ทะลุมิติทั้งครอบครัว – ตอนที่ 58 โอ้ ให้ตายเถอะ!

พวกผู้หญิงดูเหมือนคนทำงานหนัก ทำงานด้วยความอดทน

 

 

ตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ต่างคิดหาวิธีการเก็บถนอมอาหาร เหมือนหนูแฮมสเตอร์ที่ย้ายอาหารเข้าถ้ำไม่หยุดหย่อน

 

 

ครุ่นคิดว่าจะกินอะไรที่เป็นการประหยัดอาหารและทำให้อิ่มท้องได้นาน สะดวกในการพกพา และคิดจัดเตรียมเสื้อผ้าให้สามีกับลูกว่าควรใส่อะไรให้ร่างกายอบอุ่น เตรียมตัวเพื่อวันข้างหน้า

 

 

สามวันมานี้ พวกผู้ชายแต่ละคนกลับมีเวลาว่าง มองฝนตกหนักด้วยความกลัดกลุ้ม

 

 

ในเพิงพักพิง ซ่งหลี่เจิ้งครุ่นคิดหลายเรื่องในใจด้วยความวิตกกังวล

 

 

สามวันที่ผ่านมา ไม่มีครอบครัวอื่นขึ้นเขามาอีกแล้ว

 

 

ไม่รู้ว่า เพราะไม่เห็นสัญลักษณ์ที่ทำทิ้งไว้ให้ หรือว่าเกิดเหตุการณ์อะไร

 

 

คนในหมู่บ้าน ตกลงโดนเกณฑ์ไปเป็นทหารหรือไม่? ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนปลอดภัยดีไหม

 

 

เกาถูฮู่นั่งไขว่ห้างอยู่บนแคร่เอ่ยถามขึ้น

 

 

“จ้าวฝูกุ้ยหายไปไร้วี่แววเลย? เขาพาชุนฮวากลับหมู่บ้านไปแล้วหรืออย่างไร เขาหายไปสามวันแล้ว หรือว่ารอฝนหยุดตกแล้วค่อยกลับมา? ภรรยาของเขานั่น ต่อให้ยกเงินให้ข้าสองตำลึง ถึงแก่ก็ไม่เอานาง”

 

 

คิดสักพักก่อนพูดขึ้นมาอีก “หากกลับไปที่หมู่บ้านจริง จ้าวฝูกุ้ยยังสามารถบอกพวกเราได้ว่าในหมู่บ้านสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

แม้เกาถูฮู่จะพูดออกมาแบบนี้ แต่เขาก็อดครุ่นคิดในใจไม่ได้ ฝนตกหนักขนาดนี้ ถ้าเดินตามไปทัน สองพ่อลูกก็ไม่มีสถานที่หลบฝน พื้นที่โดยรอบก็รกร้าง คงไม่กลับไปยังหมู่บ้าน หากฉลาดหน่อยคงเลือกวิธีแบบนี้

 

 

สามวันแล้ว ไม่มีข่าวคราว ถ้าหิวก็คงหิวเจียนตาย

 

 

เถียนสี่ฟามองไปยังภูเขาลูกใหญ่แล้วถอนหายใจ

 

 

อย่าว่าแต่ล่าสัตว์เลย แค่เขาปีนขึ้นภูเขาไปก็ลำบากแล้ว

 

 

เท้าเหยียบแต่ดินโคลน ไม่ระวังอาจจะลื่นหกล้มได้

 

 

สองวันมานี้เปลี่ยนมาเป็นข้าวต้มสองมื้อ ข้าวต้มสองมื้อก็ไม่พอยาไส้ หนึ่งมื้อมีคนกินด้วยยี่สิบกว่าคน ต่อให้ประหยัดอย่างไร ข้าวห้ากิโลกรัมในแต่ละวันก็ค่อยๆ หมดไป

 

 

สามวันที่ผ่านมา เทใช้จนกระสอบอาหารว่างเปล่าไปหนึ่งกระสอบแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป…

 

 

เฮ้อ อยากออกไปล่าสัตว์ให้แม่ยายทำกับข้าวเพิ่ม ท้องฟ้าก็ไม่เป็นใจ

 

 

หวังจงอวี้ ลูกชายคนเล็กของคุณยายหวังพูดขึ้น “ฝนอย่าได้ตกต่อไปเลย หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ฟืนของพวกเราก็ไม่มีเหลือแล้ว พวกกิ่งไม้ ใบไม้ที่ไม่เปียกชื้น ก็มีเหลือไม่เยอะแล้ว นี่ยังดีที่พี่สามเผาถ่านได้ พวกเราเลยไม่ต้องกังวลใจมาก หากใช้ฟืนหมดก็ยังนำพวกมันมาใช้ทดแทนได้ช่วงระยะหนึ่ง”

