ทะลุมิติทั้งครอบครัว – ตอนที่ 29 สองหญิงชราด่ากันอย่างดุเดือด

ซ่งฝูหลิงรู้สึกได้ผ่านหน้ากาก ถึงสายตาที่กลอกไปกลอกมาของท่านย่าของนาง  

 

 

เปรียบเสมือนทหารชั้นผู้น้อย ที่ต้องเข้าใจเจตนาของผู้บังคับบัญชา ถึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้  

 

 

นางกวักมือเรียกเฉียนหมี่โซ่ว ดึงน้องชายให้ไปอยู่ด้านข้างท่านย่าหม่า  

 

 

สีหน้าของท่านย่าหม่าดูอึดอัดเล็กน้อย อยากจะบอกว่า ‘ให้เบียดไม่ได้ จะขึ้นมาเบียดกันทำไม’ แต่ซ่งฝูหลิงก็ส่งเสียง ซวี ใส่นาง นางจึงเขยิบก้นไปอีกทาง ใช้การกระทําบ่งบอกเป็นนัยให้หลานสาวมานั่งแถวเดียวกันกับนาง  

 

 

“น้องสะใภ้ พวกเด็กๆ ตอนนี้เดินกันไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไร พวกเราต่างก็ทำเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าพูดกับเจ้าจากใจจริง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจข้า…  

 

 

…ถึงแม้พี่สะใภ้จะไม่ดีอย่างไร เจ้าก็ต้องเห็นแก่ลูกหลานของตระกูลซ่งของพวกเรา เจ้าต้องเห็นแก่พ่อสามี สามีของเจ้า หากน้องเขยยังอยู่ ไม่แน่เขาอาจจะ…  

 

 

…ต่างก็เป็นคนบ้านตระกูลซ่งเช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเห็นเป็นคนอื่น น้องสะใภ้ ฮือๆ”  

 

 

ป้าใหญ่ร้องไห้ไปพร้อมใช้ชายผ้าเช็ดน้ำตา นางเดินเข้าไปหา หลังจากนั้นก็พูดพร่ำด้วยท่าทีนอบน้อมก็แล้ว แต่ด้านในก็เงียบกริบ  

 

 

นางเดินเข้าไปอีกสองสามก้าวเพื่อเข้าใกล้รถลากเทียมล่อ แล้วยื่นมือไปเปิดม่านเพื่อที่จะถาม…  

 

 

ด้านในมีใบหน้าผีสามตน เอียงคอมองนางพร้อมกัน ป้าใหญ่ร้องด้วยความตกใจก่อนจะชักกระตุกล้มลงข้างรถลากเทียมล่อ  

 

 

ซ่งฝูเซิงไม่คิดว่าหน้ากากจะสร้างปัญหาขึ้นมาอีก  

 

 

เมื่อครู่ เขาไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าแม่ของเขาคงจะพูดคำเหน็บแนมสักสองสามคำเพื่อระบายความไม่พอใจ ซ่งฝูเซิงเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ท่านดูนี่สิ เฮ้อ!”  

 

 

เขาอยากบอกว่า เมื่อครู่หากเขาพูดออกไปแค่สองประโยค ก็คงไล่นางให้กลับไปได้แล้ว  

 

 

เดี๋ยวก็ตกใจจนหมดสติไปอีกคน สักพักก็จะมีอีกคนตกใจจนหมดสติอีก ยิ่งรีบร้อนเดินทางกลับกลายเป็นเหมือนเล่นสนุกกัน ยิ่งทำให้เสียเวลามากขึ้น  

 

 

เฉียนเพ่ยอิงก็ถอนหายใจ นางไม่มีน้ำแล้ว ต้องเก็บน้ำไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อดื่ม  

 

 

พี่สะใภ้ใหญ่ เหอซื่อ ของซ่งฝูเซินเดินมา  

 

 

คนทั้งหมดก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ไม่มีคนไม่ดี ใครจะทนมองป้าใหญ่หมดสติไปต่อหน้าได้  

 

 

อีกอย่างเหอซื่อก็ไม่ใช่ท่านย่าหม่า นางไม่ได้รู้สึกไม่ชอบหรือโกรธเกลียด  

 

 

เหอซื่อกำลังปลดถุงน้ำเพื่อจะราด นางกะว่าจะทำวิธีการเดียวกันกับน้องสะใภ้สาม โดยการราดน้ำให้ตื่น หญิงชราชิงต่อว่านาง “เจ้ามีน้ำดื่มเยอะมากหรือไง? ตั้งแต่วันนี้เจ้าก็อย่าได้ดื่มมันอีกเลย!”  

