เฉียนหมี่โซ่วเงยหน้ามองซ่งฝูหลิงด้วยความมึนงง ถูกยุงกัดมันต้องเจ็บไม่ใช่หรือ? ทำไมพี่สาวถึงหัวเราะ นี่ถูกกัดจนสติฟั่นเฟือน หรือนางถูกยุงกัดโดนเส้นหัวเราะ?
“พี่สาว ข้าเป่าให้ท่านเอง”
“ใช่ เจ้ารีบเป่าให้ข้าหน่อย”
ซ่งฝูหลิงหันร่างของเฉียนหมี่โซ่วให้ทางด้านหลังไปทางด้านพ่อของนาง ซื่อจ้วงกับเหล่าหนิวอยู่ด้านนอกคอยขับเคลื่อนรถ หากท่านพ่อเอาของออกจากพื้นที่พิเศษมาก็จะไม่มีใครเห็น
ก่อนที่พ่อของนางจะหลับไป เขานำกระเป๋าอาดิดาสวางไว้ใต้ศีรษะ ซิปถูกรูดเปิดออก มือของเขายื่นเข้าไปในกระเป๋า
“ฮ่าๆ”
เฉียนเพ่ยอิงถลึงตาใส่บุตรสาว “เจ้าไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ หัวเราะไม่หยุดเลย พวกเราเจอเหตุการณ์อะไรดีๆ หรือไง? ไม่รู้จักกังวลใจบ้าง ยังดีให้หมี่โซ่วพัดให้เจ้า ข้ายังมีงานต้องทำ อย่าไปรบกวนการนอนหลับของพ่อเจ้าล่ะ”
พูดจบ เฉียนเพ่ยอิงก็รีบยื่นมือไปหยิบตะแกรงปิ้งย่างที่นำมาจากพื้นที่พิเศษ เอามาวางไว้บนเตาถ่าน เมื่อก่อนนี้มันเคยเป็นตะแกรงปิ้งย่างบนเตาปิ้ง
จุดไฟ นางใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถใช้หินจุดไฟได้ นี่คงเป็นความสามารถของคนในการปรับตัว
จุดไฟตรงเตาไฟแอลกอฮอล์ก่อน ต้มไข่พะโล้ในหม้อญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ และคอยตรวจตราด้านล่าง แป้งขาวเหลืออยู่แค่สิบกว่ากิโล หมักทิ้งไว้ครึ่งวันแล้ว เห็นแป้งเริ่มขยายขึ้นฟูเป็นสองสามเท่า ใหญ่มาก นางจึงนั่งคุกเข่าโน้มตัวลงนวดแป้งอยู่บนรถ มิเช่นนั้นจะออกแรงไม่ได้ แล้วก็เริ่มทำก่านปิ่ง
เป็นขั้นเป็นตอนไป เฉียนเพ่ยอิงมีวิธีการของนางในใจ
ถึงขั้นตอนไหนแล้วนะ นางสามารถทำก่านปิ่งเสร็จแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นขนาดเท่าฉีจื่อ ตอนนี้ถ่านเริ่มติดไฟแล้ว นำฉีจื่อไคว่ไปย่าง ย่างไฟจนได้ที่ มือขวาของนางก็โรยเกลือลงไป มือซ้ายก็ยังคงนวดแป้งไม่หยุด เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
ฝีมือในการทำอาหารถูกถ่ายทอดมาจากตระกูลเฉียนในยุคปัจจุบัน เมื่อก่อนท่านเฉียนเคยทำอาหารให้กับหน่วยงานต่างๆ และนางก็เคยไปร่วมสร้างธุรกิจกับซ่งฝูเซิง เปิดร้านแฟรนไชส์ขายของกิน
อย่าไปคิดว่าตอนนั้นซ่งฝูเซิงใช้วิธีการที่ไม่โปร่งใสส่งของกำนัลให้กับผู้อำนวยการโรงพยาบาล เพื่อช่วยให้นางได้ไปดูแลงานมัดจำสัมภาระของโรงพยาบาลในเขตเมือง เพราะตอนนั้นมิใช่หรือ ถึงได้มีโอกาสสวมชุดกาวน์สีขาว มีงานทำเป็นหลักแหล่ง แต่นางก็ยังคงมาช่วยดูแลร้านขายอาหาร ต้องตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อพาพนักงานสิบกว่าคนไปทำซาลาเปา เมื่อถึงเวลาเจ็ดโมงกว่านางจึงค่อยไปทำงาน
เฉียนหมี่โซ่วหยุดเป่าให้กับพี่สาว อดหันไปสูดกลิ่นอาหารไม่ได้
ซ่งฝูหลิงถาม “หอม?” คิดในใจ แม่ยังไม่ได้ใส่นมผงนะ มิเช่นนั้นจะหอมมากกว่านี้ คงเป็นไปไม่ได้ สถานการณ์ไม่เหมาะสม
เฉียนหมี่โซ่วอ้าปาก น้ำลายไหลออกมา ครานี้ไม่ต้องให้ใครดูเขาว่าจะมีผลกระทบกับซ่งฝูเซิงในการนำของออกมา เขาหันหลังไปทางซ่งฝูเซิงเอง เขาเข้าใกล้ท่านป้าแล้วเอ่ยถาม “เมื่อไหร่จะเสร็จ ถ้าเสร็จแล้วข้าขอชิมสักคำได้ไหม?”
เพราะร่างกายมีอาการเหมือนหมดสติ จึงดูไม่ออกว่าตอนนี้ซ่งฝูเซิงกำลังตื่นเต้น เพราะตอนนี้เขากำลังสาละวนอยู่ในพื้นที่พิเศษ
เขาคิดว่าการเข้ามาครั้งหนึ่งนั้นมันไม่ง่ายเลย อะไรที่สามารถนำกลับไปได้ก็ควรนำออกไป
อันดับแรก เขามุ่งตรงไปที่หัวเตียงของบุตรสาว นำน้ำมันเย็นออกมา และเหลือบไปมองโต๊ะเครื่องแป้งของบุตรสาว ยื่นมือกวาดที่รัดผมไปบางส่วน
หลังจากนั้นเขาก็เดินครุ่นคิดในห้องรับแขก แหงนหน้ามองเห็นหน้าต่าง เขารีบหยิบมีดปอกผลไม้ เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป อยากจะนำมุ้งลวดที่อยู่ตรงหน้าต่างออกมา กรีดออกมาแล้วคลุมบนศีรษะ สำหรับผู้ลี้ภัยหนึ่งคนต่อหนึ่งอัน เพื่อป้องกันยุงกัด
แต่คงจะไม่สามารถมอบให้คนที่เดินไปด้วยได้ พวกนั้นให้ใช้วิธีถือไอ้เฉ่าแห้งติดไฟเดินไปแทน อีกอย่าง เหล่าหนิวต้องควบคุมรถ ยุงก็มาแค่ทางด้านหน้า
ในขณะเดียวกันซ่งฝูเซิงก็รู้สึกแปลกใจมาก สิ่งของที่พื้นที่พิเศษให้มาไม่มีขาด ในปีนั้นเขาซื้อพื้นที่หนึ่งตารางเมตรในราคาเท่าไหร่ ทางนั้นก็ให้เขากลับเข้าไปใช้ได้ทั้งหมด แต่ในส่วนพื้นที่ที่เขาไม่ได้ซื้อมา ยกตัวอย่างเช่น เวลายื่นมือออกไปนอกหน้าต่างห้องเพื่อที่จะสัมผัสอากาศด้านนอก นิ้วมือจะไม่สามารถสัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้
เขานำมุงลวดออกมาพับเก็บไว้ คิดแล้วคิดอีก เขาก็คิดถึงบุตรสาวเรียนที่มหาลัยจบในปีนั้น บุตรสาวพาเพื่อนมาเลี้ยงฉลองงานฮาโลวีน ให้แม่ออกไปเล่นไพ่นกกระจอก คิดว่าเขาออกไปสัมมนาต่างจังหวัดยังไม่กลับมา หลังจากนั้นก็สนุกกันเต็มที่ภายในบ้าน เขาเปิดประตูเข้าไปเจอเกือบจะตกใจตาย
เด็กสาวห้าหกคนสวมใส่หน้ากากที่มีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ และยังมีหน้ากากสีขาวหน้าเหมือนผีอยู่หนึ่งอัน ยังดีที่เปิดเพลงดัง มิเช่นนั้นเด็กพวกนั้นคงได้ยินเสียงตะโกนเพราะความตกใจของเขา
เอ๊ะ? หน้ากากพวกนั้น เขาไม่ได้เป็นคนเก็บ ไม่รู้ว่าวางไว้ที่ไหน? ของพวกนี้เอามาให้บุตรสาวใส่สามารถป้องกันยุงได้นี่นา ไม่ต้องกลัวยุงกัดหนังตาแล้ว
Related