จูซื่อกับเหอซื่อ ทั้งสองคนเป็นลูกสะใภ้ แน่นอนว่าต้องออกมาต้อนรับดูแลท่านย่าหม่า นำเสื้อผ้าที่แห้งแล้วกับรองเท้าฟางมาให้เปลี่ยน
ซ่งฝูไฉยื่นน้ำซุปร้อนชามใหญ่ให้ซ่งฝูเซิง อีกมือหนึ่งก็รับเสื้อซัวอีจากน้องสามที่ถอดออกมา “เจ้าไปไหนมา ท่านแม่เป็นห่วงมาก นางกลัวว่าพวกเจ้าอยู่บนเขาจะเกิดเหตุร้าย จึงต้องไปดูด้วยตนเอง”
ซ่งฝูเซิงยังไม่ได้ตอบคำถาม พวกเกาถูฮู่ก็ถามเช่นกัน ว่าเจ้าไปทำอะไรมา?
ซ่งฝูเซิงไม่กล้าบอกว่าเขากำลังนอนอยู่ในเต็นท์ มันจะดูเหมือนว่าเขาไม่กังวลกับเรื่องใดๆ นี่เป็นช่วงหลบหนีลี้ภัยยังจะทำเป็นไม่รู้สึกสะทกสะท้าน
อีกอย่าง เพราะไม่ได้ออกไปช่วยคนอื่นทำงาน จึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เขาจึงดื่มน้ำซุปอึกใหญ่แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ใครโดนงูกัด ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ซ่วนเหมียวจื่อ ใครนะ ลูกชายของจงอวี้ โชคดีไป งูไม่มีพิษ”
ซ่งฝูเซิงดื่มน้ำซุปร้อนๆ จนหมด ก่อนจะเช็ดปาก เขาขมวดคิ้วพูด “แน่ใจหรือว่ามันไม่มีพิษ?” สายตาของเขาก็เหลือบมองไปที่ลูกชายคนเล็กของท่านยายหวัง “เจ้าต้องสังเกตลูกชายของเจ้าอย่างละเอียด พวกเราดูออกหรือว่ามีพิษหรือไม่ อย่าคาดเดา หากรู้แต่เนิ่นๆ จะได้หาทางป้องกัน ถ้าไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องปล่อยให้เลือดไหลออกมา”
หวังจงอวี้ลูกชายคนเล็กของท่านยายหวัง สายตาเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เขาชี้ไปที่ชามเปล่าที่อยู่ในมือของซ่งฝูเซิง “ไม่เป็นไรจริงๆ พี่เขยเป็นคนดูให้แล้ว และท่านป้าก็ยังให้ยาสมุนไพรกับเขาแล้ว อีกอย่างพี่สาม น้ำซุปที่ท่านดื่มอยู่นั่นก็เป็นซุปจากงู”
ซ่งฝูเซิงถลึงตาใส่หวังจงอวี้ แสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ
หวังจงอวี้ครุ่นคิด ท่านพี่ก็ดูเอาสิ ทำไมถึงไม่เชื่อเล่า
เขาใช้มือชี้ไปที่ชามเปล่านั้นอีกครั้งและกล่าวย้ำ “จริงน่ะ เป็นงูตัวนั้นที่กัดลูกชายข้า ท่านพี่ดูสิ ท่านพี่ดื่มเข้าไปก็ไม่เห็นเป็นอะไรไม่ใช่หรือ?”
“โอ่ว!” ซ่งฝูเซิงวิ่งออกนอกถ้ำไปทั้งที่ฝนกำลังตก เขาโก่งตัวอาเจียนอย่างหนัก
รู้สึกไม่สบายไปทั่วร่างกาย ตัดสินใจล้วงคอตนเองให้อาเจียนออกมา อาเจียนออกมาจนน้ำตาไหล ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นภาพเมื่อหลายปีก่อนที่มีงูใหญ่กัดผู้เฒ่าในหมู่บ้านจนเสียชีวิต
ในปีนั้น เขาแอบอยู่ด้านหลังก้อนหิน มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน อย่าคิดว่าปากของมันไม่กว้าง ในยามที่มันอ้าปากจนสุดแล้วนั้นจะกว้างใหญ่มาก กัดคนเสร็จยังใช้สายตาน่ากลัวมองมาที่เขา
ยังมีเกล็ดงูนั่นอีก “โอ่ว!!”
ทุกคนเห็นซ่งฝูเซิงอาเจียนก็ตกตะลึง เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น?
ท่านย่าหม่าสงสารจับใจ เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็วิ่งออกไปอีก นางช่วยลูบหลังลูกสามและคอยกางร่มกันฝนที่ตกลงมาให้ ทำให้นางไม่มีกะจิตกะใจกินเนื้อ
ต่างจากเฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิง สองคนนี้ เมื่อก่อนไม่เคยกินเนื้องูและไม่เคยตกใจกลัวงูมาก่อน เข้าในถ้ำก็ไปกินอาหารที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
กินอาหารที่ทำไว้เสร็จเรียบร้อยและมีประโยชน์ ไม่ต้องเห็นขั้นตอนการชำแหละแล่หนังงูออกมาเพื่อเอาดีงู
สองคนแม่ลูก เพียงแต่ได้กลิ่นหอม ชะโงกหน้ามองดูในหม้อ ไม่มีหัวงูอันน่ากลัว หนังก็ถลกออกแล้ว เหลือแต่เนื้อ
ในถ้ำพื้นที่ก็ไม่ได้กว้าง แค่ฝาหม้อเปิดออกกลิ่นก็หอมฟุ้ง น่ากินมาก
เฉียนเพ่ยอิงยังคงลังเลเล็กน้อย นางถามเฉียนหมี่โซ่วที่ถูกนางอุ้มอยู่ “เจ้ากล้ากินไหม?”
เด็กน้อยวัยห้าขวบตอบ “ท่านป้า นี่แค่กินเนื้อ ทำไมจะไม่กล้า ไม่ใช่ไปฆ่าคนสักหน่อย”
เฉียนเพ่ยอิงขมวดคิ้ว นางรู้สึกว่าฟังดูมีเหตุผล จึงรีบหยิบตะเกียบลงมือกิน
ซ่งฝูหลิงกำลังพูดให้กำลังใจตนเอง นางคิดในใจ ข้าไม่เคยกินมาก่อน เพียงแค่นึกสงสัยว่าเนื้องูจะมีรสชาติอย่างไรกัน
นางถามเถาฮวา “พี่สาว อร่อยไหม?”
“อร่อย”
ซ่งฝูหลิงเม้มปาก อร่อย งั้นข้าขอลองลิ้มรสชาติสักหน่อย กินแค่นิดเดียวเท่านั้น
ซ่งฝูเซิงที่อาเจียนอย่างหนักกลับมาที่ถ้ำอีกครั้งและเห็นภรรยากับบุตรสาวของเขากินซุปงูจนเหงื่อผุดบนใบหน้าเล็กๆ
เขายื่นนิ้วมืออันสั่นเทาชี้ไปทางพวกนาง “พวกเจ้าสองคนช่างน่ากลัวมาก”
เขาตัดสินใจว่าจะอยู่ให้ห่างไกลจากแม่ลูกสองคนนี้หน่อย เพราะเขารับไม่ได้ที่ภรรยากับบุตรสาวมีงูอยู่ในท้อง
Related