 

 

“ท่านแม่ นางขวางทางเดินอยู่ ตกลงพวกเราจะไปหรือไม่ไป? พ่อของลูกชายก็เข็นรถมาไม่ได้แล้ว” เหอซื่ออดกลั้นไว้ไม่อยู่ นางจึงพูดเสียงเบา “มาเสียเวลาตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อะไร แทนที่ข้าจะสามารถกลับไปส่งข่าวที่บ้านแม่ข้าได้”  

 

 

“เจ้าพูดอะไร? ไหนเจ้าพูดให้ข้าฟังอีกครั้งสิ!”  

 

 

สะใภ้รองจูซื่อรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยไม่อยากให้เรื่องราวบานปลาย หากเป็นเรื่องใหญ่ก็เกรงว่าผู้ชายของนางจะเดือดร้อนเพราะจะหนีไม่พ้นการทะเลาะตบตีกัน หากถึงขั้นลงไม้ลงมือ ผู้ชายของนางก็ต้องไปร่วมด้วย “ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูกแล้ว มันน่าตกใจมากนะ เมื่อครู่ข้าก็ตกใจกลัว หากท่านป้าใหญ่ เป็นอะไรไป สักพักพวกถังเกอคงต้องหาเรื่องกับพวกเราแน่ พวกเราไม่มีเวลามาทะเลาะกับพวกเขาหรอก”  

 

 

ท่านย่าหม่ารู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผล  

 

 

แต่ช่างอ่อนแอจริง เพียงแค่เห็นหน้าก็หมดสติไปเสียแล้ว นางยังไม่ทันทำอะไรเลย แต่จะให้ใช้น้ำราด? ก็คงไม่ได้  

 

 

ซ่งฝูหลิงได้ยินย่าของนางบ่นพึมพำ “ช่วงนี้ยังไม่ปวดฉี่ ไม่งั้นจะใช้ฉี่ทำให้นางตื่น” นางหัวเราะแล้ว คงกลั้นไม่อยู่จนหัวเราะมีเสียงออกมา  

 

 

ซ่งฝูเซิงสั่งให้พี่สะใภ้ใช้วิธีหยิกให้ตื่น  

 

 

เหอซื่อทำตาม  

 

 

ท่านย่าหม่าไม่พอใจ “หยิกอะไร ช่วยคนต้องหยิกตรงแขน ขา และหน้าของนาง หยิกแต่ละที่จนเขียวช้ำได้ยิ่งดี!”  

 

 

จากนั้นเขย่าแขน “พวกเราไปกันเถอะ”  

 

 

รถลากเทียมล่อของตระกูลซ่งออกเดินทางไปได้สองลี้แล้ว ก็มีเสียงผู้หญิงด่าทอตามหลัง “หม่ากุ้ยฮวา เจ้ามันไม่ใช่คน!”  

 

 

ท่านย่าหม่าโผล่หน้าออกมาจากรถ นางชีนิ้วด่ากลับไป “เจ้าเก่อหน้าโง่ เจ้านั้นแหละเป็นหัวขโมย!”  

 

 

“หม่ากุ้ยฮวา ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้อย่างไร แม้แต่รถเจ้าก็ไม่ยอมให้ลูกหลานตระกูลซ่งนั่ง ถุย!”  

 

 

“เจ้าเก่อหน้าโง่ เกิดมาเป็นคนควรรู้จักพอ ควายแก่ตัวนั้นควรแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งมาให้ลูกหลานข้าได้นั่ง เจ้าคงแอบดีใจล่ะสิ!” ท่านย่าหม่าโมโหจนหายใจติดขัด นางรีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตะโกนออกไปว่า “คิดจะมานั่งรถของข้า ต่อไปเจ้าก็คงมาเอาอาหารใช่ไหมละ? ข้ารู้ทันเจ้าหรอก”  

 

 

ป้าใหญ่มองรถลากเทียมล่อที่อยู่ห่างออกไปด้วยความโมโห โกรธจนอยากจะวิ่งไปถอดรถลากเทียมล่อสามคันนั้นออกมาเป็นชิ้นๆ นางกระทืบเท้าด่า “เจ้าสาบานต่อท้องฟ้าเบื้องบนเองไม่ใช่หรือว่าจะไม่พูดถึงกระบือแก่?”  

 

 

ห่างออกไปสามลี้ มีเสียงท่านย่าหม่าตะโกนโต้กลับไป “หากเจ้ายังมาก่อกวนข้าอีก ข้าจะฆ่าควายตัวนั้น ข้าจะพูดถึงมันอีกให้เจ้าโกรธพวกเปี่ยตู๋จือ!”  

 

 

การทะเลาะกันครั้งนี้ คนในหมู่บ้านที่ตามกันมาทั้งหมดต่างก็ได้ยิน ซ่งฝูเซิงเริ่มกลัวว่าจะกลายเป็นการเรียกให้ทหารตามมาเจอ  

 

 

ไอยา ไอยา “ข้าเหนื่อยมาก” ท่านย่าหม่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง  

 

 

ซ่งฝูหลิงรีบนำถุงน้ำยื่นให้ “ท่านย่า ดื่มเถอะ อย่าไปโต้เถียงแบบนาง”  

 

 

“พั่งยา เจ้าคิดว่านางหน้าไม่อายไหม เจ้าเชื่อไหม? หากย่าตอบตกลงให้ลูกหลานบ้านของนางขึ้นมาบนรถ นางก็กล้าที่จะเชิดหน้าใส่แน่ ต่อไปก็จะมาบอกว่าอาหารไม่พอกิน ให้มากินของบ้านเรา หากข้าไม่ให้ ก็หาว่าข้าทำผิดต่อบรรพชน”  

 

 

“แน่นอน”  

 

 

ท่านย่าหม่าดื่มน้ำเสร็จ นางก็ใช้มือเช็ดขอบปาก รวมถึงคราบน้ำที่เปื้อนบนริมฝีปากสีแดงบนหน้ากากออกด้วย แล้วพูดต่อ  

 

 

“ถุย มันอย่าได้ฝันเฟื่องไปหน่อยเลย…  

 

 

…ตอนนี้ข้ามาครุ่นคิด นี่ยังดีที่เจ้ากับพวกพ่อเจ้ากลับมาแล้ว หากพวกเจ้าไม่ได้กลับมาจากตัวอย่างผู้คนในหมู่บ้านที่ได้ข่าว ก็คงหลบหนีกันไปหมด เกวียนบ้านของนางพวกเราก็คงไม่ได้แตะ อย่าว่าแต่ไปพูดจาอ้อนวอนเลย ต่อให้ข้าคุกเข่าจนตายต่อหน้านางก็คงไม่มีประโยชน์…  

 

 

เป็นคนใจแข็ง ใจคอโหดร้าย  

 

 

ยังมีย่าใหญ่ ไม่ใช่ว่าข้าคอยจับผิดนาง นี่ยังดีที่บ้านเรารู้ข่าวสารก่อน และพ่อของเจ้ามีความสามารถ  

 

 

ถ้าหากว่าย่าใหญ่รู้ข่าวก่อน นางก็คงไม่บอกพวกเรา คงจะพาตัวเองหนีไปก่อน เจ้าเชื่อไหม? นางเป็นคนที่ผิดต่อบรรพชนมากที่สุด ไม่เคยสนใจพวกเราว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”  

 

 

ซ่งฝูหลิง “แน่นอนอยู่แล้ว”  

 

 

ท่านย่าหม่าเหลือบไปมองหลานสาวคนเล็ก อารมณ์โกรธก็หายไป  

 

 

คงเหมือนกับเมื่อครู่ที่ได้คุยกับหลานสาว ยังดีที่อย่างน้อยก็ไม่ได้แยกกับบ้านของลูกสาม มิฉะนั้นไม่รู้ว่าทุกคนจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่และคงทำให้นางกังวลใจมาก สถานการณ์คงแย่กว่าตอนนี้  

 

 

เฮ้อ ต้องมองไปที่อนาคตข้างหน้าก่อน  

 

 

“เมื่อครู่รถจอดตรงนั้น ทำไมไม่เตือนข้าให้ไปเอาข้าวโพดมาล่ะ”  

 

 

ซ่งฝูหลิงรีบพูดตอนที่ท่านย่าหม่าอารมณ์ยังดีอยู่ “ท่านย่า เดินทางอีกสักพักข้าก็จะลงไปเดินเท้าแล้วนะ”  

 

 

“เจ้าเดินไม่ไหวหรอก อยู่บนรถนี่แหละ”  

 

 

“ไม่ล่ะ ข้ากับหมี่โซ่วจะลงไป ให้ป้าใหญ่กับป้ารองรีบขึ้นมานั่งแทน”  

 

 

ท่านย่าหม่าคิดว่าหลานสาวคนเล็กจะให้จินเป่าตัวเล็กสุดได้นั่ง ไม่คิดว่าจะได้คำตอบนี้  

 

 

“ท่านย่า ตะเกียงน้ำมันนี้จะใช้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้น่ะ ให้ท่านป้าสองคนขึ้นมาเถอะ คนหนึ่งขึ้นมาถูเม็ดข้าวโพด คนหนึ่งรีบมาทำรองเท้าไว้หลายๆ คู่ พวกเรารีบร้อนลี้ภัย แม้ว่าการเดินทางจะไม่มีเสื้อฝ้ายสวมใส่ แต่รองเท้านี่สิ ลุงใหญ่และลุงรอง ตลอดจนพี่อีกหลายคนของข้าต่างมีกันไม่กี่คู่ ถ้าต้องเดินทางหลบหนีทุกวันจะทำอย่างไร ”  

 

 

ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ถูข้าวโพดอีกแล้ว เพราะถูจนสองมือพองหมดแล้ว  

Related

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ทะลุมิติทั้งครอบครัวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย! แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset