ครอบครัวที่ได้รับป้ายสีแดงสด โดยพื้นฐานแล้ว หนึ่งคือ ไม่เกิดการขัดแย้งกันกับบรรดาผู้ดีมีสกุล สองคือ เห็นโลกกว้างมาก่อน ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์ประทะแย่งชิงกัน
ลองมองดูสิ สองฝ่ายที่ฝ่ายหนึ่งมีและอีกฝ่ายหนึ่งขาด ถูกนำมารวมไว้ด้วยกัน
คนที่ได้รับป้ายสีแดงสด เป็นเพราะต้องรีบเดินทางต่อไป และระหว่างทางที่ลี้ภัย อะไรๆ ก็ขาดแคลน บรรดาผู้ดีมีสกุลตั้งเพิงแจกข้าวต้มขึ้นมา ก็เพื่อต้องการจะแสดงให้เห็น
แสดงให้เห็นว่า ยามที่อีกฝ่ายทุกข์ยากลำบาก ทุกฝ่ายก็สามารถยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือ ให้ผู้คนได้ชื่นชมว่าเป็นครอบครัวใจบุญสุนทาน อีกอย่าง คนในที่นี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนใจบุญสุนทานจริง โดยเฉพาะคนที่มีความเชื่อทางศาสนา อย่างเช่น คนที่เชื่อในเรื่องพุทธศาสนา อยากมองเห็นกับตาของตนเองว่าประชาชนที่ลี้ภัยนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? สถานการณ์ยังดีอยู่หรือไม่?
ไม่ใช่ว่าผู้อพยพลี้ภัยทุกคนจะถูกพามาที่นี่
ดังนั้นอย่ามองเพียงว่า แค่ได้รับป้ายสีแดงสด สีแดงสด คือ เข้าเมืองมาเป็นผู้ลี้ภัยชั้นพิเศษ จุดแรกที่จะต้องมาคือที่นี่ บ่งบอกว่าพวกเขาก็ยังต้องแบกภาระหน้าที่เช่นกัน
คนอื่นพอใจ ตัวเองก็พอใจ
มองดูผู้คุมเถิงก็รู้ว่าเขามีประสบการณ์มากมาย เขากำลังเกลี้ยกล่อมคหบดีท่านหนึ่งที่ลี้ภัยมา
“ท่านลุงรีบไปรับอาหารและน้ำมาดื่มกินเถอะ พวกเราไม่ได้เดินผ่านตลาด ไม่มีสถานที่ให้ซื้อของ ก่อนจะถึงถนนหลวงก็ผ่านร้านขายยาหนึ่งร้านกับโรงเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งเท่านั้น โรงเลี้ยงสัตว์มีแค่ถ่านขายเพียงแค่นั้น ถ้าจะได้รับอาหารกับน้ำเพื่อดื่มกินก็จากตรงนี้เท่านั้น แม้ว่าบนถนนหลวงอีกสามสิบลี้จะมีที่พักริมทาง อีกห้าสิบลี้มีหอพัก แต่สามสิบ ห้าสิบลี้ ก็ต้องใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งวัน ท่านไม่ทำเพื่อตนเองก็ต้องทำเพื่อลูกๆ บ้าง รีบเดินไปเอาเถอะ”
“แต่ข้าอับอาย อับอายจริงๆ!”
คู่ชีวิตของท่านลุงคนนั้นก็พูด ทำไมท่านถึงยังไม่ไปอีก ท่านกับพวกลูกชายรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน พวกข้าผู้หญิง จะไปกันเอง
ส่วนอีกครอบครัวหนึ่ง น้องสะใภ้คนเล็กที่อาศัยพี่สาวคนนั้น นางก็กำลังเกลี้ยกล่อมสามีของนาง
“ท่านพี่ ระหว่างทางพวกเรายังแย่งกันกินแย่งกันดื่ม ที่ไม่ต้องรักษาหน้าตาก็เพราะความจำเป็น ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็รักษาชีวิตรอดไว้ไม่ได้…
…แต่ตอนนี้พวกเราเข้าเมืองมาแล้ว ท่านว่าผู้คุมเถิงคนนั้น ทำไมถึงไม่พาพวกเราไปซื้อสิ่งของที่ร้านสักหน่อย ทำไมต้องให้มาขอเขากิน พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเงิน…
…ข้ารู้สึกว่า สำหรับผู้อพยพลี้ภัยมาตลอดทางพวกนั้น ทุกคนต่างก็เหมือนกันหมด ข้าต้องออกหน้าไปเอาของ เมื่อก่อนกินดีอยู่ดีเหมือนกัน พวกเรากลับต้องมายืนอยู่ตรงหน้า ข้าเอื้อมมือออกไปขอไม่ได้จริงๆ…
…ถ้าพี่สาวรับรู้ พวกเราจะทำให้พี่เขยเสียหน้าหรือเปล่า?”
ผู้คุมเถิงยืนฟังเนื้อหาที่พูดคุยอยู่ด้านข้าง
เขาคุ้นเคยกับปฏิกิริยาของผู้คนเหล่านี้แล้ว
ตอนหลบหนี จะทำอะไรก็ได้ ลำบากอย่างไรก็ทน คนเราเมื่อมีความมั่นคงในชีวิตแล้ว ไม่ว่าเรื่องหน้าตาหรือเงินที่มีในกระเป๋า จะมีหลายเรื่องให้เข้ามาครุ่นคิด
เมื่อมองดูอีกครอบครัวหนึ่ง ท่านแม่ยายบ้านนั้นก็กำลังยืนรออยู่อีกด้านหนึ่ง นางไม่ได้เข้าไปเอาของ นางกำลังรอลูกเขยกลับมาจากการขี่ม้าไปขอบคุณสหายที่ให้ความช่วยเหลือเพราะเขาจะเดินทางไปด้วยกัน อีกทั้งลูกเขยก็บอกให้ท่านแม่รอ เมื่อลูกเขยกลับมาแล้วจะนำอาหารร้อนๆ มาให้พวกท่านกิน และเขายังบอกอีกว่า เมื่อถึงโรงเลี้ยงสัตว์ที่ผู้คุมเถิงได้พูดถึงก่อนหน้า เขาจะซื้อรถม้าหรือรถลากที่มีตู้รถและซื้อถ่านบางส่วนให้ครอบครัวท่านแม่ จะได้ไม่ต้องทนเหน็บหนาวระหว่างการเดินทาง
อาจจะพูดได้ว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นอารมณ์ของบรรดาผู้ดีมีสกุลที่มีความเมตตา ทั้งหมดต้องอาศัยพวกซ่งฝูเซิงที่มีจำนวนคนสองร้อยคนในกลุ่ม เพื่อให้การสนับสนุน พวกเขาปลุกอารมณ์ของพวกผู้ดีได้อย่างเต็มที่
พวกสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างกายผู้ดีเหล่านั้นแอบกุมปากหัวเราะ พร้อมกับเอ่ยเตือน “ช้าหน่อย ช้าๆ หน่อย ระวังลวกปาก”
พวกผู้หญิงซดข้าวต้มทีละชาม กินหมั่นโถวลูกใหญ่ มีของกินยัดอยู่เต็มปาก แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะดึงลูกของตนเองมา เป่าพวกข้าวต้ม น้ำซุป เบาๆ สองทีให้คลายร้อน ก่อนจะป้อนพวกเด็กๆ