 

 

คนอื่นต่างก็เริ่มพูดถึงปัญหาต่างๆ

 

 

ยกตัวอย่างเช่น การดื่มกิน ขับถ่ายไม่สะดวก สัมภาระเปียกชื้น

 

 

และยังมีสัตว์ที่อยู่ในเพิงพวกนั้นอีก ฝนตกหนักสามารถทำให้พวกวัวกับล่อเหล่านั้นป่วยได้ง่าย หากป่วยขึ้นมาก็สามารถติดต่อไปสู่ตัวอื่นได้ มิหนำซ้ำเวลาพวกมันอยู่บนภูเขา ก็ถูกแมลงอื่นกัดอีก

 

 

ซ่งฝูเซิงกังวลใจว่าถ้าฝนตกเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้ดินจะไม่ถล่มลงมาเพราะป่าดงดิบยุคโบราณมีต้นไม้เยอะ พวกต้นไม้ยังสามารถช่วยป้องกันได้

 

 

ดังนั้นในประวัติศาสตร์ยุคโบราณจึงเกิดเหตุการณ์ดินถล่มน้อยมาก ไม่เหมือนยุคปัจจุบันที่มักจะมีเหตุการณ์นี้

 

 

แต่เขากังวลกับพื้นที่ภูเขาที่กว้างใหญ่ เกรงว่าหากดินบนภูเขาถูกน้ำฝนชะล้างไปจนหมดจะทำให้ก้อนหินกลิ้งตกลงมา

 

 

เต็นท์ของพวกเขาอยู่บนต้นไม้ ถ้าก้อนหินตกลงมาเข้าโดนพอดีล่ะ

 

 

หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

 

 

อย่าประมาทว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ซ่งฝูเซิงเชื่อเรื่องนี้อย่างมากว่า ครอบครัวเขาสามคนเป็นพวกดวงซวย มิเช่นนั้นคงไม่หลุดมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้

 

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวล ซ่งฝูเซิงเปิดซิปกระเป๋าสะพาย เขานำกล้องส่องทางไกลออกมา และสวมชุดกันฝน ก่อนใส่งอบจีนเดินออกมาจากเพิงพักพิง

 

 

เกาถูฮูเห็นก็ไม่สามารถนั่งไขว่ห้างต่อไปได้อีกแล้ว เขารีบใส่รองเท้าฟางและสวมเสื้อซัวอีตามออกไป

 

 

คนอื่นต่างก็ทยอยเดินตามซ่งฝูเซิงไป

 

 

ไม่ผิดจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องกล้องส่องทางไกล ทุกคนต่างประหลาดใจมาก สองวันที่แล้วถึงรู้ว่ามี “สิ่งของล้ำค่า” นี้

 

 

แค่นำมันออกมาก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง

 

 

แต่ทุกคนมีคำพูดอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่ “สิ่งของล้ำค่า” สิ่งนี้มันยังใช้การได้?

 

 

ตอนที่ซ่งฝูเซิงพูดออกมาดูช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่เขาไม่เคยนำออกมาใช้ และคนอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น

 

 

พวกผู้ชายยืนตากสายฝนพูดคุยกัน

 

 

“เสี่ยวซาน ครั้งนี้เห็นไหม?”

 

 

ซ่งฝูเซิงส่ายหน้า “ยังมองไม่เห็นเหมือนเดิม”

 

 

“เจ้าใช้มันถูกวิธีหรือเปล่า?”

 

 

ซ่งฝูเซิงส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ตอนนี้มองเห็นได้น้อยเพราะฝนตกหนักและยังมีหมอกลง รอจนฝนหยุดตก ไม่มีหมอกแล้ว รับรองได้เห็นถนนเล็กๆ สายนั้นแน่นอน และยังสามารถมองเห็นไปถึงว่า มีคนเดินผ่านไปผ่านมาบนถนนนั้นหรือไม่”

 

 

คำพูดนี้เหมือนกับไม่ได้พูด เพราะพวกเขาอยากรู้ข้อมูลในตอนนี้มากกว่า

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งคาบไปป์จีน แต่ยาสูบไม่ได้จุดเพราะเขาเสียดายใบยาสูบที่เหลืออยู่ไม่มาก

 

 

ที่คาบไว้ในปากก็เพราะความเคยชิน

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งขมวดคิ้วจนเป็นริ้วเป็นร่องแทบจะหนีบยุงตายได้ เขาครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

 

 

“ถึงตอนนี้เราจะคาดหวังกับสิ่งของล้ำค่านี้ไม่ได้ แต่พวกเราก็จะมามัวแต่รออยู่ตรงนี้ไม่ได้เช่นกัน ถ้ำนี้ก็ไม่ใช่บ้าน ไม่สามารถอาศัยอยู่ไปตลอดชีวิตได้ พวกเราจำเป็นต้องรู้สถานการณ์ด้านล่าง ถึงจะวางแผนการต่อไปได้”

 

 

ซ่งฝูเซิงช่วยเขาสรุป “ลุงหลี่เจิ้ง ท่านจะลงเขารึ”

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งคิดในใจ คนปากมากนี่นะ? คำพูดเช่นนี้ไม่ควรพูดออกมาเลย

 

 

เขาจะลงเขาไปได้อย่างไรกัน แก่จนอายุปูนนี้แล้ว ไม่ใช้พวกคนหนุ่มที่มีเรี่ยวแรง จะให้เขาฝ่าสายฝนเสี่ยงอันตรายลงไป? คงไม่ปลอดภัยถ้าเขาเกิดลื่นล้มขึ้นมา

 

 

“ถ้าจะให้ข้าลงเขาไปก็ได้ แต่ว่าขาข้าไม่ค่อยดี จะทำให้เสียเวลา อายุข้าก็มากแล้ว ข้าว่าพวกเจ้าลองปรึกษากันดูก่อนเถอะ ลองดูสิว่าจะเป็นใครดี ฝูเซิง เจ้าเป็นคนนำ”

 

 

ซ่งฝูเซิงไม่อยากลงไป ด้านนอกฝนตกและก็มีลม หากลงเขาไปก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร

 

 

แต่ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขา หวังว่าเขาจะมีข้อเสนอแนะ

 

 

ซ่งฝูเซิงบอกว่าเขาไม่เคยปีนเขามาก่อน มองมาที่เขาก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่มีประสบการณ์ แต่ทุกคนก็บอกว่า สมองดีก็เพียงพอแล้ว เห็นอะไรจะได้ช่วยพวกเขาวิเคราะห์

 

 

ซ่งฝูเซิงบอกว่า มิเช่นนั้นก็ให้แต่ละครอบครัวส่งตัวแทนไป เส้นทางเดินไม่ดี สิบสี่คนเดินลงไปด้วยกัน อย่างน้อยจะได้คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้

 

 

พี่ชายใหญ่ซ่งฝูไฉได้ยินก็รีบยืนขึ้นเพื่อบอกว่าเขาจะไปเอง เขาบอกว่าน้องสามร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เขาเป็นพี่ใหญ่จึงขอไปแทนแล้วกัน

 

 

ทุกคนได้ฟังก็รู้สึกไม่พอใจ ไม่พอใจเรื่องอะไรนั้นก็บอกไม่ถูก แต่อยากลงเขาไปกับซ่งฝูเซิงมากกว่า ไม่ได้อยากไปกับซ่งฝูไฉ พวกเขารู้สึกว่าการมีซ่งฝูเซิงที่เป็นคนฉลาดหลักแหลมอยู่ด้วย ดูเป็นคนมีความสามารถ จึงรู้สึกอุ่นใจ เชื่อมั่นในตัวเขา

 

 

ซ่งฝูเซิงกำลังจะลงจากล่อ ไม่คิดว่าพรรคพวกจะร้องขอยืมกล้องส่องทางไกล

 

 

ว่ากันว่าถ้า “สิ่งของล้ำค่า” ใช้งานดีจริง แม้ว่าฝนจะตกหนักก็สามารถมองเห็นสภาพถนนภูเขาใหญ่ครึ่งลูกได้อย่างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องลงไปที่ตีนเขา

 

 

ถ้าจะขอยืมไฟแช็ค ซ่งฝูเซิงคงจะให้ยืมโดยไม่รีรอ แต่ถ้าเป็นกล้องส่องทางไกล? เขาเป็นคนแรกและเป็นเพียงคนเดียวที่มีอยู่ในครอบครองในยุคโบราณ

 

 

“ท่านพ่อ ท่านจะลงเขาไปจริงๆ หรือ?” ซ่งฝูหลิงเอ่ยถาม

 

 

ซ่งฝูเซิงรู้สึกกระดากอายที่จะบอกว่าเขาเป็นคนตระหนี่ ไม่อยากให้คนอื่นยืมกล้องส่องทางไกลจึงต้องลงเขาไปด้วยตัวเอง หากพูดแบบนั้นจะเป็นการเสียภาพพจน์ที่มีอยู่ในใจของบุตรสาว

 

 

“เฮ้อ ข้าต้องตามลงไปดูเสียหน่อย คนโบราณพวกนี้ ถ้าไม่ต้องล้างสมองก็ไร้ไหวพริบ ข้ากลัวว่าพวกเขาจะเสียเวลาลงจากเขาโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร ข้าเลยต้องตามลงไปด้วย”

 

 

เฉียนเพ่ยอิงหวีผมให้ซ่งฝูเซิงและใช้ยางรัดผมมัดผมเป็นจุกไว้ด้านบน บนหัวสวมงอบจีนทับอีกที ที่ใบหน้าสวมหน้ากาก ตรงคอและหูทาด้วยน้ำมันป้องกันยุง

 

 

นอกจากนี้นางยังใส่อาหารแห้งลงในกระเป๋าของสามี ในกระติกน้ำร้อนที่เติมน้ำร้อนลงไป ถุงน้ำผูกติดไว้กับเอว ข้างในใส่เหล้าขาวที่ร้านโบราณขาย แอลกอฮอล์ต่ำๆ ก็มีส่วนช่วยให้ร่างกายอบอุ่น

 

 

ซ่งฝูหลิงนั่งยองๆ เพื่อใช้สเปรย์พ่นฉีดน้ำส้มสายชูใส่ร่างกายส่วนล่างของพ่อนาง

 

 

ฉีดไล่ขึ้นไปจากรองเท้า ไปขากางเกง จนถึงหัวเข่า สักพักก็ใช้จนหมดกระป๋อง

 

 

พวกเขาไม่ได้เอาบัวรดน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในบ้านออกมา เพราะสิ่งนั้นใช้พื้นที่ในการจัดเก็บเยอะและโดดเด่นสะดุดตา สเปรย์ขวดเล็กนี้ ซ่งฝูหลิงเคยใช้ใส่เครื่องสำอางที่เป็นของเหลวก่อนพกขึ้นเครื่องบิน

 

 

เมื่อซ่งฝูเซิงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ออกเดินทาง

 

 

เขาเดินฝ่าเข้าไปท่ามกลางสายฝน เพิ่งเคลื่อนตัวไปไม่ทันไรก็หันมาจะเอ่ยปากกำชับ ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์

 

 

เฉียนเพ่ยอิงรีบโบกมือให้กับเขา “ข้ารู้ว่าท่านจะพูดอะไร อย่าพูดมากอีกเลย กล้าสือปาเซียงซ่งแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลใจ ท่านไปเถอะ”

 

 

เฮ้อ ทำไมภรรยาคนนี้ทำกับเขาแบบนี้นะ

 

 

คนสิบกว่าคน ออกเดินทางท่ามกลางฝนที่ตกหนัก มุ่งหน้าสู่เส้นทางลงจากภูเขา

 

 

ซ่งฝูเซิงได้เผชิญกับความยากลำบากในการลงเขา เป็นที่รู้กันดีว่านี่คือป่าดงดิบ ไม่มีถนนและฝนก็ตกหนัก การก้าวเดินแต่ละก้าวช่างยากลำบาก เท้าเหยียบย่ำดินโคลน ไม้เท้าพยุงตัวที่ถืออยู่ในมือก็แทบจะลื่นหลุดมือไป

 

 

หลังจากเดินไปสองชั่วยามกว่า เขาก็เริ่มหายใจเหนื่อยหอบ

 

 

ยิ่งเดินไปก็ยิ่งบ่นในใจ อยู่เฉยๆ ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? ยังจะอยากลงเขามาอีก หาเรื่องจริงๆ

 

 

เพียงแค่เผลอไม่ทันระวังก็มีเสียงคนล้มลง นี่เป็นครั้งที่สองที่ซ่งฝูเซิงสะดุดล้ม

 

 

เถียนสี่ฟาเดินนำทางอยู่ด้านหน้าสุด เขาเช็ดน้ำฝนบนใบหน้า ก่อนหันหน้ากลับไปตะโกนถาม “น้องสาม เจ้าเป็นอะไรไหม?”

 

 

คำพูดว่า “ไม่เป็นไร” ของซ่งฟู่เฉิง ติดค้างอยู่ในลำคอ แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีและชี้มือไปไม่ไกลมากนัก เขาพูดตะกุกตะกักด้วยความตกใจ “ข้า ข้า โอ้!”

 

 

มองเห็นจ้าวฝูกุ้ยที่หายตัวไปสามวัน ตอนนี้ร่างของเขากำลังขึ้นอืด ไม่รู้ว่าถูกสัตว์อะไรกัดกิน เนื้อตามร่างกายตลอดจนลำคอต่างถูกกินไปจนหมดแล้ว

 

 

เนื่องจากฝนตกลงมาจึงยังพอรักษาสภาพความสดของร่างไว้ได้บ้าง ถ้าฝนไม่ตก อย่าว่าแต่สัตว์ใหญ่เลย ตอนนี้แค่มดกับยุงก็คงกินร่างเขาไปจนหมดได้เช่นกัน

Related

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ทะลุมิติทั้งครอบครัวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย! แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset