ทะลุมิติทั้งครอบครัว – ตอนที่ 36 ข้าวแห้ง

ซ่งฝูหลิงเดินจนขาทั้งสองข้างอ่อนแรง  

 

 

ถนนในยุคโบราณเดินลำบากมาก บนถนนมีดินโคลน มีก้อนหิน พวกหญ้าสารพัดชนิด นางเดินจนเจ็บเท้า  

 

 

นี่ยังเรียกว่าถนนอีกหรือ แทบจะดูไม่ออก หากไม่มีคนเดินบนถนนบ่อยๆ จะเป็นอย่างไร? ถ้าต้องใช้เคียวถางเปิดทางเดิน คงต้องตวัดเคียวจนหมดคม?  

 

 

ซ่งฝูเซิงเดินช้าลงเพื่อรอบุตรสาว “เจ้าเหนื่อยไหม ปลดกระเป๋าใบนั้นของเจ้ามาให้ข้า ตอนนี้แบกกาน้ำไว้ข้างหลัง รู้สึกหนักหรือไม่?”  

 

 

ซ่งฝูหลิงมองกระเป๋าเดินทางกันฝนขนาดใหญ่ที่พ่อของนางสะพายอยู่ด้านหลัง นางก็รีบจับกระเป๋าอาดิดาสที่สะพายอยู่บนตัวของนางเอาไว้แน่น พร้อมกับส่ายศีรษะ “ไม่เหนื่อย ไม่เป็นไร”  

 

 

“อดทนต่อไปได้รึเปล่า?”  

 

 

“ได้ เดินบนถนนแค่นี้เรื่องเล็กน้อย ข้าเคยออกไปเที่ยวในป่าบ่อยๆ ท่านลืมแล้วเหรอ”  

 

 

ซ่งฝูเซิงล้อบุตรสาว  

 

 

“ไม่ลืม จะลืมได้อย่างไร”  

 

 

ความฝันของเจ้าไม่ใช่พกกระบี่ท่องเที่ยวยุทธจักรหรอกหรือ ยังร้องอยากจะไปดูโลกกว้างอันศิวิไลซ์  

 

 

ข้าจำได้ครั้งหนึ่งตอนที่ฝนตก ข้าถามกับเจ้าว่า ฝนตกหนักทำไมยังไม่กลับมากินข้าวบ้าน? เจ้าบอกว่าจะกางเต็นท์อยู่กับเพื่อนๆ และบอกว่าจะได้เรียนรู้ทักษะการมีชีวิตรอด  

 

 

เป็นอย่างไรเล่าเจ้าลูกสาว ตอนนี้ความฝันของเจ้าเป็นจริงแล้วไง ไม่ต้องไปทดลองใช้ทักษะชีวิตแล้ว พวกนั้นมันของปลอม เจ้าต้องดูนี่ จริงแท้ขนาดไหน ทุกที่ก็คือบ้าน”  

 

 

ใบหน้าของซ่งฝูหลิงที่อยู่ภายใต้หน้ากากถึงกับทำหน้าไม่ถูก ใช่สิ คิดแบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว ความฝันกลายเป็นความจริง นางได้แต่ปลอบใจตนเอง  

 

 

ซ่งฝูเซิงถามย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าบุตรสาวของเขาสามารถอดทนต่อไปได้หรือไม่ หากนางไม่ไหว เขาจะได้นำสิ่งของบนรถมายัดใส่บนรถเข็นนี้แล้วให้ลูกสาวกลับไปนั่งบนรถลากเทียมล่อ  

 

 

ซ่งฝูหลิงที่สวมหน้ากากสีขาว นางส่ายหัวเหมือนตีกลอง ส่ายไปมาเหมือนเงาของวิญญาณ ซ่งฝูเซิงมองดูรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย  

 

 

ล้อเล่นน่า ซ่งฝูหลิงคิดในใจ นางจะกล้ากลับไปนั่งบนรถได้อย่างไร? คนเหล่านั้นที่เข็นรถอดหลับอดนอนจนจะเหนื่อยตายอยู่แล้ว เพื่อให้นางได้นั่งพักแล้วต้องเข็นของเพิ่ม ยิ่งจะทำให้รู้สึกผิดภายในใจ  

 

 

มองพ่อแม่ของนางที่ทั้งแบกและหอบของพะรุงพะรัง พวกเขาก็ยังอดทนต่อไปได้  

 

 

เมื่อมองต้ายา เอ้อร์ยา นอกจากแบกของแล้วยัง…  

 

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ซ่งฝูหลิงก็หยุดเดินพร้อมกับโบกมือให้พ่อของนาง ให้พ่อรีบไปช่วยพวกลุงใหญ่ ไม่ต้องเป็นห่วงนาง นางจะรอพวกพี่สาว  

 

 

นางเห็นเอ้อร์ยาอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ถือคบไฟอยู่ตรงกลาง แขนข้างหนึ่งพยุงต้ายา อีกข้างพยุงเถาฮวา คอยให้แสงสว่างแก่คนทั้งสอง  

 

 

ส่วนต้ายากับเถาฮวา เดินก้มหน้าไปและนำเฮาเฉ่ากับไอ้เฉ่าถักเป็นเชือกฟางไปด้วย  

 

 

ซ่งฝูหลิงตบมือเถาฮวาแล้วพูดอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย “เลิกถักได้แล้ว ท่านย่าก็ไม่รู้จะทรมานพวกเจ้ากันไปทำไมนัก”  

 

 

นี่เป็นงานที่ท่านย่าหม่ามอบหมายให้เด็กพวกนี้ทำ ถึงแม้จะรีบเดินทาง แต่ก็ไม่ปล่อยให้มีเวลาว่าง  

 

 

เถาฮวาอธิบายอย่างอารมณ์ดี “ถักเป็นเชือกฟางจะได้สะดวกเวลาจุดไฟ พวกเราจะได้ไม่ต้องกังวลว่ายุงจะมากัด ไม่ว่าจะนอนที่ไหนก็สามารถหลับได้”  

 

 

“ถึงอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งถักเลย เมื่อครู่พวกเจ้าเดินสะดุดไปหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องไปฟังนางหรอกนะ”  

 

 

เอ้อร์ยายื่นคบไฟส่องไปทางซ่งฝูหลิง นางลืมไปว่าซ่งฝูหลิงใส่หน้ากากอยู่ก็ถึงกับตกใจ ดีที่นางไม่หลุดร้องกรี๊ดร้องออกมา นางนำคบไฟกลับมา ก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่ฟังนางก็ต้องถูกด่านะสิ”  

 

 

“ถ้าจะด่าก็ให้มาด่าข้า ถ้านางกล้าด่าข้า ข้าจะไปหาพ่อของข้า”  

 

 

ต้ายาเก็บเชือกฟางไปก่อน นางนำเชือกวางไว้บนตะกร้า “พวกเราฟังพั่งยาเถอะ ย่าไม่กล้าด่าพั่งยา”  

 

 

เถาฮวาเอ่ย “ไม่ใช่ว่าท่านย่าไม่กล้าด่าพั่งยา แต่ท่านย่ากลัวอาสามต่างหาก”  

 

 

เอ้อร์ยาก็ไม่ต้องพยุงพี่สาวทั้งสองเดินแล้ว นางอยู่ตรงกลางแล้วคอยพยุงพวกพี่ๆ เดินมันน่าจะเหนื่อยมาก  

 

 

นางรีบเดินมาอยู่ข้างซ่งฝูหลิง คอยส่องทางให้ซ่งฝูหลิงเดินพร้อมกับพูดคุยไปด้วย “พั่งยา อาสามเป็นพ่อของเจ้า ช่างดีจัง ชีวิตเจ้าทำไมถึงได้ดีขนาดนี้”  

 

 

ประโยคนี้เหมือนเป็นการเปิดหัวข้อสนทนา เด็กสาวหลายคนต่างก็อิจฉาซ่งฝูหลิง  

 

 

ตอนนี้ต่างก็เป็นคนพเนจรเหมือนกัน พวกนางยังจะมาอิจฉาอะไรนะ?  

 

 

“อิจฉาบ้านเจ้าที่ได้กินไม่ฟั่นทุกมื้อ ตั้งแต่เด็ก อาสามกับอาสะใภ้สามไม่เคยให้เจ้าได้อดอยาก”  

 

 

ซ่งฝูหลิง “อะไรคือไม่ฟั่น?”  

 

 

“เอ๊ะ? คนในเมืองอย่างพวกเจ้าไม่เรียกว่าไม่ฟั่นหรือ? มันเป็นอาหารแห้งที่นำข้าวสาลีมาโม่บดให้เป็นผงแป้ง แล้วนำมานึ่ง”  

 

 

ซ่งฝูหลิงถามด้วยความสงสัย “พวกเจ้าก็กินแบบนั้น วันนี้ตอนเย็น ท่านย่าก็นึ่งอันนี้ไง”  

 

 

ต้ายาพูดเสียงเบา “ที่บ้านมีแป้งไม่กี่กิโล นั่นเป็นเพราะพวกเจ้ากลับมา ป้าใหญ่เดาว่าท่านย่าให้นึ่งอาหารแห้ง ก็คงหมายถึงนึ่งไม่ฟั่น นางถึงกล้าทำ พวกเราถึงได้กินมัน เจ้าคิดว่าจะมีทุกมื้อหรือ?”  

 

 

ซ่งฝูหลิงคิดถึงรสชาติของอาหารแห้งเมื่อตอนเย็น มันกระด้างมาก “นั่นแป้งหรือ ทุกวันนี้พวกเจ้ากินอาหารแห้งอะไร?”  

 

 

“ใช้พวกข้าวสาลีนำมาหุง ไม่เอาเปลือกออก กินแบบนั้น และยังมีข้าวโต้วซู”  

 

 

อาหารจะย่อยไหม? ซ่งฝูหลิงตกใจ  

 

 

เอ้อร์ยาพูดต่อจากคำพูดของพี่สาว “เพราะฉะนั้น พั่งยา ข้าถึงรอคอยให้เจ้ากลับมา นั่งนับนิ้วมือรอวันเจ้ามาถึง เมื่อเจ้ากับอาสามกลับมา ท่านย่าไม่เพียงนึ่งอาหารแห้งที่กินแล้วไม่ระคายคอ วันที่สองยังทำข้าวผักอีก”  

 

 

“อะไรคือข้าวผัก”  

 

 

“เจ้าจำไม่ได้หรือ? มันคือผักที่ปลูกอยู่ในสวนที่นำมาวางไว้บนข้าวแล้วต้ม ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว พวกเจ้ามาฉลองปีใหม่ ย่าก็จะใช้ผักที่ออกผลผลิตในฤดูหนาววางไว้ในข้าว ได้กินแล้วอร่อยมากเลย”  

 

 

ซ่งฝูหลิงขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า ถ้าพวกข้าไม่กลับมาในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวใบไม้ร่วงนี้ ท่านย่าก็ไม่ได้ให้พวกเจ้ากินจนอิ่มหรือ?”  

 

 

“ผักต้องเก็บไว้ตากแห้ง ไม่เช่นนั้นเราจะมีผักกินตอนหน้าหนาวได้อย่างไร เราไม่สามารถกินตามใจได้ ข้ากับต้าร์ยายังต้องไปหาผักในป่าอยู่บ่อยครั้ง”  

 

 

เถาฮวาพูดขึ้น “พั่งยา เจ้ากลับมาครั้งนี้ดูเหมือนจะลืมไปหลายเรื่องเลยนะ”  

 

 

“ไม่ใช่ลืม เป็นเพราะอยู่ในเมืองจนเคยชินต่างหาก พวกเจ้าเรียกอาหารแห้งว่าแป้ง แต่พวกข้าเรียกมันว่าหมั่นโถว ส่วนข้าวผัก ข้าเรียกว่าโจ๊ก”  

 

 

“ห๊ะ เป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าวแห้ง พวกเจ้าเรียกว่าอะไร?”  

 

 

ซ่งฝูหลิงฉลาด ไม่ต้องให้คนอธิบายก็ตอบกลับมา “เรียกว่าข้าวสวย”  

 

 

ต้ายากับเอ้อร์ยาก็รีบออกความเห็น ซ่งฝูหลิงขาวเพราะกินข้าวสวยทุกวัน พวกนางเมื่อไหร่จะเปลี่ยนเป็นคนผิวขาวบ้างนะ  

 

 

เอ้อร์ยาพูดเสริมขึ้นมา “ครั้งนี้อย่าว่าแต่ข้าวสวยเลย มันช่างห่างไกลจนไม่กล้าคิด วันที่สองแม้แต่โจ๊กก็ไม่มีแล้ว หมดหวัง”  

 

 

ซ่งฝูหลิง “…”  

 

 

“พวกเจ้ายังไม่เคยกินสักครั้งเลยหรือ?” แล้วถามย้ำอีกประโยค “โตมาขนาดนี้ก็ยังไม่เคยได้กิน?”  

 

 

เถาฮวามองน้องสาวก็พบว่าต้ายากับเอ้อร์ยาส่ายหน้าด้วยความเศร้าใจ นางพูดเสียงเบา   

 

 

“ข้าเคยกินข้าวเม็ดใหญ่ที่พั่งยาพูดถึง เมื่อหลายปีก่อน พ่อข้าไปช่วยเจ้าของที่ดินทำงาน เจ้าของที่ให้ค่าแรงเป็นข้าวสารมา…  

 

 

…พ่อบอกว่าตอนนั้นมีแต่คนแย่งกันทำงาน เพื่อที่จะได้เอาข้าวกลับไปให้คนที่บ้านได้กินสักคำ…  

 

 

…เขาแบกข้าวกลับมาที่บ้านทั้งที่เหน็ดเหนื่อยก็เพื่อให้พวกเราได้กิน ไม่ได้รับอนุญาตจากท่านย่า แม่ของข้าก็หุงข้าวสวย ข้ากินไปถ้วยหนึ่ง พี่ชายข้ากินไปสองถ้วย”  

 

 

ต้ายา เอ้อร์ยารีบหันหน้ามามองเถาฮวา “เป็นข้าวสีขาวบริสุทธิ์? ไม่มีอะไรเจือปน?”  

 

 

เถาฮวาพยักหน้า  

 

 

“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”  

 

 

“มีกลิ่นหอมไหม หอมติดลิ้น?”  

 

 

เถาฮวากัดริมฝีปาก หลังจากกินข้าวมื้อนั้น แม่ของนางก็ทะเลาะกับพ่อของนาง ท่านย่าก็เช่นกัน บอกว่าข้าวมื้อนั้นสามารถแบ่งกินได้อีกหลายมื้อ  

 

 

“จำไม่ค่อยได้แล้ว พวกเจ้าควรไปถามพั่งยา นางกินบ่อย”  

 

 

ต้ายากับเอ้อร์ยาก็หันหน้าไปมองซ่งฝูหลิง มองสักพักยังไม่ทันที่ซ่งฝูหลิงจะตอบกลับมา พวกนางก็หันกลับมามองเถาฮวาอีกครั้ง  

 

 

ในความคิดของพวกนาง การดำเนินชีวิตแบบซ่งฝูหลิง เป็นได้เพียงแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ถามคนที่เคยกินข้าวสวยทุกวัน นางคงตอบออกมาไม่ได้ ไม่เหมือนพี่เถาฮวาที่สามารถคุยเรื่องเดียวกันรู้เรื่อง  

 

 

ในช่วงเวลาค่ำคืนอันเงียบสงัด ซ่งฝูหลิงได้ฟังก็รู้สึกปวดใจ  

 

 

แย่แล้ว จู่ๆ นางก็อยากจะคุยโวโอ้อวดขึ้นมาเสียจนไม่สามารถระงับมันได้  

 

 

ซ่งฝูหลิงโบกมือ “อย่าถามเลย พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ในอนาคตอันใกล้ข้าจะต้องให้พวกเจ้าได้กินสักครั้งหนึ่ง กินคนละสองชามเลยนะ ห้ามกินเหลือด้วย!”  

Related

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ทะลุมิติทั้งครอบครัวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย! แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset