“ท่านลุง ท่านตื่นแล้วหรือ? ท่านลองดมกลิ่นอาหารที่ท่านป้าย่างสิว่าหอมหรือไม่ ท่านอยากลองชิมดูไหม”
ซ่งฝูเซิงหันไปกล่าวกับหมี่โซ่ว “อืม” เพราะความอยากกินเขาถึงได้ตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ ในอ้อมแขนกอดกระเป๋าอาดิดาส
เฉียนเพ่ยอิงรีบถาม “เป็นอย่างไรบ้าง ยังสะลึมสะลืออยู่ไหม? หายงัวเงียแล้วก็นำยามาให้ลูกสาว จะได้ทาให้ลูก”
ซ่งฝูเซิงรีบล้วงหา กระเป๋าใบนั้นของเขาแทบจะกลายเป็นกระเป๋าโดเรมอนไปแล้ว
“นี่ เอาไป” เขายื่นให้บุตรสาว
และทำท่าทางตื่นเต้นเอ่ยถามเฉียนเพ่ยอิง “เอ๊ะ? ภรรยานี่คืออะไร เจ้าเป็นคนใส่ใช่ไหม?”
เฉียนเพ่ยอิง “…”
นี่ไม่ใช่มุ้งลวดหรือ ดูท่าเข้าไปในพื้นที่พิเศษ นำมุ้งลวดตรงหน้าต่างรื้อออกมา ท่านยังจะถามนางอีก ทำท่าทางซะเหมือน
“อ๊าห์ ข้าคงจะใส่ไว้น่ะ”
“เจ้าใส่อะไรมั่วไปหมด สิ่งของที่ควรใส่ก็จะไม่มีที่วางอยู่แล้ว เจ้านี่” ซ่งฝูเซิงทำท่าทางนิ่งไปสักพัก เหมือนสมองมีแสงสว่างขึ้นทันใด ทำท่าทางได้อย่างสมจริง “เอ๊ะ เจ้าอย่าเพิ่งพูด นี่ก็มีประโยชน์มากเหมือนกันนะ”
เขาหาทางลงให้กับตนเอง หาบทสรุปเสร็จก็รีบตะโกนออกไปด้านนอก ความหมายคือ
ซื่อจ้วง เหล่าหนิวบังคับรถ เจ้ายังมีเวลาว่าง นำกรรไกรมาตัดหน่อย โดยการทำท่าทางภาษามือจากหัวคลุมลงมาถึงคอ เสร็จแล้วนำเชือกมาผูก
ของสิ่งนี้ดีจริง พวกเราก็ไม่ต้องกลัวยุงกัดแล้ว อีกทั้งอากาศยังสามารถถ่ายเทได้ ตัดได้กี่ชิ้นก็ใช้เท่านั้น เมื่อถึงบ้านเขาจะได้แบ่งให้พี่ชายทั้งหลายด้วย
ซื่อจ้วงหมุนตัวกลับไปรับมุ้งลวดหน้าต่างที่ถูกรื้อออกมาสิบแผ่น เมื่อได้สัมผัสพื้นผิวของสิ่งของนั้นก็ตกใจ
เขาเข้าใจ ฟังดูสิบแผ่นเหมือนเยอะ แต่คนที่จะได้รับมีเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น คงแบ่งให้กับผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านนอกก่อน คนที่อยู่บนรถคงไม่ได้รับ เขาต้องตัดให้ดีๆ จะได้ไม่มีส่วนเสียจนต้องทิ้ง
ซ่งฝูเซิงทำการค้นหาต่อ
เขาหยิบหน้ากากสี่อันออกมาจากกระเป๋าที่ตุง ทำทีท่าต่อว่าภรรยา “เจ้าใส่สิ่งนี้ไว้ในกระเป๋าทำไม นี่มันคือของเมื่อหลายปีก่อน ที่ข้าไปสนามสอบนี่นา ตอนอยู่ฝูเฉิงข้าเคยซื้อหน้ากากของเล่นให้กับลูกสาว วันนั้นฝนตก เพื่อที่จะได้ของในราคาถูก เถ้าแก่ก็รีบเก็บร้าน เขายังวาดไม่เสร็จเลยเหมามาให้ลูกเล่น”
ถูกด่าเพิ่มไปอีกสองประโยค เฉียนเพ่ยอิงก็เอ่ยขึ้นมา “ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าช่างเป็นคนที่พูดอะไรไปได้เรื่อยๆ เหมือนกันนะ”
เฉียนเพ่ยอิงเหล่ตามองสามี เขายังไม่รู้จักตนเองดี ตานี่แสดงได้อย่างแนบเนียน เธออยากถามอยู่เหมือนกันว่าเขาเข้าไปในพื้นที่พิเศษ เพื่อนำเจ้านี่ออกมาทำไมกัน
ทำอะไรกัน ซ่งฝูเซิงส่งหน้ากากมัจจุราชหนึ่งใบให้กับบุตรสาว ต่างคนต่างรู้ใจกันดี โดยที่ไม่ต้องเอ่ยออกมา เขาจ้องตาบุตรสาว “เอาไปใช้ในทางอื่นให้เป็นประโยชน์ ไหนๆ แม่ของเจ้าก็ยัดใส่ในกระเป๋ามาแล้ว สวมไว้ก็ดี มันสามารถกันยุงได้”
เริ่มรู้สึกไม่ถูกกับยุง แต่ละประโยคก็มีแต่คำว่ายุง
เฉียนหมี่โซ่วหันศีรษะมาพอดี เขาจึงร้องไห้ออกมา
ซื่อจ้วงได้ยินเสียงก็รีบหันกลับไปมอง กำมือเอาไว้แน่นในทันที เกือบจะทำให้รอยแผลเปิดออก
เหล่าหนิวกำลังยกแส้ กระวนกระวายใจดั่งไฟลน เขาคิดว่าเด็กน้อยถูกไฟลวก เพราะกำลังทำอาหารในรถ จนปัญญาจริงๆ ไม่ค่อยปลอดภัยเลย แต่อันที่จริงเป็นเพราะว่าเขาดันหันไปสบตากับซ่งฝูหลิงพอดี หัวเกือบคะมำลงจากรถ
โอ้ย สวรรค์ นี่เหรอที่นายท่านบอกว่ายังวาดหน้ากากไม่เสร็จ นี่มันวาดเยอะจนเกินไปแล้วต่างหาก
พอดีกับที่ซ่งฝูหลิงพูดปลอบเฉียนหมี่โซ่วที่ร้องไห้อย่างหนัก “อย่าร้อง อย่าร้องไห้ พี่จะเปลี่ยนเป็นหน้ากากอีกอันหนึ่ง”
อืม เปลี่ยนแล้ว บนใบหน้าไม่มีสีอะไรเลย กลายเป็นสีขาวแบบเดียวกันกับผี
เหล่าหนิว “…”
นี่สิ นี่หมายถึงที่นายท่านพูดไว้ว่ายังวาดไม่เสร็จ คือยังไม่ได้ลงมือวาดแม้แต่เส้นเดียวเลย
ขณะเดียวกัน ด้านนอกก็มีเสียงเด็กกำลังร้องไห้
เด็กชายอายุประมาณหกแปดขวบรีบสะบัดตัวออกจากแม่นม แล้วผลักคนรับใช้หญิงที่เข้ามาขวางเขาจนล้มลง ก่อนจะรีบวิ่งตามรถลากเทียมล่อของบ้านซ่ง
วิ่งสูดกลิ่นไปพร้อมตะโกน “หอมจัง ไปขวางรถให้ข้าที”
Related