เจ้าหน้าที่กองปราบสิบกว่าคนที่ถูกตีจนมีบาดแผลก็ตื่นตัวขึ้น
ส่วนพวกเขาที่ถือเครื่องมือเครื่องไม้ในมือ เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นก็ถึงกับทำของเหล่านั้นตกลงบนพื้น
ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจน ครั้งนี้ต้องเสร็จแน่ มาจับพวกเขาแล้ว
เกาถูฮู่ยิ้มทั้งน้ำตา เขามองซ่งฝูเซิงแล้วพูดแบบเดียวกัน “ไปซะ!”
หลังจากตะโกนเสร็จ พวกผู้ชายก็ยืนนิ่ง ไม่คุกเข่า ไม่ยอมรับผิด พวกเขาทุกคนคอยยืนปกป้องซ่งฝูเซิงอยู่ด้านหน้า
หลังจากนั้นก็มีผู้ชายยี่สิบกว่าคน ห้าสิบกว่าคน สิบสี่ครอบครัว ชายฉกรรจ์ที่มีเรี่ยวแรงของทุกครอบครัวมายืนบังอยู่ด้านหน้าซ่งฝูเซิง
ซ่งฝูเซิงผลักคนที่บังอยู่ข้างหน้าเขาออกไป “ข้าไม่ไป ข้าเป็นคนสั่งการ ถ้าจะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน!”
ซ่งฝูหลิงเห็นขบวนคนยาวสองแถววิ่งออกมาจากประตูเมือง ขบวนคนสองแถวยาวนั้นมุ่งหน้ามาทางพวกเขา ร่างกายก็เหมือนอ่อนแรงลง
เฉียนเพ่ยอิงเพิ่งจะรู้สึกตัวก็พบว่า ต้องซวยแน่ๆ
เหล่าซ่ง หมี่โซ่ว ลูกสาว นาง ทั้งหมดต้องซวยแน่แล้ว
แต่…
ทันใดนั้นก็มีเสียงฆ้องดังขึ้น เจ้าหน้าที่ตะโกนบอก “ท่านนายอำเภอมาถึงแล้ว”
ประตูเมืองมีผู้คนเดินผ่านไปมาอย่างเบาบาง รวมทั้งซ่งหลี่เจิ้งที่ถูกพยุงตัว ตลอดจนพวกซ่งฝูเซิงที่รีบคุกเข่าไหว้ต้อนรับ
นี่ทำให้เจ้าหน้าที่กองปราบสิบกว่าคน ยืนนิ่งโดดเด่นอยู่ตรงนั้น
เจ้าหน้าที่กองปราบหลายสิบคนมึนงง หมายความว่าอะไร ไม่ได้มาจับคนพวกนี้หรอกหรือ? แล้วนายอำเภอมาทำอะไรกัน?
ในขบวนคนสองแถวยาวที่ออกมาจากประตูเมือง หนึ่งในนั้นเป็นหัวหน้ากองปราบ เขาจำเพื่อนร่วมงานสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้
หัวหน้ามือปราบโผล่หัวมองดูด้านหลังว่าท่านนายอำเภอรีบออกมาแล้วหรือยัง หลังจากนั้นจึงวิ่งออกจากขบวน กวักมือเรียกเจ้าหน้าที่กองปราบที่ถูกเกาถูฮู่ต่อย “เหล่าอู๋ ไม่ได้ยินเสียงนกหวีดเรียกระดมพลหรือ?”
“ได้ยินแล้ว แต่ข้าคิดว่า?”
“ไม่ต้องคิดว่าแล้ว รีบหน่อย ท่านผิงจวิ้นอ๋องใกล้จะผ่านมาทางนี้แล้ว ใต้เท้าของพวกเราต้องออกไปต้อนรับข้างนอก ให้ทุกคนที่มีหน้าที่ติดตามไป เร็วเข้า กลับมาเข้าขบวน”
เจ้าหน้าที่กองปราบสิบกว่าคนนั้นรีบร้อนกลับเข้าไปในขบวน
อืม? พวกซ่งฝูเซิงที่คุกเข่ากันอยู่ที่พื้นต่างมองหน้ากันไปมา
ไม่นานนักก็เห็นท่านนายอำเภอที่สวมหมวก ตัวอ้วน รูปร่างไม่สูง ปรากฏตัวออกมา
ท่านนายอำเภอรีบร้อนออกมาจนเหงื่อไหล ด้านหลังตามด้วยกุนซือที่วิ่งตามมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ใต้เท้า ใต้เท้า เกี้ยวอยู่ข้างหลัง ท่านหยุดก่อน นั่งเกี้ยวไปต้อนรับเถอะ”
ท่านนายอำเภอวิ่งจนเหนื่อยหอบ เขาพักสักครู่ ก่อนจะต่อว่ากุนซือ
“หยุดพูด นั่งเกี้ยวอะไร ผิงจวิ้นอ๋องมาเยือนอำเภอข้า ข้าต้องเดินเท้าไปต้อนรับด้วยตนเองสิ”
กุนซือรีบโบกมือให้เกี้ยวที่อยู่ด้านหลังกลับไป
หัวหน้าอู๋ พวกที่รังแกซ่งฝูเซิง ใช้โอกาสนี้วิ่งออกจากขบวน
หัวหน้าอู๋เอามือกุมใบหน้าที่บวมปูด เขารายงานให้กับนายอำเภอทราบ “ใต้เท้า ที่นี่มีโจร พวกเขาอยู่?”
เพียะ!
เสียงตบดังขึ้นทันที
นายอำเภอตบจนมือตนเองเจ็บ เกือบจะด่าว่า ‘ไอ้เจ้าผายลม’ แต่เมื่อนึกได้ถึงฐานะของตนเอง เขาก็ต้องเก็บคำพูดไว้
แค่กๆ เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม “ข้าทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประชากรในเขตนี้อยู่กันอย่างสงบสุข ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย อยู่กันอย่างมีความสุข”
กุนซือรีบชี้หน้าต่อว่าหัวหน้าอู๋ “รอใต้เท้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งในอนาคต ชาวเมืองยังจะต้องให้ร่มกับใต้เท้าของพวกเรา ในเขตอำเภอจะมีขโมยได้อย่างไร? ช่างพูดจาเหลวไหล พวกเจ้ามานี่ พาคนบ้าคนนี้ลากออกไปและปิดปากเขาไว้ด้วย”
หัวหน้าอู๋ตกตะลึง ถูกเจ้าหน้าที่มัดและถูกพาตัวออกไป ส่วนเจ้าหน้าที่กองปราบคนอื่นที่ถูกพวกเขาตีก็ถึงกับตกใจจนหัวหด ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องโดนตีเมื่อสักครู่
ท่านนายอำเภอเริ่มยิ้มอีกครั้ง ในตาเป็นประกายเสมือนมองเห็นอนาคตอันก้าวหน้าที่อยู่ไม่ไกล เขารีบร้อนวิ่งผ่านหน้าพวกซ่งฝูเซิงไป
กุนซือตามอยู่ด้านหลัง เขาหยิบหมวกท่านนายอำเภอที่ถูกลมพัดปลิวหล่นขึ้นมา เขาปัดฝุ่นไปพร้อมตะโกน “ใต้เท้า ใต้เท้า รอข้าด้วย ให้ข้าน้อยจัดเสื้อผ้ากับหมวกของท่านให้ดีก่อน ท่านจะได้มีตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวหน้า”
ท่านนายอำเภอพาทหารและข้าราชการทั้งหมดออกไปที่ศาลาที่พักนอกเมืองเพื่อรอต้อนรับผิงจวิ้นอ๋อง
นี่หมายความว่าอะไร? ในเมืองไม่มีเจ้าหน้าที่แล้ว ไม่มีใครคอยควบคุมดูแลแล้ว
ซ่งฝูเซิงลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง “มองข้าทำไม รีบไปเร็ว!”
พูดจบก็แบกซ่งหลี่เจิ้งที่ขาอ่อนแรงจนลุกไม่ไหว
ซ่งหลี่เจิ้งเอามือลูบคอ ปากก็พึมพำไม่ยอมหยุด “โอ้ แม่เจ้า โอ้ แม่เจ้า”
หวังจงอวี้ก็รีบเรียกแม่ ดึงท่านยายหวังให้หยุดเก็บถั่วเมล็ดสน “โอ้ ท่านแม่ อย่าเก็บอีกเลย พวกเราต้องรีบหนีกันแล้ว”
พวกชายฉกรรจ์ก็รีบจับเด็กๆ ใส่บนรถเข็น
พวกผู้หญิงก็ช่วยกันเก็บถุงกระสอบ กระทะ ตลอดจนถั่วเมล็ดสนที่ร่วงตกลงมาใส่ตะกร้า
และเก็บเครื่องมือทางการเกษตรที่หล่นอยู่ที่พื้น ไม่มีเวลาวางไว้บนรถก็หนีบใต้รักแร้หรือพาดใส่บ่าวิ่งไปก่อน
เข็นรถเข็นแต่ละคันด้วยความเร็วที่ไม่เคยเข็นแบบนี้มาก่อน จนใกล้จะถึงประตูเมืองเขตอำเภออู่เฉวียนตามที่หนังสือได้เขียนไว้
จากประตูเมืองนี้ วิ่งออกมาจากประตูอำเภอ เกาถูฮู่ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
เขาร้อนใจอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถตบขาได้เพราะต้องเข็นรถ เขากล่าวด้วยอารมณ์โมโห “แม่เจ้าโว้ย มาถึงแล้วก็ไม่ได้ประทับตรา ไม่มีตราประทับแล้วพวกเราจะทำอย่างไร? เมืองเฟิ่งเทียนคงไม่ปล่อยให้เข้าแน่ๆ แย่จริงเชียว ทำไมถึงไม่ถอดกางเกงของเจ้านั่นออกมานะ”
เฉียนหมี่โซ่วนั่งอยู่บนรถเข็น น้ำตายังคลอเบ้า มือน้อยที่สกปรกดึงเชือกสีแดงออกมา เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นี่คืออะไรกัน? พวกท่านพูดถึงสิ่งนี้ใช่ไหม?”
เขามองที่เส้นด้ายแดงซึ่งข้างล่างที่ห้อยคือตราประทับผ่านเมืองของอำเภออู่เฉวียนที่กำลังแกว่งไปมา