ได้สั่งกำชับให้ดูแลเป็นพิเศษ เมื่อเขาตรวจดูป้ายสีแดงสดแล้ว ก็ส่งคืนให้กับซ่งฝูเซิงเก็บรักษาไว้ให้ดี
หลังจากนั้น ผู้คุมขบวนก็ได้ตะโกนสั่งกำชับทุกคนเป็นพิเศษ
“ในวันนี้ หอคอยนี้ก็มีเพียงพวกเราทุกคนเพียงแค่นี้” เขาคิดในใจ ใครจะคาดคิดว่าเมื่อตอนเช้ามีเพียง 5 ครอบครัวที่ได้รับป้ายแดงและในตอนบ่ายจะมีมาเพิ่มอีก 15 ครอบครัว
มี 15 ครอบครัว ถูกต้องแล้วเพราะก่อนหน้านี้ใต้เท้าสวีได้ให้ป้ายสีแดงแก่ซ่งฝูเซิงไปหนึ่งป้าย และในภายหลัง ซ่งฝูเซิงได้หยิบป้ายจากในกล่องหีบมาอีก 14 อัน รวมทั้งหมดเป็น 15 อัน
มี 15 ครอบครัว เพราะเขากับพี่น้องในครอบครัวได้แยกบ้านกันตั้งนานแล้ว หลังจากนั้นเขายังต้องพาหนิวจั่งกุ้ย ซื่อจ้วง และหมี่โซ่วมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แยกบ้านกับครอบครัวทางฝั่งแม่ มีบ้านเป็นของตนเองต่างหากจะเป็นการดีกว่า
ผู้คุมขบวนได้ตะโกนต่อไป
“ถึงแม้หอคอยนี้จะมีพวกเราเพียงแค่นี้ แต่พวกเราก็ยังต้องรอต่อไป รอคนบางกลุ่มมาเพื่อที่จะรอเรือและต้องให้ฝ่ายนั้นส่งสารมาก่อน พวกเราทั้งหมดถึงจะออกเดินทางพร้อมกัน…
…จำไว้ว่าขบวนของพวกเราอยู่ทางขวาสุด ไม่ใช่ว่าไปไหนกลับมา แล้วมายืนอยู่ผิดแถว…
…ทุกคนสามารถนั่งพักและดื่มน้ำกันได้ ในเพิงพักมีน้ำต้มสุกสามารถนำมาดื่มได้เลย…
…ด้านหน้าหนึ่งลี้มีขนมปังปิ้งขาย พวกเจ้าสามารถซื้อมากินรองท้องกันก่อนได้ แต่เวลาไปซื้อจะต้องบอกคนรอบข้างก่อน มิเช่นนั้นเวลาขบวนออกเดินทางไปแล้วจะตกขบวนได้…
…จำไว้ว่า ถ้าต้องเดินออกไปไกลจากแถวจะต้องบอกคนรอบข้าง ให้คนรอบข้างคอยเตือนข้า หรือไม่ก็มาบอกกับข้าด้วยตนเอง”
สามารถมองเห็นท่าทีความแตกต่างระหว่างผู้คุมขบวนป้ายสีแดงสดกับผู้คุมขบวนป้ายสีแดงเข้มได้
ด้านนั้นเป็นแนวหน่วยงานราชการ จึงใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก ด้านนี้ก็เป็นหน่วยงานราชการเช่นกัน แต่ใช้น้ำเสียงคล้ายเป็นมัคคุเทศก์
ซ่งฝูเซิงนำสิ่งของวางเรียบร้อยก็นั่งดื่มน้ำอยู่ข้างทาง เขาดื่มน้ำไปพลางมองหวังเจ๋อฟาที่คอยส่งสายตาให้เขาไม่หยุด
เชอะ อยากจะเข้ามาพูดคุยกับเขาหรือ? ดูท่าทางเจ้าร้อนรนเช่นนั้น
ซ่งฝูเซิงลุกขึ้นยืนแล้วนำถุงน้ำยื่นส่งให้กับซื่อจ้วง เขาใช้มือปัดฝุ่นที่ติดอยู่ตามร่างกาย ก่อนจะก้าวเดินไปหา
“จื่อเจิน เจ้าให้เงินไปแล้ว? ร้อยตำลึง? ไม่ใช่สิ ขบวนของเจ้านั้นต้องห้าร้อยตำลึง!”
“ให้เงินอะไรกัน เจ๋อฟา เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลสิ ใต้เท้าที่เฝ้าเมืองอยู่ที่นี่แต่ละท่านต่างก็ซื่อสัตย์สุจริต”
ซ่งฝูเซิงกล่าวด้วยสีหน้าอันชอบธรรม
หวังเจ๋อฟาแอบทำตาเหลือก “ถ้าเช่นนั้นเจ้า? เป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าเป็นซิ่วไฉ เจ้าเป็นแค่ถงเซิงเองนะ”
“เอ่อ เจ๋อฟา ข้าก็บอกแล้วว่าท่านใต้เท้าให้ความสำคัญกับคนที่มีความสามารถ นี่ไงก็เป็นเพราะท่านใส่ใจกับคนที่มีความสามารถ”
อยู่ห่างกันออกไป เฉียนเพ่ยอิงกระซิบกับซ่งฝูหลิง “พ่อของเจ้าเริ่มคุยโวโอ้อวดแล้ว”
“ท่านแม่ ห่างไกลกันขนาดนี้ ท่านยังได้ยินพวกเขาพูดคุยกันอีกหรือ?”
“ฟังไม่ได้ยินหรอก แต่ข้าแค่มองสีหน้าของเขาก็รู้แล้ว”
คนที่เข้าใจซ่งฝูเซิงมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นเฉียนเพ่ยอิง
ซ่งฝูเซิงบอกว่าเขากับใต้เท้าแค่พบเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตากัน ยิ่งพูดก็ยิ่งคุยกันถูกคอ และบอกว่าใต้เท้าสวีพูดชื่นชมเขาว่า ไม่ได้เป็นคนที่มัวแต่คิดเพ้อฝันเกินจริงโดยที่ไม่ได้ลงมือทำ มองดูจากความคิดของเขาแล้ว เขาเป็นคนติดดิน ควรที่จะมีโอกาสทำประโยชน์มากกว่านี้และควรที่จะได้มีโอกาสสอบเข้ารับราชการต่อไป
คุยโอ้อวดจนมาถึงตอนนี้ ซ่งฝูเซิงก็เรียนรู้ยกมือกุมหน้าจากหวังเจ๋อฟา
เขากุมหน้าพลางพูดไปด้วย “เจ๋อฟา ไม่ต้องกังวลหนทางข้างหน้าว่าจะไม่มีคนเข้าใจเจ้า ข้าได้รับการชื่นชมจากใต้เท้าที่คุมเมือง ถือเป็นความโชคดีของข้า ข้าเป็นเพียงแค่ถงเซิง แต่ได้ไปสถานที่ที่ดีกว่าพวกเจ๋อฟา ข้าก็รู้สึกอับอาย ละอายใจยิ่งนัก”
หวังเจ๋อฟากลอกตาใส่เขา ไม่สนใจที่จะรักษาหน้าตาบัณฑิตเพราะเขาถูกซ่งฝูเซิงทำให้โมโห