เมื่อความร้อนความเย็นมารวมตัวกัน ก็ทำให้น้ำมูกไหลออกมา เมื่อไม่มีเวลาเช็ดก็สูดเข้าไปใหม่แล้วตั้งหน้าตั้งตาดื่มข้าวต้มกันต่อไป
ท่านยายหวังกินจนเรอออกมา เศษขนมปังเกือบจะติดคอนาง ท่านยายกัวรีบนำน้ำซุปที่นางเพิ่งเป่าไล่ความร้อนยื่นออกไปให้ ใช้ชามใหญ่กรอกปากท่านยายหวัง “รีบดื่มซะ ถ้าไม่ไหวก็อ้วกออกมา”
“เอ่อ ไม่อ้วกๆ”
ส่วนพวกผู้ชายมีซ่งฝูเซิงนำขบวนนั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าพวกผู้ดี กินขนมปังหนึ่งคำ กินหมั่นโถวหนึ่งคำ ทุกคนกินกันอย่างมูมมาม
มีทั้งสาวใช้และผู้ติดตามคอยเตือนพวกเขาให้กินช้าหน่อย ถ้าไม่พอยังมีอีก อย่ารีบร้อน มีให้พวกเจ้าได้กินอิ่มแน่นอน
พวกผู้ชายก้มหน้าก้มตากินพร้อมกับคิดในใจ ช้าไม่ได้หรอก ตอนอยู่หน้าประตูเมืองก็ไม่ได้ต่อคิวเข้าแถวรับข้าวต้ม เพราะรีบร้อนจะเข้าเมืองมา อีกอย่าง ไม่ต้องกินอาหารของบ้านตนเอง ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าคนในครอบครัวจะพอกินหรือไม่ ตอนนี้ไม่ต้องประหยัด สามารถกินได้อย่างเต็มที่
ซ่งฝูเซิงกินหมั่นโถวหกลูกก็เริ่มนั่งไม่ไหวแล้ว เขาลุกขึ้นส่งยิ้มให้กับคนใช้ชายที่ยืนถือเข่งหมั่นโถว หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบหมั่นโถวสองลูกและอีกสี่ลูก ยืนกินอยู่ตรงนั้น
ท่านย่าหม่ากวักมือเรียกด้วยน้ำเสียงมีความสุข “นี่พั่งยา ย่าอยู่ตรงนี้ เจ้ารีบมา”
ซ่งฝูหลิงก็เพิ่งกินขนมปังไปสามอันและดื่มน้ำซุปร้อนๆ ไปสองชาม “ทำไมหรือ ท่านย่า”
“เจ้ารีบมาดูนี่สิ ย่าขอรองเท้ามาให้เจ้าแล้ว ขนาดเท้าใหญ่เท่าเจ้าเลย เป็นของสาวใช้บ้านเขา เจ้าดูสิ ยังใหม่อยู่เลย นางไม่ค่อยได้ใส่นัก รีบเปลี่ยนซะ ข้างในเป็นผ้าฝ้ายด้วยนะ ”
ซ่งฝูหลิงมองสาวใช้ตัวน้อยที่ให้รองเท้ากับนาง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สาวใช้เดินมาหา นางก็ยิ้มพร้อมกับก้มหัวให้ “ขอบคุณมาก”
สาวใช้สะบัดผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา นางพูดกับซ่งฝูหลิงที่มีใบหน้ามอมแมม ผมเผ้ารุงรัง “เจ้ารอก่อน ข้ายังมีเสื้อกันหนาวเก่าอยู่ตัวหนึ่ง พวกเราความสูงไล่เลี่ยกัน เจ้าน่าจะใส่ได้”
ท่านย่าหม่ารีบดึงซ่งฝูหลิงมาขอบคุณ
เฉียนเพ่ยอิงกอดเสื้อกันหนาวที่เขาให้มา นางเอ่ยกับฮูหยินของข้าราชการท่านหนึ่ง “ขอบคุณท่านฮูหยิน”
สามคนนี้ที่ทะลุมิติมาจากโลกปัจจุบัน เพียงแค่วันนี้พวกเขาก็ทำได้แล้ว ในเหตุการณ์ไหนควรจะพูดอะไร ไม่ต้องเสแสร้งเพราะมาถึงตอนนี้แล้ว
สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ถึงอยากจะรักษาภาพพจน์ ผู้คุมขบวนของพวกเราก็บอกไปแล้วว่าไม่ผ่านร้านขายเสื้อผ้าหรือร้านขายรองเท้า ไม่เดินผ่านตลาด ในตลาดมีกลุ่มคนป้ายดำกำลังโชว์ตัวอยู่ พวกเขาไม่สามารถไปเพิ่มความวุ่นวายได้
ไม่มีสถานที่ให้ซื้อเสื้อผ้า เสื้อผ้าที่อยู่ในพื้นที่พิเศษก็ไม่สามารถนำออกมาสวมใส่ได้ ผู้อพยพลี้ภัยคนหนึ่ง หากสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ คงต้องเป็นที่สะดุดตา ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ต้องขอจากคนอื่น
เมื่อขอได้ พวกเขาทั้งสามคนก็รู้สึกว่า โอ้ว สวรรค์ ยังมีเรื่องดีๆ อย่างนี้อยู่อีกหรือ กินฟรี ดื่มฟรี มีเสื้อผ้าให้ใส่ฟรี จะต้องรักษาโอกาสนี้ไว้
ถ้าบอกว่าสามคนนี้กลายมาเป็นขอทานในยุคโบราณ ใครให้อะไร พวกเขาก็โค้งขอบคุณรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีมาก ถ้าเช่นนั้นหมี่โซ่วก็เก่งยิ่งกว่ามาก เฉียนหมี่โซ่วไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคุณชายทายาทคหบดีรุ่นที่สองที่มั่งคั่งร่ำรวย
เฉียนหมี่โซ่วคุกเข่าลงต่อหน้าเหล่าฮูหยินท่านหนึ่ง
เหล่าฮูหยินท่านนี้ลูบหน้าเขา “ช่างน่าสงสารนัก เด็กน้อยที่น่ารักต้องมาตกระกําลําบาก เฮ้อ เพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว ต้องมาประสบกับเรื่องพวกนี้ หวังว่าต่อไปภายหน้าเจ้าจะลืมเรื่องพวกนี้ไปได้บ้าง อ้อ ใช่สิ ระหว่างทางมีของกินไหม?”
“เรียนเหล่าฮูหยิน ไม่มี ก่อนหน้านั้นกินหมดแล้ว”
เหล่าฮูหยินรีบโบกมือให้สาวใช้นำของกินมาให้มากหน่อย
“บ้านเจ้าไม่มีรถที่มีตู้รถหรอกหรือ?”
“เรียนเหล่าฮูหยิน เราไม่มี”
“ถ้างั้นคงต้องหนาวมากแน่”
“ใช่ ลุงของข้าน้อยก็บอกว่าถ่านก็ใกล้จะ…”
“ใช่สิ” เหล่าฮูหยินตัดบทเฉียนหมี่โซ่ว นางรีบใช้สาวใช้นางหนึ่งไปทำธุระ “ไปเตรียมผ้าปูที่นอน ผ้าห่มเพิ่มอีกหลายผืนและนำถ่านมาให้เด็กคนนี้มากๆ หน่อย ไม่มีผ้าห่ม ไม่มีถ่าน คงเดินไปถึงเมืองเฟิ่งเทียนไม่ไหว”
เฉียนหมี่โซ่วคุกเข่าอยู่ในเพิงและโคกหัวคำนับ “ขอบคุณเหล่าฮูหยิน ขอให้เหล่าฮูหยินสมบูรณ์พูนสุข อายุมั่นขวัญยืน”
โอ้ว ปากหวานปานน้ำผึ้ง ถ้าไม่ได้ผ่านเหตุการณ์นี้ เด็กดีขนาดนี้น่าจะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว
เหล่าฮูหยินนึกเสียดาย นางให้สาวใช้ยื่นถุงเงินให้กับเฉียนหมี่โซ่ว สาวใช้รู้ว่าเหล่าฮูหยินชอบเด็กคนนี้ก็เลยเลือกถุงเงินที่มีเงินเยอะหนึ่งถุง ยื่นให้กับเฉียนหมี่โซ่วเอาไว้ใช้
เฉียนหมี่โซ่วรีบนำถุงเงินมาส่งให้กับซ่งฝูเซิง “ท่านลุง ท่านดูนี่สิ”
โอ้ว ซ่งฝูเซิงมองดู เจ้าไม่ควรเรียกว่าเฉียนหมี่โซ่ว เจ้าควรเรียกว่า เฉียนช่วนจือ (เส้นด้ายที่ร้อยเงินเป็นพวง)