ท่านย่าหม่าชี้ไปที่กระติกน้ำที่อยู่กับซ่งฝูหลิง ซึ่งวางอยู่ข้างกระเป๋าสะพายหลัง นางเห็นของสิ่งนี้บนรถก็รู้สึกแปลกตา “เจ้ารอก่อน ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าของพวกนี้เอามาจากที่ไหน”
ซ่งฝูหลิงไม่อยากเสียเวลาในการอธิบาย อันที่จริงคือนางอธิบายไม่ถูกมากกว่า
นอกจากนี้ นางเป็นคนที่ไม่ชอบโกหกคนต่อหน้า หากหลีกเลี่ยงได้นางก็จะไม่โกหกและบางครั้งก็ใช้วิธีหลีกเลี่ยงคําถามโดยการไม่ตอบ
ในยุคปัจจุบันนางก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ไม่ตอบคำถาม คุณไม่สามารถบอกว่านางโกหกได้ อย่างเวลาผลคะแนนสอบออกมาไม่ดี เมื่อแม่ของนางถามเรื่องผลการเรียน นางก็จะไม่พูด ให้ไปเดาเอาเอง
นางคว้ามือของท่านย่าหม่าไว้และหันไปมองเฉียนหมี่โซ่ว แล้วจึงใช้นิ้วมือขีดเขียนบนฝ่ามือของท่านย่าหม่าเบาๆ จากนั้นก็จ้องหน้าท่านย่าของนางโดยไม่พูดจาอะไร
การใช้ท่าทางบอกใบ้ทางอ้อมนี้ ทำให้สมองของท่านย่าหม่ารีบคิดปรุงแต่งเองขึ้นมาทันที
สิ่งของพวกนี้คงเกี่ยวพันกับท่านเฉียน หลานสาวคงไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้มากต่อหน้าเฉียนหมี่โซ่ว ดูท่าท่านเฉียนจะเก็บของดีมากมายมาให้กับลูกสะใภ้สามของนาง บางทีสิ่งของพวกนี้เฉียนหมี่โซ่วที่เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลอาจไม่รู้เรื่องนี้
ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องถามแล้ว อย่าปากมากไป ใครเป็นคนให้หรือให้อะไร มีของใช้ ดีกว่าไม่มี เพราะสุดท้ายมันก็เป็นของลูกสามของนาง
“ท่านย่า ถ้างั้นข้าสองคนจะลงไปเดินแล้วนะ? เออ ข้าต้องเอาวัสดุทำรองเท้าไว้ให้กับท่าน ตอนที่พวกเราออกมา ข้าเอาผ้ามาเพียงไม่กี่ผืน เป็นผ้าหนาและคงทน ตอนนั้นรีบร้อนออกมายังไม่ได้ทำความสะอาดเลย ผ้าชิ้นๆ พวกนี้น่าจะเป็นของที่แม่ข้าเก็บไว้”
ท่านย่าหม่าปฏิเสธ “เจ้าไม่ต้องสนใจ ผ้าของข้าก็มีหลายชิ้น ผ้าผืนนี้ของเจ้าเนื้อดี เฮ้อ กลัวว่าเจ้าจะหนาว ยิ่งเดินต่อไปอากาศก็ยิ่งหนาว เจ้าดูคนพวกนั้นที่เข็นรถอยู่ข้างนอกสิ และยังมีพวกคนขับรถ ไม่มีใครใส่เสื้อผ้าหนาๆ เลย ข้าจะไปเอาเสื้อผ้าที่อยู่บนรถออกมาให้”
“อืมนั่นสิ ไม่มีเสื้อผ้าฝ้ายเลย”
ท่านย่าหม่ากลอกตา “เจ้าเกิดมาก็อยู่บนกองเงินกองทองแล้ว ข้าจะมีเงินทองที่ไหนไปซื้อผ้าฝ้าย พูดออกมาเช่นนี้มีแต่จะทำให้คนโมโห จำไว้หลัง จากนั้นไปขับถ่ายให้เรียบร้อยและพักผ่อน ให้ต้ายาพาเจ้าไปเกี่ยวหญ้ากลับมาตากไว้บนหลังคารถด้วย”
ซ่งฝูหลิงไม่เข้าใจเลย กำลังคุยเรื่องผ้าฝ้ายกันอยู่แท้ๆ ทำไมถึงเปลี่ยนเรื่องเป็นบอกให้ไปเกี่ยวหญ้าและสั่งงานให้นางทำได้ล่ะเนี่ย
ท่านย่าหม่านำอาหารแห้งที่นึ่งเสร็จก่อนออกเดินทางออกมาทั้งหมด ตระเตรียมไว้เวลารถหยุด จะได้ให้หลานสาวคนเล็กนำอาหารแห้งพวกนี้ไปแจกจ่ายกับทุกคน
ตอนบ่ายก็ไม่ได้กินข้าว แล้วนี่ก็ยังเดินทางตอนกลางคืนอีก ถึงแม้จะอยากประหยัดอาหารอย่างไร ก็ไม่ควรทรมานร่างกายตนเองจนหิว
ท่านย่าหม่าที่กำลังวุ่นอยู่กับการเติมเสบียงอาหารแห้งกล่าวขึ้นว่า “ข้าพลอยได้อานิสงฆ์ไปกับพ่อของเจ้า เมื่อสองปีก่อนก็ได้ผ้านวมฝ้ายที่วางอยู่ตรงข้างหน้านั่นมาคลุม ก่อนหน้านั้น บนเตียงก็ปูด้วยหญ้าแห้งหนา ส่วนในผ้าห่ม จะซื้อเส้นใยเมล็ดหลิวที่ราคาถูกและต้นอ้อเล็กๆ ตากแห้งมาใส่ไว้ข้างใน”
พูดถึงตรงนี้ ก็เงยหน้าขึ้นถามซ่งฝูหลิง
“เจ้าจำไม่ได้แล้ว? ตอนที่พวกเจ้ายังไม่ได้ย้ายไปยังตัวอำเภอ ลุงใหญ่กับลุงรองของเจ้าและบ้านป้าๆ ต่างก็นุ่มห่มตัวด้วยสิ่งนั้น…
…ตอนที่พวกเจ้าจะไป พ่อของเจ้าบอกว่าจะไม่เอาเครื่องนอนพวกนี้แล้ว ถึงได้นำมาแบ่งกันใช้ในครอบครัวหนึ่ง ได้ถึงหนึ่งหรือสองเตียง แม้แต่ผ้ารองฉี่ตอนเด็กของเจ้ายังเคยนำออกมาทำเป็นเสื้อผ้าฝ้ายให้จินเป่า…
…ตอนนี้กลับไม่พอใช้เสียแล้ว สองคนนำมาปูนอนได้หนึ่งเตียง ส่วนบนเตียงปูด้วยหญ้า ไม่เหมือนผ้าห่มที่บ้านของเจ้า ที่ไม่ว่าข้างนอกหรือข้างในก็เป็นผ้าฝ้าย ตอนหนีออกมาก็ไม่นำออกมาด้วย สิ่งของที่พวกเจ้าทิ้งไป ในสายตาชาวนาอย่างพวกเราต่างมองเห็นว่าเป็นของดีเลิศ…
…ถ้าพูดถึงแม่ของเจ้าแล้ว ข้าก็สามารถพูดถึงนางได้ทั้งวัน”
ซ่งฝูหลิงรู้สึกสับสนในใจอย่างมาก ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่า เวลาลืมสิ่งของอะไร นางมักโทษฝ่ายหญิงก่อน ท่านย่าทำไมไม่พูดถึงลูกชายของนางบ้างล่ะ
อีกด้านหนึ่ง เมื่อได้กลับมาฟังคนยุคเก่าพูดถึงการดำรงชีวิตที่ยากลำบาก ก็ไม่กล้าที่จะคิด ขนาดแค่ผ้าฝ้าย เมื่อมาอยู่ที่นี่กลับกลายเป็นสิ่งของมีค่าไปได้
แค่มีผ้านวมฝ้ายก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนอิจฉาได้เหมือนกัน ช่างปวดใจเสียจริง อนาคตช่างดูมืดมน
ซ่งฝูหลิงไม่กล้าพูดมาก กลัวว่ายิ่งพูดจะยิ่งน่าสงสัย นางสะพายถุงผ้าที่ใส่เสบียงอาหารแห้ง อีกมือหนึ่งก็จูงเฉียนหมี่โซ่วลงจากรถ
Related