ทะลุมิติทั้งครอบครัว – ตอนที่ 71 ข้าไม่ยอมรับ / ตอนที่ 72 ป่วย

ตอนที่ 71 ข้าไม่ยอมรับ

 

 

ซื่อจ้วงรีบลุกขึ้นมาด้วยความปราดเปรียว ไม่ทันไรก็สามารถจับกุมโจรพี่น้องคู่นี้ได้ เพียงแต่ว่าบาดแผลฉีกขาดมีเลือดไหลออกมาอีก

 

 

ได้ยินเสียงบุตรสาวร้องตะโกนด้วยความตกใจ ซ่งฝูเซิงก็รีบลืมตาตื่นขึ้นมา

 

 

เดิมทีซ่งฝูเซิงอยากจะลุกขึ้นทันที แต่ยังไม่ทันได้ลุกก็โดนเฉียนหมี่โซ่วที่นอนอยู่ในอ้อมแขนเขาทำให้เขาสะดุดจนมึนงงเสียก่อน

 

 

ซ่งฝูเซิงเดินสะดุดล้มลงกับพื้น เขารีบลุกขึ้นมา ก่อนยื่นมือเข้าขวางเพื่อปกป้องลูกสาวที่อยู่ข้างหลังและตะโกนถามเสียงดัง “ใครกัน!”

 

 

คนที่มาเป็นใคร ยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะบอก เฉียนหมี่โซ่ววัยห้าขวบก็พุ่งตัวเข้าไปทั้งที่ผมปล่อยสยาย เขารู้สึกว่าลุงช่างโง่เขลาเสียจริง เวลาแบบนี้ยังจะมาถามอีก?

 

 

ตั้งโทษให้พี่น้องทั้งสองคนนี้ เสียงเด็กน้อยตะโกนออกมา “พวกเจ้าแอบขโมยก้อนข้าวเหนียวของข้า พวกเจ้าช่างกล้ามาขโมยก้อนข้าวเหนียว ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตาย!”

 

 

เฉียนหมี่โซ่วใช้ศีรษะพุ่งเข้าชน กำปั้นเล็กๆ และขาน้อยๆ ทั้งทุบ ทั้งเตะและใช้ปากกัด

 

 

ร่างกายแสดงอารมณ์โกรธเป็นอย่างมาก กัดฟันสู้กับคนถึงขั้นกะเอาให้ตาย

 

 

เฉียนหมี่โซ่วโมโหมาก เขาไม่สนใจหากว่าแค่มาขโมยอาหาร เพราะนั่นเป็นเรื่องของพวกผู้ใหญ่

 

 

แต่กล้าดีอย่างไร มาขโมยก้อนข้าวเหนียวที่พี่สาวของเขาหนุนไว้ใต้หมอน ขโมยของรักของเขาไป เขาไม่อาจให้อภัยได้ ต้องข้ามศพเขาไปก่อน

 

 

ซ่งฝูเซิงดึงปกคอเสื้อของเฉียนหมี่โซ่วที่กำลังใช้แรงเตะสุดกำลังกลับมา

 

 

เด็กคนนี้อารมณ์ร้อน ไม่สามารถปล่อยให้เข้าใกล้พวกนั้นได้อีก ถึงแม้สองคนนั้นจะถูกคุมตัวได้แล้ว แต่ถ้าไม่ดูให้ดี เฉียนหมี่โซ่วอาจถูกลักไปเป็นตัวประกันได้

 

 

“ท่านลุง พวกเขาแย่งก้อนข้าวเหนียวของข้า แย่งก้อนข้าวเหนียวข้าไป”

 

 

“ข้าได้ยินแล้ว รู้เรื่องแล้ว ข้าจะจัดการพวกมันเองได้ไหม? เจ้าเชื่อฟังหน่อยสิ!”

 

 

เฉียนหมี่โซ่วถูกซ่งฝูเซิงส่งต่อไปให้เฉียนเพ่ยอิง เขาแหงนหน้าร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของนาง “พี่สาว พวกเขาแย่งก้อนข้าวเหนียวนั้นไปแล้วใช่ไหม? รีบดูก้อนข้าวเหนียวของข้าที ก้อนของข้า ฮือๆ”

 

 

โอ้ ให้ตายเถอะ เฉียนหมี่โซ่วทำไมเอะอะโวยวายเช่นนี้ ซ่งฝูหลิงทำอะไรไม่ถูก น้องชายก่อนออกเดินทางร้องไห้อย่างหนักอยู่ครั้งหนึ่ง และจากนั้นก็ไม่ได้ร้องไห้แบบนี้อีกเลยจนถึงตอนนี้

 

 

เฉียนเพ่ยอิงรีบปลอบเฉียนหมี่โซ่วที่อยู่ในอกและโบกมือ “เจ้ารีบหน่อย เปิดให้พวกเราดู”

 

 

ก้อนข้าวเหนียวที่ถูกผ้าห่อไว้ถูกส่งมาให้เฉียนหมี่โซ่ว “เจ้าเปิดออกดูเองสิ มันยังอยู่ ไม่ต้องกังวลแล้ว”

 

 

ซ่งฝูหลิงก็ปลอบโยนน้องชายต่อ “ข้าจะให้พวกเขาแย่งไปได้อย่างไร พวกเขามาถึงตรงหน้าข้า ข้าก็เห็นแล้ว ยังไม่ทันแย่งก้อนข้าวเหนียวของพวกเราก็ถูกจับกุมแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลย”

 

 

ทุกคนที่ตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ด้วยความตื่นตระหนก ต่างคนต่างถืออุปกรณ์เข้ามาล้อมไว้ตอนนี้ได้ยินก็พอเข้าใจเรื่องราวต่างๆ แล้ว

 

 

โอ้ แม่เจ้า โจรสองคนนี้มาเพื่อขโมยก้อนข้าวเหนียวที่พั่งยานอนหนุนศีรษะไว้หรือ

 

 

สองโจรพี่น้อง ใครเขาขโมยก้อนข้าวเหนียวกัน?

 

 

สองพี่น้องที่โดนจับกุมคุกเข่ากับพื้น พวกเขาหันไปมอง “เจ้าตัวการ” ก้อนข้าวเหนียวหลังจากที่เปิดห่อผ้าออกมา

 

 

ใครจะขโมยเจ้านี่กัน? ให้พวกเขาสองพี่น้องฟรีๆ ยังไม่เอาเลยมั้ง

 

 

“ไม่ใช่น่ะ พวกเจ้าฟังพวกข้าสองคนอธิบายก่อน”

 

 

ซ่งฝูเซิงบอกไม่ต้องอธิบาย เขาจับใจความตอนอยู่ในเหตุการณ์ได้ก็พอ เขาไม่มีเวลามาฟังคำอธิบาย

 

 

ในหูของเขามีแต่เสียงเด็กที่สะดุ้งตื่นตกใจ ร้องไห้ดังระงมตามเฉียนหมี่โซ่ว

 

 

ลากพวกเขาออกไปทุบตีด้านนอกรถ

 

 

พวกเถียนสี่ฟาจับพี่น้องสองคนนี้ไว้แล้วเริ่มลงมือทุบตี ตีไปสักพัก ตีจนใบหน้า จมูกของพวกเขาบวม และถามพวกเขาว่ายอมรับผิดหรือไม่ น้องชายที่ฉลาดเป็นกรดรีบยอมรับผิดทันที

 

 

แต่น้องชายลืมไปว่ามีพี่ชายที่เป็นคนดื้อดึง พี่ชายจึงตะโกนเถียงออกมาเสียงดัง “ข้าไม่ยอม”

 

 

เจ้าไม่ยอม ก็โดนตีต่อไป

 

 

จะยอมรับผิดหรือไม่ยอม? ตอนนี้โดนตบจนเลือดไหลออกจากจมูกแล้วนะ

 

 

“ข้าไม่ยอมรับ ข้าไม่ได้ขโมยก้อนข้าวเหนียว!”

 

 

ยังไม่ทันที่พวกเถียนสี่ฟาจะลงมือ น้องชายที่เป็นหนึ่งในโจรสองพี่น้องก็เข้าไปตบหน้าพี่ชายตัวเองฉาดใหญ่ “ท่านพี่ ท่านจะยอมรับได้แล้วหรือยัง”

 

 

“แต่ข้าไม่ได้ขโมยก้อนข้าวเหนียวจริงๆ!”

 

 

พี่ชายเริ่มตาแดง น้ำตาไหลออกมาด้วยความน้อยใจ โดนผีหลอกไม่พอ ยังมาถูกกล่าวหาว่ามาขโมยก้อนข้าวเหนียวนี้อีก

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 72 ป่วย

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งพาคนมาตรวจสอบอีกรอบ เกรงว่าสิ่งของจะหายและได้อบรมคนสี่คนที่เป็นยามรักษาการตอนกลางคืน บอกไปว่าพวกเขาทำแบบนี้ไม่ได้ ทำแบบนี้จะคุ้มค่ากับที่ทุกคนรวบรวมปัวปัวให้กับพวกเจ้าไหม?

 

 

ต้องเบิกตากว้างมองให้รอบด้าน มิใช่ว่าแม้แต่กองไฟดับก็ยังไม่รู้เรื่อง

 

 

พวกผู้หญิงต่างปลอบโยนเด็กๆ ของตนเองให้รีบนอนต่อเพราะตอนฟ้าสางก็ต้องออกเดินทาง ปากก็ร้องเพลงกล่อมเด็กพื้นบ้านจำพวกเพลงมัวมัวเหมาเอ๋อร์

 

 

เฉียนเพ่ยอิงก็กำลังกล่อมเฉียนหมี่โซ่วเช่นกัน อุ้มแกว่งเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนไปมาและตบหลังปลอบเบาๆ

 

 

นางเข้าใจว่าที่เจ้าเด็กนี่มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรง น่าจะเป็นเพราะกำลังงัวเงีย

 

 

และอีกด้านคงเป็นเพราะก้อนข้าวเหนียวสองก้อนนั้นมีความสำคัญสำหรับเขามาก นั่นเพราะท่านปู่ได้มอบภารกิจนี้ให้กับเขา มันเป็นสิ่งของเพียงสิ่งเดียวที่ต้องรักษาไว้ให้ดี

 

 

ดังนั้นตั้งแต่ตอนที่พบเจอเด็กคนนี้จนถึงเวลานี้ ไม่ว่าเวลาไหนเขาก็จะแบกมันไว้ตลอดเวลา

 

 

มอบก้อนข้าวเหนียวนั่นให้กับนางถือ นั่นก็เพราะเห็นแก่หน้าป้าอย่างนาง เขาถึงได้ให้ซ่งฝูหลิง ส่วนท่านลุงนั้นเขาไม่เชื่อถือ ไม่ให้จับ ไม่ให้ลูบคลำเพราะไม่ไว้วางใจ

 

 

ซ่งฝูหลิงเลื่อนหน้ากากขึ้นไว้บนหน้าผาก นางเทน้ำร้อนเพื่อให้เฉียนหมี่โซ่วดื่ม “มาดื่มน้ำหน่อย ดื่มน้ำสักอึก อย่าร้องไห้อีกเลย เจ้าร้องไห้จนสะอึกสะอื้นแล้ว”

 

 

เฉียนหมี่โซ่วจิบน้ำเสร็จ ก็หันมาพิจารณาซ่งฝูหลิงก่อนจะหลุบเปลือกตาลง

 

 

ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็หันมามองซ่งฝูหลิงอีกรอบ “พี่สาว ต่อไปท่านต้องระวังหน่อย”

 

 

หลังจากที่ผ่านการครุ่นคิดในครั้งนี้ เขายังสามารถให้นางนอนหนุนศีรษะต่อไปได้

 

 

ซ่งฝูหลิงรีบพยักหน้ากล่าวด้วยความตื้นตันใจ “ถ้างั้นต้องขอบคุณหมี่โซ่วแล้ว ต่อไปข้าจะระมัดระวังไม่ให้คนอื่นเอาไปได้” พูดจบ นางก็หันมาสบตากับเฉียนเพ่ยอิง

 

 

สองแม่ลูกต่างคนต่างก็รู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้ที่โจรจะมาขโมยก้อนข้าวเหนียว พวกมันคงตั้งใจมาขโมยสิ่งของอื่นมากกว่า

 

 

แต่พวกนางไม่กล้าพูดออกไปนะสิ เด็กคนนี้เชื่อมั่นว่าเป็นก้อนข้าวเหนียว ก็อย่าได้ทำให้เขาสะเทือนใจจนต้องมาร้องไห้กลางดึกเลย

 

 

ซ่งฝูหลิงเหล่มองกระบอกน้ำร้อนเก็บอุณหภูมิที่วางอยู่ข้างกายนางด้วยแววตาเป็นประกาย

 

 

ซ่งฝูเซิงทำแผลใหม่ให้กับซื่อจ้วงเป็นอันดับแรก เขาเริ่มรู้สึกกังวลใจ ยาที่ให้กับซื่อจ้วงก่อนจะหลบหนีมานั้นใกล้หมดแล้ว แต่รอยแผลกลับไม่ดีขึ้นเลย ยามีพอให้ใช้ได้เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ไม่เหลือให้ใช้ในวันต่อไป จะไปหาหมอที่กำลังอพยพแล้วมียารักษาโรคพวกนี้ได้จากที่ไหนกัน ไม่มียาก็ได้ เพราะยุคโบราณใช้พืชสมุนไพรเป็นยาได้ ขอเพียงหมอท่านนั้นรู้จักสมุนไพรที่ว่าก็พอ

 

 

เกาเถี่ยโถ่วยังไม่รีบนอน เขารีบเข้ามาถาม “อาสาม พี่ซื่อจ้วงมีวิทยายุทธ? ท่านสามารถให้เขาสอนพวกข้าตอนช่วงเวลาพักผ่อนได้ไหม?”

 

 

“เจ้าถามเขาเองสิ”

 

 

พูดจบ ซ่งฝูเซิงก็ลุกขึ้นเพื่อไปดูโจรที่ถูกตบตีคู่นั้น

 

 

ไม่คาดคิดว่าสองพี่น้องคู่นั้นจะฆ่าฟันกันเองแล้ว น้องชายตบหน้าพี่ชายให้ยอมรับผิด พี่ชายถีบน้องชายหลายทีและบอกว่าเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตีข้า แล้วทั้งสองคนก็ถูกพวกพี่เขยตีจนเลือดไหลออกจากจมูก

 

 

ซ่งฝูเซิงไม่มีกะจิตกะใจมาคอยดูเรื่องวุ่นวาย เขาต้องรีบไปพักผ่อน

 

 

เขาบอกพวกมันให้ไสหัวออกไป อย่ามาให้เขาเห็นหน้าอีก และอย่าคิดจะมาเอาสิ่งของของพวกเขา ถ้าพบกันอีกหรือเห็นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จะตีขาให้หัก

 

 

เมื่อบอกกับโจรสองพี่น้องเสร็จก็ปล่อยพวกเขาไป

 

 

พวกลี้ภัยที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกันได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวบางส่วน ถึงแม้ว่าจะมีเสียงเด็กร้องไห้ดังรบกวนก็ไม่มีปัญหาในการฟัง ในใจต่างมีความคิดเดียวกัน

 

 

คนพวกนั้น อย่ามองแต่ว่ามีกำลังคนตั้งมากมาย นั่นเป็นแค่เปลือกนอกที่ดูดี

 

 

นอกจากล่อ วัวควายที่สามารถฆ่ามากินได้ในอนาคต คงไม่มีอาหารอะไรอื่นอีกแล้ว

 

 

มิเช่นนั้นก้อนข้าวเหนียวเพียงก้อนเดียว ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือตบตีทำเหมือนเป็นเรื่องราวใหญ่โต

 

 

โอ้ว เทียบกับพวกเขาไม่ได้เลย

 

 

เมื่อฟ้าสางก็เริ่มทยอยออกเดินทางกัน

 

 

เดินมาได้ครึ่งวัน เฉียนหมี่โซ่วก็เริ่มมีอาการป่วยขึ้นมา สีหน้าแดงก่ำ มีไข้ขึ้น เมื่อแตะหน้าผากดูก็พบว่าร้อนมาก

 

 

ซ่งฝูเซิงแบกเฉียนหมี่โซ่ว เด็กน้อยหมอบอยู่บนหลังของเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง

Related

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ทะลุมิติทั้งครอบครัวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย! แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset