ทะลุมิติทั้งครอบครัว – ตอนที่ 26 ออกเดินทางแล้วก็ไม่ต้องสนใจทิศทาง

ตอนเย็นช่วงเวลาสามทุ่มกว่า หมู่บ้านต้าจิ่งชุนก็คึกคักขึ้น  

 

 

ในหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงสุนัขเห่าหอน หมูร้อง ไก่บินว่อน สุนัขกระโดด วุ่นวายกันไปหมด  

 

 

สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายต่างตื่นตระหนก จนอดไม่ได้ที่ทั้งหมดจะร้องออกมา  

 

 

สัตว์หลายตัวต่างส่งเสียงร้องทุรนทุรายติดต่อกันหลายครั้ง เสียงร้องโหยหวนนั้นเหมือนจะขาดใจ บ่งบอกว่ากำลังถูกมีดทิ่มแทงเข้าไป เจ้าของพวกเขากำลังวุ่นวายกับการเชือดพวกมัน  

 

 

เสียงร่ำไห้ของคนชรา ผู้หญิง เด็ก ดังอื้ออึง เสียงฝีเท้าที่เดินกันอย่างพลุกพล่าน เสียงเตือนอย่างร้อนรนว่าอย่าลืมสิ่งใด จากครอบครัวหนึ่งสู่ครอบครัวหนึ่ง เสียงดังมาจากทุกครัวเรือนติดต่อกัน  

 

 

ในสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ มีคนชราบางคน โดยเฉพาะชายชราแต่ละคน ที่ปกติแล้วพวกเขาไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่ตอนนี้กลับพูดเสียงดัง  

 

 

“พวกเจ้าไปเถอะ การเกณฑ์ทหารคงมาทำบนหัวข้าไม่ได้ ข้าอายุมากแล้ว ข้าจะเฝ้าสุสานบรรพบุรุษ เฝ้าศาลบรรพชน ปกป้องที่ดินบ้านนี้ รอสถานการณ์สงบแล้ว ข้าค่อยส่งจดหมายไปให้พวกเจ้า ถึงเวลานั้นค่อยกลับมา แต่จะให้ไม่มีบ้านคงไม่ได้”  

 

 

มีผู้สูงอายุบางคนไม่ได้อยู่เพื่อคอยเฝ้า แต่เป็นเพราะ “พวกเจ้าไปเถอะ สภาพร่างกายของข้าคงหนีไปไม่ได้ไกล มันจะเป็นภาระให้กับพวกเจ้าเปล่าๆ”  

 

 

เมื่อพวกเขาพูดเช่นนี้ บุตรสาวบุตรชายที่มีความกตัญญู ต่างร่ำไห้เหมือนต้องตายจากกัน ร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก  

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งเป็นคนที่เปิดกว้างทางความคิด อย่ามองแค่ว่าเขาอายุมากกว่าคนอื่นในที่นี้  

 

 

ที่เขาไม่ได้ทัดทาน เพราะในความคิดเห็นของเขา เหตุผลที่ควรพูดก็ได้พูดไปจนหมดแล้ว และได้นำคำพูดพวกนั้นที่ซ่งฝูเซิงพูดไว้มาพูดกับพวกเขาอีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ไม่มีใครที่จะสามารถไปชักชวนถึงที่บ้านได้  

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งหันกลับมาพูดเสียงดังกับบุตรชายคนโตของตน เหมือนกับต้องการพูดให้คนสูงวัยพวกนั้นฟังด้วย หวังว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของตนได้ ถือว่าเป็นความพยายามในการช่วยครั้งสุดท้าย  

 

 

“ลูกใหญ่ ข้าจะไปกับพวกเจ้า บ้าน ที่ดินจะมีเท่าไหร่คงไม่สำคัญ เพราะหากข้าอยู่เฝ้าต่อไป ข้าก็คงทำไม่ไหว…  

 

 

…ยังต้องเฝ้าศาลบรรพชนอีกหรือ? ข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว ถ้าเกิดตายอยู่ข้างใน คงเหม็นเน่าอยู่ในศาลบรรพชนแบบไม่มีคนรู้…  

 

 

…หากร่างกายข้าไม่ไหว ก็ทิ้งไว้ข้างทาง ถึงตอนนั้นพวกเจ้ายังสามารถขุดหลุมฝังศพข้าได้…  

 

 

…ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนในครอบครัวทั้งหมดจะได้อยู่ด้วยกัน เงยหน้ามาก็ยังเห็นหน้าลูกหลาน แต่หากข้าอยู่ที่นี่เพียงลำพัง คงต้องรู้สึกพะว้าพะวังเปล่าๆ”  

 

 

ลูกชายคนโตของเขาซาบซึ้งใจมาก รู้สึกว่า พ่อแบบนี้สิถึงจะเป็นพ่อที่ดี ที่พูดแบบนี้ก็เพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาเพิ่มให้แก่ลูกๆ หลานๆ  

 

 

คําพูดของซ่งหลี่เจิ้งก็นับว่าได้ผลไม่น้อย แม้ว่าคนชราบางคนจะยังตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ แต่ก็มีบางคนที่เริ่มลังเลใจแล้ว  

 

 

ในขณะที่คนในหมู่บ้านกําลังถกเถียงกันว่าจะไปหรือไม่ไปนั้น พวกเขาก็พบว่า รถลากเทียมล่อสามคันของซ่งฝูเซิงได้ออกจากลานบ้านไปก่อนแล้ว  

 

 

และด้านหลังของครอบครัวซ่งฝูเซิง ตามมาด้วยครอบครัวคนต่างถิ่นที่ย้ายเข้ามาอยู่เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาคือครอบครัวตระกูลเกา มีอาชีพค้าขายเนื้อสัตว์ ในหมู่บ้านถือเป็นครอบครัวมั่งคั่งที่มีชื่อเสียง เกวียนประจำครอบครัวของพวกเขาดูโอ่อ่ากว่ารถลากเทียมล่อที่อยู่ด้านหน้ามากนัก เพราะรถของพวกเขาเป็นเกวียนที่เทียมด้วยวัวควายถึงสามคัน  

 

 

ซ่งฝูเซิงกับซื่อจ้วงบังคับรถลากเทียมล่อคันแรก ห่างไกลออกไปก็เห็นซ่งหลี่เจิ้งจึงตะโกนขึ้น “ท่านลุง ไปแล้วนะ”  

 

 

“ไปกันเถอะ!”  

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งโบกมือ ประตูใหญ่ของเรือนหลี่เจิ้งก็เปิดออกในทันที  

 

 

เกวียนเทียมวัวควายสองคันถูกบุตรชายสองคนบังคับ และยังมีเกวียนแบบเข็นด้วยมืออีกสองคันโดย ที่มีหลานชายทั้งห้าช่วยกันออกแรงเข็น สักพักก็มาปรากฏสู่เบื้องหน้าทุกคน  

 

 

เพียงเสียงฮูลา ขบวนครอบครัวของหลี่เจิ้งก็เคลื่อนตัวตามไป  

 

 

ทุกคนที่ได้เห็นก็กระวนกระวายมากขึ้น คอยเร่งให้ไว มีการร้องตะโกนบ้าง และมีบางคนตะโกนว่า แม้ว่าจะรีบร้อนขนาดไหนก็ต้องไปเก็บเมล็ดข้าวก่อน ไม่สามารถทิ้งไว้ในที่ดินได้  

 

 

มีชายใจกล้าพูดขึ้นมา ในเมื่อเขาจะต้องออกไปแล้ว ถูกเกณฑ์ทหารก็คงไม่มีชีวิตรอด ถ้าระหว่างทางจะไม่มีกิน ก็คงไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน รีบไปแย่งเก็บมาไว้ก่อน อย่างมากก็หนีไปหลบซ่อนตัวบนภูเขา  

 

 

แค่ประโยคเดียวที่บอกว่า ‘สามารถซ่อนตัวอยู่บนภูเขาได้’ ผู้คนในหมู่บ้านจำนวนมากก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาในใจ ยิ่งทําให้ผู้ชายจํานวนมากวิ่งออกจากบ้านของตัวเองไป พวกเขาแบกจอบไว้บนบ่า วิ่งเร็วดั่งลมพัด มุ่งหน้าสู่แปลงนา  

 

 

เมื่อมาถึง พวกเขาก็พบว่าซ่งฝูเซิงและพรรคพวกไม่ได้เคลื่อนรถออกไป แต่กลายเป็นว่าแต่ละคนต่างตวัดเคียวเก็บเกี่ยวอย่างเต็มที่ในจุดของตน   

 

 

พวกเด็กๆ ของครอบครัวพวกนั้นต่างลงจากรถมาเก็บข้าวโพดจนไม่เงยหน้า  

 

 

พวกผู้หญิงเหล่านั้นก็ไม่สนใจว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือไม่ พากันใช้เสื้อผ้ากระโปรงของตนหอบข้าวโพด วิ่งขนไปกลับระหว่างแปลงกับเกวียน  

 

 

แต่ประเด็นคือ พื้นที่ที่พวกเขาเก็บผลผลิตมันไม่ใช่ที่ดินของครอบครัวพวกเขานะสิ  

 

 

เมื่ออยู่ข้างถนน เอารถลากเทียมล่อจอดไว้อีกด้าน เห็นข้าวโพดตรงไหนก็เข้าไปเก็บที่ตรงนั้น  

 

 

พวกนี้ได้เห็น ก็มาเถอะ พวกเขาทำแบบนี้ไปแล้ว ยังจะคิดถึงที่ดินของบ้านตนเองไปทำไมกัน  

 

 

…..  

 

 

ยามดึกสี่ทุ่มครึ่ง ยังมีแค่สามบ้านก่อน ต่อมามีห้าบ้าน ตอนหลังตามมาสิบบ้าน ยี่สิบกว่าบ้าน ผู้คนยิ่งเข้ามาที่แปลงข้าวโพดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แววตาแดงก่ำ แย่งเก็บกันอย่างเต็มที่  

 

 

แต่ตอนนี้พวกซ่งฝูเซิงเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว  

 

 

ซ่งฝูเซิงหันกลับไปมองเกวียนทั้งสามเล่มของตนเอง และพบว่ารถเกวียนเข็นสองคันของพี่เขย ไม่มีที่วางแล้ว หากเก็บมาวางเพิ่มอีก ทั้งแม่และเด็กๆ ก็คงไม่มีที่นั่ง  

 

 

เขาเช็ดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้า “ไปเถอะ!”  

 

 

ถึงแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในการรักษาชีวิต ก็ยังจะพยายามสุดความสามารถให้มีความปลอดภัยมากที่สุด และทําทุกวิธีทางที่จะเป็นไปได้ ยังเป็นประโยคนั้น ใครจะรู้ได้ว่าต่อไปจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น คงต้องเอาชีวิตอยู่รอดก่อน  

 

 

ด้านหน้าเกวียนของซ่งฝูหลิง เขากำลังดันก้นของเฉียนหมี่โซ่วให้ขึ้นไปบนรถก่อน และจากนั้นช่วยพยุงแขนท่านย่าหม่าซื่อขึ้นไป นางหันกลับมาหาแม่ เฉียนเพ่ยอิงโบกมือให้บุตรสาว “เจ้าขึ้นไปเถอะ ที่นั่งไม่พอ ข้าจะลงไปเดินกับพ่อของเจ้าสักพักหนึ่ง”  

 

 

“ถ้างั้นข้าก็จะไปด้วย”  

 

 

“เชื่อฟังหน่อย ฝูหลิง!”  

 

 

ท่านย่าหม่านั่งลงไปแล้วก็เรียกคนอื่น “ลูกสอง เจ้าไปเรียกจินเป่าขึ้นมาเถอะ”  

 

 

ซ่งคนรองเหลือบมองสักพักก็ไม่ยอม เพราะรถลากเทียมล่อคันแรกมีมารดาและยังมีหลานของน้องสะใภ้ บุตรสาวของน้องสาม และสิ่งของสัมภาระต่างๆ ของครอบครัวน้องสามกับของทุกคน ยังมีคนขับอีก สิ่งของเต็มไปหมดมี แค่ล่อแค่ตัวเดียวในการลากรถ เขาจึงกลัวว่ามันจะคว่ำเสียก่อน  

 

 

แต่เขาก็สงสารบุตรชายเพราะอุตส่าห์รอคอยมาหลายปีกว่าจะมีเขา หลังคลอดบุตรสาวมาได้สองคนถึงจะมีเจ้าตัวเล็กนี่ ดังนั้นเขาจึงเหลือบไปมองรถลากเทียมล่อคันที่สอง อย่าพูดเลย แค่มองดูก็รู้แล้วว่าไปไม่ได้  

 

 

รถลากเทียมล่อคันที่สอง ลากข้าวสาลีที่ตากแดดไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน เมล็ดข้าวของพวกเขาที่เก็บมาทั้งปีกับอาหารของบ้านพี่เขย บวกกับเนื้อหมักและหนังสัตว์มีขน ที่พี่เขยล่ามาเก็บไว้ก่อนหน้า คนขับอีกหนึ่งคน ล่อตัวที่สองนี้คงเหนื่อยมากกว่า  

 

 

ส่วนรถลากเทียมล่อคันที่สาม ซ่งคนรองก็ไม่คาดหวังแล้ว เพราะกองที่อยู่ด้านบนนั้นเป็นข้าวโพดที่ถูกเก็บมาเมื่อครู่นี้ และยังมีแม่ของพี่เขยที่ต้องให้นางขึ้นรถเพราะอายุมากขนาดนี้แล้ว นั่นก็คงต้องนั่งบนคันที่สาม  

 

 

ซ่งคนรองกับพี่เขยร่วมมือกันลากรถเข็น พวกเขาใช้แรงคนลากไหซอส ผักดอง และพวกหม้อชามของใช้ในครัวเรือน ยังมีถังไม้ที่เติมน้ำเต็มสองถัง  

 

 

เขาบอกซ่งจินเป่า “เดินอยู่ข้างเตีย สงบนิ่งหน่อย หากยังดื้อรั้นเตียจะตีเจ้า เหนื่อยก็บอก”  

 

 

ขณะเดียวกันซ่งคนโตกับบุตรชายสองคนก็ลากรถเข็น ด้านบนนี้มีเสื่อน้ำมัน เสื้อกันฝนที่ทำด้วยหญ้าตลอดจนสิ่งของจิปาถะ  

 

 

ซ่งคนโตพูดกับซ่งฝูเซิง “เจ้าไม่ต้องหรอก เจ้ากับน้องสะใภ้ตามล่อไป”  

 

 

ซ่งฝูเซิงก็อยากอยู่ แบบนั้นใช้แรงน้อยและยังสามารถนั่งได้ แต่เขาไม่สามารถทำได้นะสิ  

 

 

เกรงว่าจะมองทางไม่ชัดเจนแล้วเขาจะตกเข้าไปในคูน้ำ “ข้าให้หูจื่อครอบครัวพี่เขยไปบังคับรถ พอดีเขานั่งอยู่บนเกวียนกับย่าของเขาจะได้ดูแลซึ่งกันได้ พี่ใหญ่ท่านให้ข้าทำเถอะ ให้หลานสองคนพักสักหน่อย พวกเราคอยช่วยกัน”  

 

 

“ไม่ต้องหรอก น้องสาม เจ้าไม่ใช่คนทำงานหนักพวกนี้ ฟังพี่ใหญ่เถอะ”  

 

 

แต่ละคนต่างเกรงใจซึ่งกันและกัน คอยช่วยเหลือถือไฟส่องนำทาง ผู้คนส่วนใหญ่ยังต้องใช้เท้าเดินไป  

 

 

ขบวนคนกลุ่มใหญ่เคลื่อนที่ไป แลดูเสมือนสายธารที่คดเคี้ยวไปมา  

Related

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ทะลุมิติทั้งครอบครัวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย! แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset